หญิงสาวคนหนึ่งมีฐานะร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน นางจึงชอบพูดจาดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ รวมทั้งไม่เคยมีน้ำใจให้กับใคร แล้วยังคิดว่าข้าวของทุกสิ่งที่ตัวเองมีนั้น ล้วนดีกว่าของคนอื่นๆ ไม่มีใครจะมีอะไรที่ดีไปกว่านาง คนในหมู่บ้านจึงไม่ชอบนาง หรืออยากจะคบหาพูดคุยด้วย
“ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากจะพูดคุยกับคนพวกนี้เท่าไหร่ ” นางบอกกับตัวเอง
วันหนึ่งในฤดูหนาว บ้านของนางถูกไฟไหม้ ข้าวของเงินทองเสียหายเกือบหมด กลาย เป็นคนยากจน ไม่มีแม้แต่หม้อจะหุงข้าว นางได้เดินไปยังบ้านหญิงชราที่อยู่ไม่ไกลนัก
“บ้านฉันถูกไฟไหม้ ฉันพอมีข้าวสารเหลืออยู่บ้าง อยากขอยืมหม้อหุงข้าวสักหน่อย จะได้ไหม?”
หญิงชราเจ้าของบ้านจึงตอบไปว่า “จำได้ไหม นางเคยบอกว่า กระโถนที่บ้านนางยังดีกว่าหม้อหุงข้าวบ้านฉัน เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปเลยนะ แต่ฉันจะแบ่งข้าวให้กินบ้างก็แล้ว กัน”
หญิงสาวยื่นมือไปรับห่อข้าวจากหญิงชราด้วยความรู้สึกละอายใจ พร้อมคำพูดเบาๆ ว่า “ขอบใจจ้ะ”
ตกดึกลมหนาวพัดแรง นางนอนตัวสั่นเพราะความหนาว ไม่มีผ้าห่มสักผืนที่จะคลุมกาย รุ่งเช้านางจึงเดินฝ่าลมหนาวไปหาชายชราคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากบ้านหญิงชราไป
“บ้านฉันถูกไฟไหม้ เสื้อผ้าผ้าห่มไม่มีเหลือเลย ลุงพอมีจะมีผ้าห่มให้ฉันสักผืนไหม?”
ชายชราได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีแต่ผ้าห่มเก่าๆที่นางเคยบอกว่าเหมือนผ้าขี้ริ้วบ้านนาง แต่ถ้าไม่รังเกียจ ข้าก็จะแบ่งให้ใช้”
เมื่อหญิงสาวบอกว่าไม่รังเกียจ ชายชราจึงนำผ้าห่มผืนเก่าที่ซักไว้สะอาดมามอบให้ผืนหนึ่ง
“ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวรับผ้าห่มจากชายชราด้วยความรู้สึกละอายใจเช่นกัน คืนนั้น ผ้าห่มเก่าๆก็ช่วยให้นางพอคลายหนาวได้ นางนอนครุ่นคิดถึงคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง แล้วก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ของที่ดีไม่อาจช่วยอะไรเราได้ คนดีต่างหากที่ได้ช่วยเรา และสิ่งที่ทุกคนมีดีกว่าเราก็คือ น้ำใจ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาค้าขายกอบกู้ฐานะ จนกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้นางได้กลับตัวเป็นคนใหม่ที่มีน้ำใจเอื้ออารี และไม่พูดจาดูถูกใครอีก เลย นางจึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านตลอดมา
.......
คำพูดที่พูดออกไปนั้นย่อมก่อให้เกิดผลดีและไม่ดีต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น สามารถที่จะให้คุณและให้โทษได้ วาจาที่สุภาพ อ่อนน้อม ไม่ส่อเสียด หรือดูถูกดูหมิ่นย่อมเป็นมงคล ยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดยไม้หอม)
“ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากจะพูดคุยกับคนพวกนี้เท่าไหร่ ” นางบอกกับตัวเอง
วันหนึ่งในฤดูหนาว บ้านของนางถูกไฟไหม้ ข้าวของเงินทองเสียหายเกือบหมด กลาย เป็นคนยากจน ไม่มีแม้แต่หม้อจะหุงข้าว นางได้เดินไปยังบ้านหญิงชราที่อยู่ไม่ไกลนัก
“บ้านฉันถูกไฟไหม้ ฉันพอมีข้าวสารเหลืออยู่บ้าง อยากขอยืมหม้อหุงข้าวสักหน่อย จะได้ไหม?”
หญิงชราเจ้าของบ้านจึงตอบไปว่า “จำได้ไหม นางเคยบอกว่า กระโถนที่บ้านนางยังดีกว่าหม้อหุงข้าวบ้านฉัน เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปเลยนะ แต่ฉันจะแบ่งข้าวให้กินบ้างก็แล้ว กัน”
หญิงสาวยื่นมือไปรับห่อข้าวจากหญิงชราด้วยความรู้สึกละอายใจ พร้อมคำพูดเบาๆ ว่า “ขอบใจจ้ะ”
ตกดึกลมหนาวพัดแรง นางนอนตัวสั่นเพราะความหนาว ไม่มีผ้าห่มสักผืนที่จะคลุมกาย รุ่งเช้านางจึงเดินฝ่าลมหนาวไปหาชายชราคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากบ้านหญิงชราไป
“บ้านฉันถูกไฟไหม้ เสื้อผ้าผ้าห่มไม่มีเหลือเลย ลุงพอมีจะมีผ้าห่มให้ฉันสักผืนไหม?”
ชายชราได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีแต่ผ้าห่มเก่าๆที่นางเคยบอกว่าเหมือนผ้าขี้ริ้วบ้านนาง แต่ถ้าไม่รังเกียจ ข้าก็จะแบ่งให้ใช้”
เมื่อหญิงสาวบอกว่าไม่รังเกียจ ชายชราจึงนำผ้าห่มผืนเก่าที่ซักไว้สะอาดมามอบให้ผืนหนึ่ง
“ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวรับผ้าห่มจากชายชราด้วยความรู้สึกละอายใจเช่นกัน คืนนั้น ผ้าห่มเก่าๆก็ช่วยให้นางพอคลายหนาวได้ นางนอนครุ่นคิดถึงคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง แล้วก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ของที่ดีไม่อาจช่วยอะไรเราได้ คนดีต่างหากที่ได้ช่วยเรา และสิ่งที่ทุกคนมีดีกว่าเราก็คือ น้ำใจ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาค้าขายกอบกู้ฐานะ จนกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้นางได้กลับตัวเป็นคนใหม่ที่มีน้ำใจเอื้ออารี และไม่พูดจาดูถูกใครอีก เลย นางจึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านตลอดมา
.......
คำพูดที่พูดออกไปนั้นย่อมก่อให้เกิดผลดีและไม่ดีต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น สามารถที่จะให้คุณและให้โทษได้ วาจาที่สุภาพ อ่อนน้อม ไม่ส่อเสียด หรือดูถูกดูหมิ่นย่อมเป็นมงคล ยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดยไม้หอม)