ชีวิตการงานของเราทั้งหลายที่ปฏิบัติมาได้บ้างเสียบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง หัวเราะบ้างร้องไห้บ้างปะปนกันไปตลอดเวลา ซึ่งเป็นธรรมดาของบุคคลที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส สติปัญญายังไม่สมบูรณ์ ก็ย่อมประสบพบกับปัญหานานาประการ บางคนแทบจะเอาตัวไม่รอดเพราะมีความทุกข์เดือดร้อนเกิดขึ้นในใจด้วยประการต่างๆ แต่ถ้าเราได้ศึกษาปฏิบัติ ธรรมะก็ได้ประโยชน์ ธรรมะจะช่วยปลอบ โยนจิตใจให้เราคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้ตามสมควรแก่สติปัญญาของ เรา ถ้าเรามีสติปัญญามาก ก็พ้นทุกข์ได้มาก สติปัญญาน้อย ก็พ้นทุกข์ได้น้อย ถ้าขาดสติปัญญาเสียเลยก็ถูกความทุกข์โจม ตีเอาบอบช้ำไปตามๆกัน
การส่งความสุขให้แก่กันและกันที่ฝรั่งเขาเรียกว่า แฮปปี้นิวเยียร์ เรามาใช้คำว่า ส.ค.ส.ส่งความสุขให้แก่กัน ในการส่งความสุขกันนั้นทางห้างร้านต่าง ๆ ก็ได้พิมพ์ บัตรอวยพรในรูปแปลกๆ เป็นภาพต่างๆ สวยงาม เพื่อล่อให้คนซื้อ แล้วก็ส่งกันไปตามเพื่อนฝูงมิตรสหาย คนที่ได้อ่าน ส.ค.ส. ก็สบายใจขณะหนึ่ง คือสบายใจว่าเพื่อนยังคิดถึงเราอยู่ แล้วก็ส่งไปตอบแทนบ้าง ต่างคนต่างก็ส่งกันไป อันนี้เป็นธรรมเนียม ประจำปีทั่วโลกเขาทำกัน เมืองไทยเราก็อยู่ในสังคมโลก ก็เลยต้องทำกับเขาไปบ้างตามโอกาสที่เขาทำอะไร
ส.ค.ส.ที่เราส่งกันทั่วๆไปนั้น ก็มีถ้อยคำสำนวนซึ่งเขาไปจ้างให้ใครเขียนก็ ได้ ไม่ใช่ความรู้สึกจากใจจริงของเราผู้ให้ เพราะเป็นคำพูดของคนอื่น เราไปซื้อมาบางทีคนรับก็อ่านไปอย่างนั้นแหละ แต่ว่าความสบายใจอยู่ตรงที่ว่าเพื่อนยังคิดถึง
การส่งบัตรอวยพรกัน เราควรจะส่งให้ เป็นความหมาย เป็นข้อเตือนใจเพื่อนเรา ให้เกิดความคิดนึกในทางที่จะก้าวหน้าใน ชีวิตต่อไปในรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางที่ดีนั้นควรจะส่งบทความทางธรรมะไปให้เพื่อน คัดเลือกเอาพุทธภาษิตในที่ต่างๆ แล้วเราก็พิมพ์หรือว่าเขียนด้วยมือของเราเอง ยิ่งเขียนด้วยมือเองเพื่อนอ่านยิ่งเป็น สุขมากขึ้น เพราะเห็นว่า แหม.. อุตส่าห์เขียนมาให้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เราต้องไปค้นคว้ามาจากที่ต่างๆ เอามาเขียนไว้ คนอ่านก็จะรู้สึกว่า แหม.. เขาทำด้วยความตั้งใจทำด้วยความหวังดีต่อเราจริงๆ จึงอุตส่าห์ทำถึงขนาดนี้ ที่เราไปซื้อมันง่าย ไม่ลำบาก อะไร เขาพิมพ์ไว้เยอะแยะ แต่ที่เราอุตส่าห์ไปคัดไปเขียนมา เอาไปให้เพื่อนอ่านมันได้ความหมายลึกซึ้งกว่า
ยิ่งเราคัดข้อความเพื่อเป็นเครื่องเตือน จิตสะกิดใจเพื่อนของเรา เช่นสมมติว่าเพื่อนของเราเป็นคนบกพร่องในเรื่องใด เรารู้เพราะว่าเรารู้จักเพื่อนของเราดี เราก็คัดเลือกถ้อยคำทางพระพุทธศาสนา เป็นพุทธภาษิตเป็นข้อเตือนจิตสะกิดใจ เขียนตัวบรรจงเรียบร้อยส่งไป เพื่อนคนนั้นอ่าน แล้วคงจะนึกในใจว่า นี่มันเตือนเราแล้ว ถ้านึกมากหน่อยก็ว่ามันด่ากูแล้ว แต่ว่าไม่ใช่หยุดเพียงเท่านั้น ยังคิดต่อไปว่า เอ.. เขาพูดอย่างนี้เพื่ออะไร เขาพูดเพื่อให้เรารู้สึกตัว เพื่อเตือนจิตสะกิดใจเรา ให้เกิดความคิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบ ถ้าเขามีปัญญาอยู่บ้างก็จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง จิตใจ หันเข้าหาสิ่งที่ถูกที่ชอบต่อไป
