ในวงการบันเทิง หากจะหาตัวจริง ในด้านการแสดง การเข้าถึงบทบาท “เต้ ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์” ถือเป็นพระเอกน้ำดีอีกคนในวงการบันเทิง ที่แจ้งเกิดจากบท “ไอ้ฟัก” ในบทคนสติไม่สมประกอบ แต่ในโลกชีวิตจริง เขาคือพระเอกนิสัยดีอีกคนที่บวชเรียนแล้ว และวันนี้ M-Light จะได้เจาะชีวิตของเขาในแง่มุมต่างๆ ที่ฟังแล้ววงการบันเทิงไม่ได้มีแต่คนขายกระแสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หนุ่มจิตใจดีขวัญใจเด็กๆ คนนี้ก็มีดีที่เขายกเครดิตให้ “ครอบครัว” ของเขาไปแบบเต็มๆ
มาดเข้ม ตาโต มือไม้อ่อน และไม่ค่อยมีข่าวเชิงลบเท่าใดนัก สำหรับหนุ่ม "เต้ ปิติศักดิ์ เยาววนานนท์" พระเอกหนังและละคร ที่ต้องบอกว่า แม้ผลงานของเขาจะไม่ได้หวือหวา ข่าวคราวที่ไม่ใช่ทั้งชู้สาวหรือชอบสร้างกระแสเหมือนดาราคนอื่น และล่าสุดในผลงานหนังเรื่อง “นาคปรก” ที่จะเข้าฉายกลางเดือนมีนาคมนี้ เขาก็รับบทที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ส่วนในละครซิตคอมธรรมะเรื่อง “เทวดา...สาธุ” เขารับบท “ภีมะ” หนุ่มตลกร้าย ที่ไม่ใช่คนดี แม้ว่าจะรับบทเลวร้ายแค่ไหน แต่ในชีวิตจริงเขายังคงภาพลักษณ์เรียบร้อย ซึ่งตัวเขาเองบอกว่าสิ่งที่ต้องขอบคุณคือ “พ่อแม่” ของเขาที่สอนให้มีทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตมากทีเดียว
ชีวิตจริงกับการแสดงที่ต่างสุดขั้ว
แม้ว่าในบทบาทละคร หรือภาพยนตร์ เขาจะได้บทเป็นทั้งคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่สำหรับชีวิตจริง เขาคือมนุษย์สุดเรียบร้อยคนหนึ่ง ซึ่งเต้บอกว่าหากแต่ในโลกมายาเขากลับอยากเล่นบทแบดบอยมากกว่าบทอื่น
“ในละคร หรือในหนัง เต้อยากเล่นบทร้ายๆโหด ไปเลยนะแต่ถามว่า รู้สึกมั้ยเวลามีคนมองว่าเออเราดูเป็นคนดีนะ ดูเหมาะสมกับการถ่ายทอดการเป็นคนดี ถามส่วนตัวผม ผมอยากเล่นอะไรแบดบอยด้วยซ้ำไป อย่างในหนังเรื่องนาคปรกผมอยากเล่นพี่เรย์ (แมคโดนัลด์) ด้วยซ้ำไป เขาร้ายมาก ถามว่าทำไมถึงอยากเล่นบทนั้น คือโดยปกติชีวิตคนเราต้องดำเนินไปสู่การเป็นคนดีอยู่แล้วใช่มั้ยครับ แต่ว่าการที่ได้เป็นแบดแบบพี่เรย์ มันทำไม่ได้ในชีวิตจริง ผมเลยอยากลองแบดๆสักที ก็เลยจะได้แบดแบบน่ารักๆไปในเทวดา สาธุครับ เล่นเป็นพวกบ่างช่างยุ ซึ่งเรื่องนี้เขาก็จ้างผมเพราะเขาก็ให้เหตุว่าเลือกเรามาเล่นเพราะเห็นสิ่งดีๆในตัวนี่แหละ เลยจะเอามาเล่นร้าย (หัวเราะ)”
ดี-ชั่วมันอยู่ที่ “ตัว” เลือก
“ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก อันนี้ต้องขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่ทำให้เรา ปลูกฝังให้เราเป็นคนที่มีพื้นฐานที่เป็นคนดี”…เต้ยกความดีความชอบถึงการเลี้ยงดูที่ทำให้เขาเป็นเด็กค่อนข้างเรียบร้อยให้แก่พ่อแม่ของเขา และเขายืนยันว่าแม้ว่าเขาจะก้าวเดินเข้ามาในเส้นทางบันเทิงแล้ว แม้มีสิ่งยั่วยุให้ทำไม่ดีมากมาย แต่เขาเชื่อว่าอยู่ที่ “ตัวเอง” เท่านั้น
“พ่อกับแม่เขาสอนผมตั้งแต่เด็ก คิดอะไรนี่ต้องเกรงใจคนอื่นไว้ก่อน ไม่ใช่คิดเพื่อเราคนเดียว เขาจะสอนให้ผมคิดถึงคนอื่น อย่างเรื่องของกาลเทศะ สำคัญที่สุด ทำอะไรต้องเกรงใจเขานะลูกจะไปทำผิดทำถูกที่ไหนก็ยิ้มให้แก่คนที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วยก่อน ตลอดการใช้ชีวิตมันทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่เห็นต้องไปควานหาอะไรที่มันแย่ๆ ใส่ตัวเลยนี่ ผมเที่ยวมั้ย มีบ้าง มันคือธรรมชาติของเรา ผู้ชายบางคนอาจจะเลยเถิดไป เที่ยวกลางคืน ไปต่อเรื่องผู้หญิง เรื่องยา มันไม่จำเป็นสำหรับชีวิตเราเสียหน่อย เราก็สรุปได้ ไม่ต้องดื่ม เรามีความสุขกับการที่เราได้เจอเพื่อน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้สนุกกับเพลงที่เราฟังดีกว่าการที่เราไปปวดหัวเทกยานะผมว่า”
หลักธรรมะปฏิบัติ มี “ใจ” เป็นที่ตั้ง
“เต้” ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว อีกทั้งได้ยินบทเรียนจากรุ่นพี่นักแสดงถึงการไปนั่งวิปัสสนามาหลายคน ส่วนตัวเขาเอง เขามองว่าเรื่องใจคือสิ่งสำคัญ และคือศูนย์กลางของความมีสติทั้งปวง
“ผมสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนนะ นั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุด ผมไม่สามารถไปวัดที่ไหนได้ อย่างที่บอกว่าการทำบุญมันอยู่ที่ใจของเรา มันสุขใจ ทำบุญ บางทีก็รู้นะว่าเด็กที่เดินเข้ามาหาเราเนี่ย เขาอาจจะเอาเงินไปซื้ออะไรบางอย่างก็ได้ หรือโกหก แต่ถ้าในขณะนั้นเราได้บุญแล้วนะ เราจะได้ทำบุญอย่างที่เราสุขใจจริงๆ ผมบวชแล้วนะแต่คิดอยู่ว่าจะไปนั่งวิปัสสนา ตอนไปถ่ายละครก็มีพี่ๆเขา แล้วพูดถึงการวิปัสสนาว่า มันเหมือนกับเป็นการชาร์จแบตฯให้ตัวเอง มันเหมือนการไปท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง คนเราเหมือนทำงานหนัก ๆไปเที่ยวทะเล คือการพักผ่อน เขาเล่าให้ผมฟังว่า 3 วันแรกทรมานมาก อยากรู้ว่าทรมานอย่างไร (หัวเราะ) แต่พอเลยวันที่ 3 ไปเขาบอกว่ามันดีมาก”
