xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : ธงธง มกจ๊ก กับ รักที่ไม่ครอบครอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความรักอาจทำให้หัวใจของใครหลายคนกลายเป็นสีชมพู แต่สำหรับตลกชื่อดังชาวเมืองย่าโมอย่าง‘ธงธง มกจ๊ก’ หรือ ‘คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ’ ความรักกำลังทำให้หัวใจของเขากลายเป็นสีขาว
เพราะเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้นรักของหญิงในร่างชายเช่นเขายังยืนต้นแข็งแกร่ง แม้จะผ่านการปลูกมานับ 10 ปี นอกเหนือจากการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ระหว่างเขาและคนรักแล้ว ยังเป็นความรักที่ใช้ธรรมะเป็นสิ่งช่วยหล่อเลี้ยง
แตกต่างกับความรักในอดีต ซึ่งเป็นความรักที่ก้าวหน้าไปพร้อมกิเลส และความเห็นแก่ตัว จึงทำให้รักที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งล้มครืนไม่เป็นท่า
หลังการจูงมือคนรักคนปัจจุบันไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน ณ ศูนย์วิปัสสนามูลนิธิบุญญานุภาพ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ในช่วงวันเริ่มต้นปีใหม่ของปีนี้ และได้กลับมาใช้ ชีวิตและทำงานตามวิถีของนักแสดงคนหนึ่ง
เขาผู้เคยสวมบทเลียนแบบพิธีกรรายการ ‘กำจัดจุดอ่อน’ และยามนี้รับบทเป็น ‘กอล์ฟ’ บุญกอบ ช้างพลาย พนักงานทำความสะอาดภายในคอนโดฯ ผู้รักสนุกและช่างเม้าท์ ตามประสากระเทย ในละครซิตคอมเรื่อง ‘เป็นต่อ’ ได้เล่าย้อนไปถึงความรักที่เกิดขึ้นในอดีต ก่อนจะมาเจอรักแท้ที่สมหวังให้ฟังว่า
“ตอนอายุประมาณ 20 ปี ไปเจอความรักที่เมืองนอก ชีวิตที่เมืองนอกมันเหงามาก ต้องการทั้งที่ยึดเหนี่ยว และความมั่นคงในชีวิต พอไปเจอคนคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเขามีความมั่นคงและรักเรามาก เราก็เทใจไปให้หมดเลย”
คบกันเพียงระยะเวลาไม่นาน เขาเริ่มรู้สึกอยากแสดง ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหนุ่มตาน้ำข้าวชาวเดนมาร์กคนนั้น ด้วยการจดทะเบียนสมรส เหตุผลหนึ่งก็เพื่อที่ว่าตัวเขาเองจะได้ใช้เป็นเหตุผลในการอาศัยอยู่ในประเทศนั้นต่อไป แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง
“เขาบอกว่า สำหรับเขามันเร็วเกินไป เราเพิ่งรู้จักกันได้เดือนสองเดือนเอง ส่วนเราก็ใจร้อน เพราะวีซ่าใกล้จะหมดแล้ว ความรักของเราในตอนนั้น มันเป็นความรักที่มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น คือเราอยากจะอยู่รอด อยากจะ อาศัยไอ้คำว่าความรัก และความมั่นคงในอาชีพของเขา เป็นที่พึ่งให้เราสามารถอยู่ในประเทศนั้นได้
เราไม่ได้คำนึงถึงว่า ความรู้สึกของเขาจะเป็นยังไง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ต้องการเวลาในการตัดสินใจ แต่เราเป็นคนที่ใจร้อนมาก อยากได้อะไรเราต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็คือตัดขาดกันไปเลย เราก็เลยต้องเลิกกัน”
เป็นการเลิกลาครั้งที่เขาบอกว่าร้องไห้เสียใจเกือบจะเป็นจะตายและถือเป็นรักในอดีตที่สร้างความทุกข์ให้มากที่สุด แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้กลับได้มองเห็นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่ว่านั้นอย่างแจ่มชัด
“ความรักที่เราบอกว่าเรารักเขา รักนักรักหนาเนี่ยะจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย เรารักตัวเองมากกว่า เรากลัวว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ที่ประเทศนั้น เราจึงยัดเยียดความเห็นแก่ตัวของเราลงไป เติมกิเลสให้กับความรัก พอเราไม่ได้ดั่งใจ เราก็โกรธ ร้องไห้ โวยวาย อยากจะเลิกกับเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร”
เมื่อกลับคืนสู่เมืองไทย รักที่เกิดขึ้นอีกหลายๆครั้งของนักแสดงตลกผู้นี้ ก็ยังคงเป็นรักที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ใจอยากจะให้เป็น เพราะยังเป็นรักที่ยังอยากจะครอบครองเป็นเจ้าของ จนสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่าย
“พูดภาษาธรรมะคือ เราอยากจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขาเหลือเกิน เพราะเป็นความรักที่ไปยึดถือตัวตนและก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัว”
จนเมื่อได้มาเจอคนรักคนปัจจุบัน มุมมองที่เขามีต่อความรักก็เปลี่ยนไป จากรักที่คิดว่าอยากจะเอาชนะ อยากจะพิชิตใจ สู่การเป็นรักที่ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อความดีของอีกฝ่าย
ธงธงและคนรักคบหากันมาตั้งแต่คราวที่ยังไม่เข้าวงการและยังไม่มีชื่อเสียง จึงทำให้ความรักของเขาเป็นรักที่ผ่านบทพิสูจน์มาในระดับหนึ่ง
“โหนรถเมล์มาด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังมีความรู้สึกว่าอยากจะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาอยู่นะ และยังเป็นประเภทที่ว่า ถ้าฉันชอบ อันนี้เธอก็ต้องชอบด้วย ถ้าเธอไม่ชอบเหมือนฉันเธอก็ต้องปรับ เธอชอบไม่เหมือนฉันไม่ได้”
ในเวลาต่อมาความรักที่เขามีต่อพี่สาวร่วมสาย เลือดที่ต้องล้มป่วยลง ในช่วงเวลาที่หน้าที่การงาน ของเขากำลังหดหาย จากการแนะนำของเพื่อนนักแสดง ‘มยุริญ ผ่องผุดพันธ์’ ที่แนะให้เขาไปปฏิบัติธรรมแทนการสะเดาะเคราะห์ ณ วัดผาณิตาราม จ.ฉะเชิงเทรา จึงทำให้ชีวิตของเขาเริ่มมีสติต่อปัญหาทุกเรื่องที่ถาโถมเข้าสู่ชีวิต และหันมาปฏิบัติต่อคนรักอย่างคนที่เข้าใจในรักมากขึ้น
“ตอนแรกๆ ก็ยังปรับไม่ได้นะ แต่ส่วนหนึ่งเราโชคดีตรงที่แฟนของเราเขาเป็นคนที่ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็ก รักษาศีล 5 ไม่เคยพร่อง เป็นคนที่มีสภาวธรรมสูงมาก ถึงขนาดมีพระชวนให้ไปบวช มีเหมือนกันที่พอเขาศึกษามากๆเข้า เขาก็เริ่มมีความรู้สึกว่า การมีเพศสัมพันธ์ หรือการมีเซ็กซ์เป็นเรื่องสกปรก
วันที่เขาบอก เราตกใจมาก ทำไมเขารู้สึกอย่างนั้น เขาบรรลุเหรอ เราก็โกรธ แล้วฉันจะอยู่ได้อย่างไร นี่มันชีวิตคู่นะ อยู่ดีๆอีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องไม่ดี แล้วอีกฝ่ายหนึ่งที่ยังอยู่ทางโลกอยู่ล่ะจะทำอย่างไร เพราะเราเองเป็นคนที่คิดว่า ทางโลกก็ไม่ควรช้ำ ทางธรรม ก็ไม่ควรพร่อง ก็เลยต้องมาเคลียร์กัน กลับกลายเป็นว่า เขาต้องมาฝืน ซึ่งมันก็ทำให้เขาไม่มีความสุข
แต่เมื่อหมั่นไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยกันเรื่อยๆ ชีวิตรักที่ดูท่าจะพบกับปัญหา ก็มีทางออกที่ดีขึ้น
“พระอาจารย์เคยบอกว่า จริงๆแล้ว ความรักมันมีหลายรูปแบบ ถ้าพระอริยบุคคลรักกันมันเป็นรักที่ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตอนแรกไม่เข้าใจ จนเมื่อไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ เข้า และล่าสุดไปมา 7 วัน ซึ่งแฟนก็ไปด้วย ทำให้ได้เข้าใจว่า รักที่ทำให้สังคมมนุษย์อยู่ได้ คือรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตา ที่ผ่านมา ที่เราไปบังคับเขา อยากจะให้เขาทำโน่นทำนี่ให้ อยากให้เขาเป็นได้ดั่งใจเรา มันเกิดจากกิเลสของเรา
มุมมองความรักในปัจจุบันก็เลยคิดได้ว่า นอกจากเราต้องรักตัวเราแล้ว เราต้องรักคนรอบข้างด้วย ถ้าเรามีความสุขแล้ว คนที่อยู่ข้างๆเราก็ต้องมีความสุขด้วย อะไรที่มันเป็นกิเลสของเรา แล้วมันไปเบียดเบียนความสุขของคนอื่น เราก็ไม่ควรทำ โดยเฉพาะความสุขของคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา คิดได้ดังนี้ใจมันก็เลยปล่อยวางได้ ไม่คิดว่าเราคือของของเขา หรือเขาคือของของเรา เราอยู่ด้วยกันเพราะว่ามันมีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไอ้สิ่งที่เราแต่ละฝ่ายไม่ชอบ ถ้าเราปรับกันไม่ได้ เราก็ ต้องปล่อยวาง”
ความรักที่เว้นพื้นที่ว่างให้อีกฝ่ายได้มีอิสระในการเป็นตัวของตัวเอง และยกระดับสูงขึ้นเพราะนำธรรมะมาปรับใช้ อย่าถามถึงเลยว่าเรื่องหลับนอนด้วยกันยังสร้างปัญหาให้กับชีวิตคู่ของเขาหรือไม่ เพราะยามนี้เขาเปิดใจกว้างถึงขนาดที่ว่า ถ้าวันหนึ่งคนรักผู้มีสภาวธรรมสูงกว่าเกิดนึกอยากจะบวชโดยไม่สึก เขาคนหนึ่งล่ะที่จะร่วมอนุโมทนาบุญด้วย
“เพราะเราเคยลองใจเขา ด้วยการถามเขาว่า ถ้าเราอยากจะไปนอนกับคนอื่น เขาจะคิดยังไง เขาบอกว่า อนุญาต ไม่เคยโกรธ เพราะมันคือสิ่งที่เขาอาจให้เราไม่ได้ ใจหนึ่งเราก็ยังรู้สึกว่า ทำไมเขาไม่หวงชั้น แต่เขาบอกว่าจะหวงได้ยังไง ชีวิตใครชีวิตมัน ความสุขของคุณก็คือความสุขของคุณ
เราจึงรู้สึกว่า แหม..เราเป็นคนโชคดีจัง ถ้าเทียบกับเพศที่สามทั่วไป เพราะเราเจอคนที่รักเราจริงๆ คอยอยู่เคียงข้าง และใช้ธรรมะในการอยู่ด้วยกันตลอด บางเวลาที่มีอะไรมากระทบใจ กลับจากวัดแล้วยังโมโหอยู่ เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา เขาก็จะคอยเตือนตลอด ว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ หรือไม่ก็บอกว่า อื้อหือ...ไปกินข้าว วัดมา เปลืองข้าววัด(หัวเราะ)”

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบะบที่ 99 ก.พ. 52 โดยพรพิมล)
กำลังโหลดความคิดเห็น