ถ้าเราได้ช่วยเพื่อนของเราให้ลืมหูลืม ตา ให้ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ให้ประพฤติ ดีประพฤติชอบ ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา อาตมาคิดว่าอันนี้แหละเป็นยอด ส.ค.ส.ที่เราควรจะส่งให้เพื่อน จัดทำให้เพื่อน คนนั้นคนนี้ อาจจะไม่เหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งเราพูดอย่างหนึ่ง เพื่อนอีกคนหนึ่งก็พูดไปอีกอย่างหนึ่ง เขียนใส่ไปเป็นบัตรอวยพร แม้จะไม่มีภาพหรูหราก็ไม่เป็นไร เพราะมันหรูหราอยู่ในถ้อยคำแล้ว อยู่ในเนื้อหาสาระของเรื่องที่เราส่งไป อันนี้จะเป็นประโยชน์
หรือว่าเรามีลูกมีหลานไปเรียนอยู่ในที่ต่างถิ่น เราก็เขียนบัตรอวยพรเป็นคำสอนคำเตือนในรอบปีไป เช่นเขียนเป็นจดหมายเตือนใจให้เขาได้เกิดความนึกคิด ในทางที่ถูกที่ชอบ อันนี้จะเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์มาก ถ้าทำได้ในรูปเช่นนั้นสำหรับคนที่เรารักเราพอใจ ดีกว่าจะส่งกัน ตามเรื่องที่เขาทำๆ กันทั่วๆไป คำเตือนใจที่เราส่งไปให้เพื่อนบางทีเขาอาจจะเก็บไว้ อาจจะติดไว้ที่ใดที่หนึ่ง หรืออาจจะสอดไว้ใต้กระจกที่โต๊ะที่ทำงาน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบ่อยๆ ก็จะเป็นประโยชน์แก่เขาผู้นั้น อันนี้เป็นข้อคิดขอฝากไว้ให้ญาติโยมได้คิดได้ทำกัน
หรือมิฉะนั้นเราก็เลือกส่งหนังสือประเภทธรรมะเป็นข้อเตือนใจไปให้แก่เขา หนังสือธรรมะบางคนอาจจะยังไม่อยากอ่านหรอก พอเห็นเป็นธรรมะแล้วก็เก็บไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แต่มันจะถึงเวลาเข้า สักวันหนึ่งเหมือนเรามียาไว้ในตู้นี่มันดีเกิดปวดหัวตัวร้อนหยิบกินได้ทันที แต่ถ้าเราไม่มียาแล้วก็ไกลหมอด้วย เกิดโรคฉุก เฉินขึ้นมาจะทำอย่างไร เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน บางคนอาจจะไปอ่านเข้าแล้วก็จะได้ประโยชน์จากหนังสือนั้น
การกระทำของเรานั้นเหมือนกับเล่นกล้วยไม้ กว่ามันจะออกดอกมันก็นานเหมือนกัน รดน้ำกันอยู่นานกว่าจะออก ดอกมาให้ชม ให้ชื่นใจ แต่ว่าพอออกดอกแล้วเราสบายใจ เห็นดอกมันแล้วก็ชื่นใจว่า แหม..ไม่เสียทีที่อุตส่าห์รดน้ำ อุตส่าห์ออกดอกมาให้ชมดอกหนึ่ง ฉันใด สิ่งที่เราให้แก่เพื่อนของเรา แม้ว่ายังไม่เกิดดอก ออกผลแก่เพื่อนคนนั้น แต่วันหนึ่งเขาอาจจะมีความทุกข์มีความกลุ้มใจ แล้วตาไปเหลือบเห็นสิ่งนั้นเข้า ก็หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็เกิดความนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ นั่นแหละเขาได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรามอบให้ เพราะฉะนั้นการให้อะไรเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่เพื่อนเป็นการให้ที่มีราคา ก็เรียกว่าให้ธรรมะนั่นเอง