“ผมอ่านหนังสือของท่าน ว. วชิรเมธี ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเรา มันจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าใจเราต้องการอะไร ทำอะไร แล้วรู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่ใจเรา พอถึง ณ เวลานั้นแล้ว มันจะนำพาให้ไปทำในสิ่งที่แย่อยู่เสมอ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจจะรู้ว่าเราควรเดินไปทางไหน”
ทำให้ทุกข์ตกสะเก็ด ก่อนแก้ปัญหา
ในชีวิตคนเราย่อมมีความทุกข์ สำหรับเต้ เขาก็มีทุกข์เฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป หากแต่ทุกครั้งที่เขามีความทุกข์ สิ่งที่เขาไม่เคยลืมคือการกำหนดลมหายใจ และวิเคราะห์ปัญหา และผ่านเรื่องราวอุปสรรคไปได้ทุกครั้ง
“ผมอ่านหนังสือของท่าน ว. ท่านบอกว่าเวลาทุกข์ใช้ลมหายใจแก้ปัญหา แล้วคือลมหายใจเรามีทุกขณะแต่เรามักจะลืมลมหายใจของเราอยู่เสมอ เดินไปไหนมาไหน ก็มักลืมลมหายใจ การหายใจจะบอก พอเราได้รับออกซิเจนมากขึ้น เราก็รู้อะไรมากขึ้น เราทำปัญหาให้ตกสะเก็ดก่อน แต่ท่าน ว. ท่านอธิบายให้เรามั่นใจในวิทยาศาสตร์ พอเราใจเย็นลงแล้ว เราวิเคราะห์ปัญหาได้แล้วว่าอย่างไร มันเกิดจากอะไร ทีนี้เราคิดว่าเราแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชีวิตมันดีจังเลย แต่ผมก็มีปัญหาครับ ในหนึ่งวันเราเจออารมณ์ถาโถมเยอะแยะ ก็พยายามใช้วิธีนี้ พยายามสโลว์ชีวิตของตัวเอง เร็วไปก็คิดอะไรไม่ออก ทำให้ชีวิตช้าลงหน่อยผมว่าดีนะ”
ส่งเสริมศาสนาในทางที่ถูก
ในวันที่ศาสนาโดน “โจร” ในคราบผ้าเหลือง ที่ตกเป็นข่าว ทั้งการหลอกลวงญาติโยม ทำมิดีมิร้ายสีกา พระเอกน้ำดียืนยันว่าหากพบเจอก็ไม่ควรนิ่งเฉย แต่หากทำบุญไปแล้วก็ควรเลือกส่งเสริมในทางที่เหมาะสม
“มันมีคำหนึ่งที่บอกว่า บวชเป็นพระนะ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ จะบวชเป็นพระ ก็ยกไปอยู่ชั้นดาดฟ้าแล้ว คนชั่วเลยสามารถหาผลประโยชน์จากการที่คนยกเอาคำว่าพระ เอาศาสนาไว้ข้างบน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันแย่มาก ซึ่งกับสิ่งที่เราเชิดชูอย่างที่สุด มันก็ควรจะมีแต่ความจริงใจ ศาสนามันให้เราเป็นคนดี สอนให้เราเป็นคนดี แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างจะไปลบศาสนาทิ้งเลยก็ได้นะ
มันคงกระทบความรู้สึกของใครอีกหลายคนแต่ว่า มันอยู่ที่ตัวของเราเหมือนกัน เรามองไปศาสนาถูกคนพวกนี้ไปดึงลงมา เราต้องหาวิธีการป้องกัน”