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ” การให้ทานธรรมะชนะการให้ทั้งปวง เราจะได้วัตถุสิ่งของอะไรๆก็อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขา ดีขึ้น แต่ว่าถ้าเราให้ธรรมะแก่เขา เขาจะมีความคิดถูกต้องขึ้น เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล ขึ้น เดินไปในทางที่ถูกที่ชอบ อันนี้เป็นเรื่อง ประเสริฐที่ควรจะให้กัน
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
การส่งความสุขให้แก่กันและกันที่ฝรั่งเขาเรียกว่า แฮปปี้นิวเยียร์ เรามาใช้คำว่า ส.ค.ส.ส่งความสุขให้แก่กัน ในการส่งความสุขกันนั้นทางห้างร้านต่าง ๆ ก็ได้พิมพ์ บัตรอวยพรในรูปแปลกๆ เป็นภาพต่างๆ สวยงาม เพื่อล่อให้คนซื้อ แล้วก็ส่งกันไปตามเพื่อนฝูงมิตรสหาย คนที่ได้อ่าน ส.ค.ส. ก็สบายใจขณะหนึ่ง คือสบายใจว่าเพื่อนยังคิดถึงเราอยู่ แล้วก็ส่งไปตอบแทนบ้าง ต่างคนต่างก็ส่งกันไป อันนี้เป็นธรรมเนียม ประจำปีทั่วโลกเขาทำกัน เมืองไทยเราก็อยู่ในสังคมโลก ก็เลยต้องทำกับเขาไปบ้างตามโอกาสที่เขาทำอะไร
ส.ค.ส.ที่เราส่งกันทั่วๆไปนั้น ก็มีถ้อยคำสำนวนซึ่งเขาไปจ้างให้ใครเขียนก็ ได้ ไม่ใช่ความรู้สึกจากใจจริงของเราผู้ให้ เพราะเป็นคำพูดของคนอื่น เราไปซื้อมาบางทีคนรับก็อ่านไปอย่างนั้นแหละ แต่ว่าความสบายใจอยู่ตรงที่ว่าเพื่อนยังคิดถึง
การส่งบัตรอวยพรกัน เราควรจะส่งให้ เป็นความหมาย เป็นข้อเตือนใจเพื่อนเรา ให้เกิดความคิดนึกในทางที่จะก้าวหน้าใน ชีวิตต่อไปในรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางที่ดีนั้นควรจะส่งบทความทางธรรมะไปให้เพื่อน คัดเลือกเอาพุทธภาษิตในที่ต่างๆ แล้วเราก็พิมพ์หรือว่าเขียนด้วยมือของเราเอง ยิ่งเขียนด้วยมือเองเพื่อนอ่านยิ่งเป็น สุขมากขึ้น เพราะเห็นว่า แหม.. อุตส่าห์เขียนมาให้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เราต้องไปค้นคว้ามาจากที่ต่างๆ เอามาเขียนไว้ คนอ่านก็จะรู้สึกว่า แหม.. เขาทำด้วยความตั้งใจทำด้วยความหวังดีต่อเราจริงๆ จึงอุตส่าห์ทำถึงขนาดนี้ ที่เราไปซื้อมันง่าย ไม่ลำบาก อะไร เขาพิมพ์ไว้เยอะแยะ แต่ที่เราอุตส่าห์ไปคัดไปเขียนมา เอาไปให้เพื่อนอ่านมันได้ความหมายลึกซึ้งกว่า
ยิ่งเราคัดข้อความเพื่อเป็นเครื่องเตือน จิตสะกิดใจเพื่อนของเรา เช่นสมมติว่าเพื่อนของเราเป็นคนบกพร่องในเรื่องใด เรารู้เพราะว่าเรารู้จักเพื่อนของเราดี เราก็คัดเลือกถ้อยคำทางพระพุทธศาสนา เป็นพุทธภาษิตเป็นข้อเตือนจิตสะกิดใจ เขียนตัวบรรจงเรียบร้อยส่งไป เพื่อนคนนั้นอ่าน แล้วคงจะนึกในใจว่า นี่มันเตือนเราแล้ว ถ้านึกมากหน่อยก็ว่ามันด่ากูแล้ว แต่ว่าไม่ใช่หยุดเพียงเท่านั้น ยังคิดต่อไปว่า เอ.. เขาพูดอย่างนี้เพื่ออะไร เขาพูดเพื่อให้เรารู้สึกตัว เพื่อเตือนจิตสะกิดใจเรา ให้เกิดความคิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบ ถ้าเขามีปัญญาอยู่บ้างก็จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง จิตใจ หันเข้าหาสิ่งที่ถูกที่ชอบต่อไป
ถ้าเราได้ช่วยเพื่อนของเราให้ลืมหูลืม ตา ให้ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ให้ประพฤติ ดีประพฤติชอบ ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา อาตมาคิดว่าอันนี้แหละเป็นยอด ส.ค.ส.ที่เราควรจะส่งให้เพื่อน จัดทำให้เพื่อน คนนั้นคนนี้ อาจจะไม่เหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งเราพูดอย่างหนึ่ง เพื่อนอีกคนหนึ่งก็พูดไปอีกอย่างหนึ่ง เขียนใส่ไปเป็นบัตรอวยพร แม้จะไม่มีภาพหรูหราก็ไม่เป็นไร เพราะมันหรูหราอยู่ในถ้อยคำแล้ว อยู่ในเนื้อหาสาระของเรื่องที่เราส่งไป อันนี้จะเป็นประโยชน์
หรือว่าเรามีลูกมีหลานไปเรียนอยู่ในที่ต่างถิ่น เราก็เขียนบัตรอวยพรเป็นคำสอนคำเตือนในรอบปีไป เช่นเขียนเป็นจดหมายเตือนใจให้เขาได้เกิดความนึกคิด ในทางที่ถูกที่ชอบ อันนี้จะเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์มาก ถ้าทำได้ในรูปเช่นนั้นสำหรับคนที่เรารักเราพอใจ ดีกว่าจะส่งกัน ตามเรื่องที่เขาทำๆ กันทั่วๆไป คำเตือนใจที่เราส่งไปให้เพื่อนบางทีเขาอาจจะเก็บไว้ อาจจะติดไว้ที่ใดที่หนึ่ง หรืออาจจะสอดไว้ใต้กระจกที่โต๊ะที่ทำงาน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบ่อยๆ ก็จะเป็นประโยชน์แก่เขาผู้นั้น อันนี้เป็นข้อคิดขอฝากไว้ให้ญาติโยมได้คิดได้ทำกัน
หรือมิฉะนั้นเราก็เลือกส่งหนังสือประเภทธรรมะเป็นข้อเตือนใจไปให้แก่เขา หนังสือธรรมะบางคนอาจจะยังไม่อยากอ่านหรอก พอเห็นเป็นธรรมะแล้วก็เก็บไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แต่มันจะถึงเวลาเข้า สักวันหนึ่งเหมือนเรามียาไว้ในตู้นี่มันดีเกิดปวดหัวตัวร้อนหยิบกินได้ทันที แต่ถ้าเราไม่มียาแล้วก็ไกลหมอด้วย เกิดโรคฉุก เฉินขึ้นมาจะทำอย่างไร เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน บางคนอาจจะไปอ่านเข้าแล้วก็จะได้ประโยชน์จากหนังสือนั้น
การกระทำของเรานั้นเหมือนกับเล่นกล้วยไม้ กว่ามันจะออกดอกมันก็นานเหมือนกัน รดน้ำกันอยู่นานกว่าจะออก ดอกมาให้ชม ให้ชื่นใจ แต่ว่าพอออกดอกแล้วเราสบายใจ เห็นดอกมันแล้วก็ชื่นใจว่า แหม..ไม่เสียทีที่อุตส่าห์รดน้ำ อุตส่าห์ออกดอกมาให้ชมดอกหนึ่ง ฉันใด สิ่งที่เราให้แก่เพื่อนของเรา แม้ว่ายังไม่เกิดดอก ออกผลแก่เพื่อนคนนั้น แต่วันหนึ่งเขาอาจจะมีความทุกข์มีความกลุ้มใจ แล้วตาไปเหลือบเห็นสิ่งนั้นเข้า ก็หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็เกิดความนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ นั่นแหละเขาได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรามอบให้ เพราะฉะนั้นการให้อะไรเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่เพื่อนเป็นการให้ที่มีราคา ก็เรียกว่าให้ธรรมะนั่นเอง
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ” การให้ทานธรรมะชนะการให้ทั้งปวง เราจะได้วัตถุสิ่งของอะไรๆก็อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขา ดีขึ้น แต่ว่าถ้าเราให้ธรรมะแก่เขา เขาจะมีความคิดถูกต้องขึ้น เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล ขึ้น เดินไปในทางที่ถูกที่ชอบ อันนี้เป็นเรื่อง ประเสริฐที่ควรจะให้กัน
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)