“เราเลือกมาทางนี้ดีกว่า มีทางอื่นที่ช่วยส่งเสริม ศาสนาไม่ได้เสื่อมครับอยู่ที่เรามากกว่า เราเลือกได้ เราจะตักบาตรกับพระที่ยืนรับกับข้าววน หรือว่าทำบุญกับพระต่างจังหวัด พระที่ไกลๆมันอยู่ที่เราเลือก เราไม่ใช่ว่าสนับสนุนให้คนชั่วอยู่ในศาสนา ใช้ศาสนาเป็นเครื่องทำมาหากิน ต้องช่วยกัน ไม่ใช่เห็นแล้วช่างมัน ไม่ใช่วัดแถวบ้าน”
“เด็ก” ผ้าขาวที่น่าห่วงมากที่สุด
คำถามที่เราทิ้งท้าย ถามเขา คือเรื่องราวของการเป็นแบบอย่างที่ดีฐานะ เป็นดารา เต้บอกว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วงและคาดหวัง คงเป็นการปลูกฝังเด็กในวัยผ้าขาวเท่านั้น ที่ผู้ใหญ่อย่างเขาหวังจะเห็นเยาวชนในวันข้างหน้าเรียนรู้ชีวิตที่ดี
“สำหรับผมนะ ผมรู้สึกในส่วนนี้กับเด็ก เด็กที่โตคือวัยรุ่น เขาค่อนข้างมีแนวทางที่ชัดเจนของเขาอยู่แล้ว เราไปเปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้ใ จะไปตามอะไรเขา เด็กๆ เขาพร้อมเสมอ ที่จะไปได้ทุกทิศ เด็กๆเนี่ยถ้าเรานำเขาผิดทาง ผมรู้สึกว่าเราทำพลาด ผมให้น้ำหนักกับเด็กมากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาเจอเด็กๆ ผมก็จะเป็นผู้ใหญ่ใจดีไปเลย ผมรู้สึกว่าเด็กๆเขาควรจะได้รับอะไรดีๆ ที่ถูกต้องอย่างที่สุด เมื่อเวลามันเดินไป สิ่งที่พอเหมาะกับเขา เขาจะได้เรียนรู้อย่างถูกวิธี การชี้นำวัยรุ่น ฉันอยากจะเป็นแดนเซอร์ที่แรงที่สุด เราไปขัดไม่ได้ เราพูดได้อย่างเดียวว่าขอให้น้องทำให้ดีที่สุด ขอให้มีความเป็นตัวของตัว แต่อย่าไปสร้างความลำบากให้คนอื่น ผมรู้สึกว่าการเป็นดาราที่มีส่วนชักนำ รวมถึงการกระทำของคนกลุ่มคนอื่นๆที่ได้มากกว่า ไม่เป็นราชการที่ไม่ได้อยู่ในหน้าจอทีวี ก็สามารถทำตัวเป็นแบบอย่างได้ครับ”
“เต้” กับ “แง่คิดขับขี่มอเตอร์ไซค์”
“ผมชอบเที่ยว ชอบขับมอเตอร์ไซค์ คุณก็เที่ยวได้ เราก็เที่ยวได้โดยที่เราไม่ต้องไปรังควานคนอื่น ไม่ต้องไปกวนเขา เราจะเอาใจตัวเองมันก็ไม่ควร ถ้าอยู่ในสังคม มันควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทุกคน อยากได้ก่อนเหมือนกันหมดแหละครับ ถ้าทุกคนคิดแบบนั้นสังคมมันมีปัญหา ผมเลยคิดทุกครั้งเวลาผมขับรถออกไปข้างนอก คิดเผื่อคนอื่นไปอีกนิดหนึ่ง ถ้าไปตัดหน้าเขา จะขอเขาไปก่อนต้องทำอย่างไร มันอยู่ในที่สาธารณะ ร่วมปฏิสัมพันธ์มันต้องให้ความเป็นสาธารณะตรงนั้นด้วย ผมคิดว่ามันจะมีความสุขมากกว่า”
...
“การใช้ชีวิต คือการเดินทาง แต่นิพพาน หรือการหลุดพ้น มันคือจุดหมาย” ...จากหนังสือธนาคารความสุข Aston 27 ทิพยากร ลีลาภัทร์
ข่าวโดยทีมงาน M-Lite
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน