ปี 2552 นี้ เป็นปีที่นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวกันว่า เป็นปีที่ทั่วโลกเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ กิจการหลายแห่งต้องปิดตัวลง ส่งผลให้จำนวนคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็คงจะต้องเผชิญกับมรสุมทางเศรษฐกิจและปัญหาที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ย้อนไปเมื่อปี 2540 ซึ่งไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก นักธุรกิจหลายคนตกอยู่ในสภาพล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว ดังเช่น ‘ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ’ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องปิดตัวลง พร้อมกับหนี้สินเกือบหนึ่งพันล้านบาท กระทั่งถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด
แต่เมื่อมองเห็นสัจธรรมของชีวิตที่เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และนำพุทธธรรมคำสอนเรื่องตนเป็นที่พึ่งของตน มาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมาสู้ต่อ จนปัจจุบันเขากลับมาเริ่มร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ ‘ศิริวัฒน์’ ได้ถูกถ่ายทอดผ่านห้องสนทนาในครั้งนี้
• ช่วงที่ชีวิตประสบวิกฤตในปี 40 เป็นอย่างไรบ้างคะ
ชีวิตของผมในช่วงนั้นก็เรียกว่าหนักหนาสาหัสมากเลยทีเดียวเพราะผมเป็นหนี้กว่า 7 พันล้านบาทนะครับ เพราะไปกู้เงินธนาคารเพื่อมาลงทุนทำธุรกิจ 2 อย่างคือ อสังหาริมทรัพย์ กับตลาดหุ้น ซึ่งช่วงนั้นหุ้นมันตกหนักมาก จนกระทั่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำอยู่ ต้องปิดตัวลง และผมก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูพนักงานอีก 40 คน ส่วนหุ้นนั้นก็ถูกบังคับขายไปหมดจนกระทั่งหุ้นได้แปรสภาพเป็นเหลือแต่หนี้ ช่วงนั้นผมต้องรับภาระจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารทุกเดือน
ผมรู้สึกเครียดมาก รู้สึกแย่ หดหู่ในชีวิต ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้สึกอะไร เคยคิดว่าทำไมตัวเราถึงตกอับขนาดนี้ สมัยแรกจากที่ผมเคยรวยแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ ใช้เงินอย่างหรูหรา แต่พักหนึ่งก็ต้องกลายมาเป็น คนล้มละลาย จากชีวิตที่เคยสุขสบาย ก็กลับกลายว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนสภาพไปหมด ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาท เดียว และต้องมาขายของข้างถนน ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้สึกสมเพชตัวเองนะ แต่ในเมื่อชีวิตเราเดินมาจนถึงหลังชนฝาแล้วมันไม่มีทางอื่น มันก็ต้องเดินหน้าสู้กับปัญหาต่อไป
• เคยคิดจะทำร้ายตัวเองบ้างไหม
ไม่เคยเลย ผมเป็นพุทธศาสนิกชน เราต้องรู้อยู่แล้วว่า กว่าที่จะได้เกิดมาเป็นคนนั้นต้องทำบุญมาเยอะพอสมควร ฉะนั้นได้เกิดมาเป็นคนถือว่าโชคดีแล้ว อันที่ 2 คือปัญหามันมีไว้ให้เราแก้ ถ้าเราคิดฆ่าตัวตาย ปัญหาทั้งหมด มันก็จะต้องอยู่ที่ลูกเมีย ที่สำคัญคือถ้าผมตายสักคนหนึ่งลูกเมียขาดที่พึ่ง ผมคิดเสมอว่าเราไม่ได้ไปโกงใครเขามา เรากู้เงินมาทำธุรกิจ เพียงแต่มันเกิดวิกฤตจากสถาบันการเงินฟองสบู่แตก จริงๆแล้วผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของภาคเอกชนเลยด้วยซ้ำ แต่มันเป็นความผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท จนไม่มีเงินสำรอง ทำให้ต้องไปเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ ซึ่งมีเงื่อนไขเยอะแยะ และเงื่อนไขของเขาก็ทำให้เราลำบาก
• ใช้หลักธรรมข้อไหนมาให้กำลังใจตัวเองบ้างคะ
ผมยึดหลัก อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อีกอันหนึ่งก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน ฉะนั้นเราต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ คือผมเริ่มจากมองเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมต้องล้มละลาย ก็คือผมไม่ประมาณตัวเอง ผมกู้เงินจากสถาบันการเงินมามาก มีความผยอง มีความโลภ ทำทุกอย่างเกินตัว เมื่อค้นหาเหตุเจอแล้ว เราจึงเดินทางมาแก้ปัญหา คือเราต้องกลับมาพิจารณาและทบทวนด้วยการพึ่งตนเองให้มากที่สุด
• เลยเป็นที่มาของ ‘ศิริวัฒน์แซนด์วิช’
ความจริงแล้วเรามองเห็นลู่ทาง แต่ยังไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำ เพราะขนาดญาติแท้ๆของผมยังไม่ยอมช่วยเลย เขากลัวว่าเราจะเป็นหนี้สูญ เพราะฉะนั้นเราคงจะต้องช่วย ตัวเอง ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องเลี้ยงลูกน้อง เพราะเขาฝากชีวิตไว้กับเราด้วยคำมั่นในสัญญาว่าเราจะไม่ทิ้งเขา ผมกับภรรยาเลยคิดกันว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว และอย่างหนึ่งที่เราคิดได้ก็คือการทำอาหารการกินขาย เพราะถ้าขายไม่ได้เราก็กินกันเองคือทุกอย่างมันต้องมีทางออก สุดท้ายผมก็เลยมาตกลงกันว่าจะขายแซนด์วิช เพราะเราสามารถนำไปบริจาคได้ถ้าขายไม่หมด ผมจึงตัดสินใจใช้เงินที่ตัวเองมีอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาท มาลงทุนทำแซนด์วิชขายอยู่ข้างถนน ช่วงนั้นผมเองก็ยอมรับว่าลำบากมาก เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า
• ครั้งแรกเริ่มทำขายกี่ชิ้นคะ
เริ่มทำเพียงแค่ 20 ชิ้น แล้วไปยืนขายที่โรงพยาบาลกรุงเทพ คุณทราบไหมครับว่าเพียงแค่ 20 ชิ้นนั้นกว่าจะขายหมด ผมต้องใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อแลกกับเงิน 500 บาท
• ช่วงที่ขายแรกๆประสบปัญหาอะไรบ้างไหม
มีครับ.. ปัญหาแรกก็คือความอาย เพราะเราต้องไปยืนขายของข้างถนน แรกๆผมไปยืนขายที่ถนนสีลม แถวโรงเรียนลูกชาย ถามว่าอายไหม อายครับ เพื่อนลูกชายก็รู้ว่าผมเป็นพ่อ แต่ก็ไม่มีใครมาล้อนะ และปัญหาอีกอย่างคือโดนเทศกิจจับ ทั้งๆที่เรายืนขายอยู่ ไม่ได้ตั้งวางขายด้วยซ้ำ ผมจำได้ว่าวันนั้นเทศกิจยืนชี้หน้าด่าว่า พวกคุณจะมีปัญญายืนคล้องคอทั้งวันได้อย่างไร พอพวกผมไปคุณก็ตั้งขาย ผมก็ยืนยันว่าผมยืนคล้องคอขาย แต่สุดท้ายก็โดนจับขึ้นรถไป อีกปัญหาหนึ่งก็คือสินค้าเราราคาถูกจนคนไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวเป็นของไม่ดี เราก็ต้องพยายามบอกว่า เราใช้ของดี ไม่ได้เอาของไม่ดีมาขาย เขาก็พูดกันว่า คนเคยรวย บางคนก็เรียกคนข้างๆให้มาดูแล้วพูดว่า เศรษฐีมาขายของข้างถนน
• รู้สึกอย่างไรคะจากที่เคยจับเงินล้าน แต่วันหนึ่งต้องมาจับเงินแค่ไม่กี่ร้อย
วันแรกที่ขายผมจำได้ว่า ความรู้สึกมันแย่มาก ว่าเราตกอับขนาดนี้เลยเหรอ แต่ในที่สุดเมื่อไม่มีใครช่วยเรา เราก็ต้องช่วยตัวเอง เราก็ต้องทำต่อไป อย่างน้อยๆเราก็ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินใคร แล้วในช่วงนั้นผมถูกฟ้องร้องด้วย แต่ ก็บอกกับตัวเองว่าอย่างน้อยๆผมก็เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกน้องได้ ช่วงแรกๆผมมีเงินจ่ายให้ลูกน้องเพียงแค่ 40% เท่านั้น แต่ผมก็ยังพอโชคดีอยู่บ้าง เพราะช่วงนั้นมีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนที่ไปยืนขายของข้างถนน และประจวบเหมาะที่มีสื่อมวลชนมาทำข่าว พอผมเป็นข่าวออกไปประชาชนก็มาช่วยมาให้กำลังใจมาอุดหนุน จึงพอลืมตาอ้าปากมาได้ ผมเองก็ไม่ได้คาดคิดหรอกนะครับว่าประชาชนจะให้การสนับสนุนและให้กำลังใจกับผมมากขนาดนี้ แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือผมมีความซื่อสัตย์กับลูกค้าน่ะครับ
• ใช้เวลานานแค่ไหนถึงฟื้นตัวเองได้คะ
ผมใช้เวลาในการฟื้นกิจการตัวเองอยู่ประมาณ 6 ปีครับจึงตั้งตัวขึ้นมาได้
• จากปี 40 จนถึงวันนี้ธุรกิจที่ทำมามีการเปลี่ยนแปลง ไปมากน้อยแค่ไหน
มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่าคนไทยไม่ได้กินแซนด์วิชเป็นอาหารหลัก เรากินข้าว ที่นี้ภรรยาผมก็เลยคิดว่าควรทำข้าวกล้องห่อสาหร่าย พิซซ่าแซนด์วิช เพิ่มเติม และตอนนี้กำลังทำน้ำผลไม้ไทยด้วย และกำลังขยาย Coffee Corner และในปี 2554 ผมคิดว่าจะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันกินร่วมกันใช้ร่วมกันเชียร์และร่วมกันเป็นเจ้าของ จากนั้นก็จะมีแฟรนส์ไชส์ เพิ่มขึ้น
และตอนนี้ผมกำลังทำโครงการเถ้าแก่น้อย ซึ่งจะทำในช่วงปิดเทอมครับ คือประมาณเดือน มี.ค-เม.ย และเดือน ต.ค คือจะรับเด็กตั้งแต่ ม.3 ถึง ม.6 ให้มาทำงาน ซึ่งจะมีรายได้วันละ 400 บาท ถ้าเป็นเด็กต่างจังหวัดก็จะมีที่พักให้ฟรี โดยให้มาขายแซนด์วิชในกรุงเทพฯ วันหนึ่งขายประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจากการที่เราทำโครงการนี้ไปแล้ว ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียวครับ มีเด็กนักเรียน คนหนึ่งที่มาจากจังหวัดขอนแก่น พ่อแม่ยากจน แต่พอมาทำงานกับโครงการนี้ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ปรากฏว่าได้เงินกลับบ้านไปไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท และผมจะสอนเขา ให้กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ให้เก็บเงินไว้ให้พ่อแม่
ผมคิดว่าปี2552 คนจะตกงานเยอะ ก็เลยคิดทำโครงการใหม่ คือจะรับผู้หญิงที่อายุไม่เกิน 25 ปีให้มาอยู่ฝ่ายผลิต เงินเดือนเริ่มต้นที่ 5,500 บาท มีโบนัส ให้ที่พักฟรี และรับผู้ชายอายุไม่เกิน 25 ปี มาเป็นพนักงานขาย คุณสมบัติคือต้องมีใบขับขี่ จะมีเงินเดือนให้ไม่ต่ำกว่า10,000 บาท โดยจะรับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป สามารถติดต่อได้ที่ศิริวัฒน์ แซนด์วิช
• แล้วสภาพโดยรวมของธุรกิจและจิตใจ ปัจจุบันเป็น อย่างไรบ้างคะ
ก็ต้องบอกว่าดีกว่าปี 40 เยอะเลย เพราะจากมีหนี้เกือบพันล้าน ต้องขึ้นศาล และต้องโดนฟ้องล้มละลาย แต่ตอนนี้ผมมีชีวิตอย่างพอเพียง และความโลภละโมบ เมื่อ 10 ปีที่แล้วมันหมดไปแล้ว ขณะนี้เรามีความทะเยอทะยานอย่างพอเพียง เดี๋ยวนี้มีเท่าไรก็มีความสุข
มีครั้งหนึ่งผมจำได้ว่าหลังจากที่เรื่องราวของผมออกสื่อไปแล้วและผมก็ยังคงไปยืนขายของข้างถนนตามปกติ วันหนึ่งมีคนมายืนสารภาพกับผมว่า เขาเกือบจะฆ่าตัวตายแล้ว เพราะเขาเป็นหนี้ 5 แสนบาท และอีกคนหนึ่งก็เป็นหนี้ 15 ล้านบาท ผมก็เลยบอกเขาว่าให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่างตอนที่ท่านปัญญานันทภิกขุยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะบอกว่าคนเราเกิดมาเมื่อล้มแล้วต้องลุกซิ จะฆ่าตัวตายทำไม ขนาดหมาขี้เรื้อนยังรักชีวิตมันเลย แล้วเราเป็นมนุษย์จะไปฆ่าตัวตายทำไม บางคนเขามีปัญหามากกว่าเราเป็นหลายร้อยเท่า เพียงแค่เขาไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง
• เรียกว่าทุกวันนี้พอใจกับชีวิตของตัวเอง
พอใจครับ..พอใจว่าอย่างน้อยๆเราก็ได้สู้กับวิกฤตกระทั่งลุกขึ้นมาได้ หลายท่านถามว่าเมื่อไรจะประสบความสำเร็จ ผมก็จะบอกว่ารอให้ผมเอากิจการแซนด์วิชเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ก่อนถึงจะประสบความสำเร็จ และมี ประชาชนมาอุดหนุนเราเยอะๆ ผมถือว่านั่นแหละคือความสำเร็จที่ผมต้องการ ถามว่าเป็นความฝันที่เกินจริงไหม สำหรับผม ผมคิดว่าไม่เกินจริงหรอกครับ และทุกวันนี้ผมก็พอใจกับชีวิตแล้ว ผมรู้สึกภูมิใจมาก เพราะเมื่อก่อนผมเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคนเคยรวยมายืนคล้องคอขายแซนด์วิช มีแม่ค้าที่สำเพ็งร้องตะโกนบอกว่ามาดูเศรษฐียืนขายแซนด์วิช ผมฟังแล้วรู้สึกเจ็บใจนะ แล้วยิ่งตอนที่โดนเทศกิจ จับขึ้นรถยิ่งเจ็บปวดใหญ่ คุณคิดดูจากเศรษฐีเคยร่ำรวย โดนเทศกิจจับขึ้นรถ ถามว่าจะรู้สึกเศร้าใจขนาดไหน
เพราะคนจนแล้วมารวยเขาจะเข้มแข็ง แต่ผมเคยรวยแล้วมาจน ซึ่งไม่เคยจนมาก่อน ผมต้องมาเรียนรู้ความรู้สึก ที่มันลำบากที่สุดของชีวิตมากถึง 3-4 เท่าเลย แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าชีวิตผมเข้มแข็งกว่าทุกคนเยอะ และรู้คุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะผมเคยจนและก็กลับมารวยได้อีกครั้ง
• เป็นเพราะผลบุญที่เคยสร้างไว้หรือเปล่าคะ
คงอย่างนั้นมั้งครับ (หัวเราะ)
• ปกติชอบทำบุญแบบไหนคะ
การทำบุญของผมส่วนใหญ่จะไปช่วยคนที่ด้อยโอกาสมากกว่า เช่น คนปัญญาอ่อน คนยากไร้ คนไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก็จะให้ทุนการศึกษา
• คิดว่ากุศลผลบุญมีส่วนทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปบ้างไหม
เยอะเลยครับ อันนี้เรื่องจริง ผมคิดว่าความสำเร็จของศิริวัฒน์แซนด์วิช ส่วนหนึ่งมาจากการทำบุญ เพราะว่าเราเอาของไปบริจาคอยู่เรื่อยๆ หรือบางครั้งเราก็เอาของสดๆไปเลี้ยงเด็กตามโรงเรียนต่างๆ ผมคิดว่าวิธีเหล่านี้มันเป็นการเพิ่มพลังทางจิตให้เราเข้มแข็งขึ้นมาได้ ยิ่งเราทำทานมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับมากเท่านั้น ฉะนั้นเราต้องฝึกเป็นผู้ให้เขาก่อน ทุกครั้งผมจะบอกพนักงานทุกคนว่า เราต้องเป็นคนให้เขาก่อน ถ้าคนที่ดีแต่รับ สักวันหนึ่งเขาก็คงจะรู้สึกละอาย และอยู่กับเราไม่ได้เอง
• ปีใหม่นี้ที่วิกฤตเศรษฐกิจจะกลับมาอีกครั้ง คุณศิริวัฒน์มีอะไรจะแนะนำบ้างคะ
อยากบอกว่าอย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย จงระลึกอยู่เสมอว่าทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่จงคิดไว้เสมอว่าทุกปัญหามันต้องมีทางออก ถ้าถามว่าเสียใจได้ไหม เสียใจได้ ผิดหวังได้ แต่อย่าสิ้นหวัง
จำไว้เสมอว่าอดีตผ่านไปแล้ว เราแก้ไขไม่ได้ แต่สามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับเราได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ เคยอยู่บนฟ้าก็ต้องกล้าติดดิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ เราต้องมีความอดทน
กว่าผมจะมีวันนี้ได้ ผมก็ต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย เหมือนกัน เราต้องเริ่มจากเล็กแล้วไปหาใหญ่ ผมจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนเดิน ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งตอนอายุ 48 ตอนนี้ผม 59 แล้ว ฉะนั้นทุกคนต้องเริ่มต้นใหม่ ทุกคน ยังมีเวลาอีกเยอะ เราต้องทำเพื่อตัวเราเอง
จงคิดไว้เสมอว่า คนโง่ฉลาดเอา คนมีปัญญาฉลาดให้ แล้วชีวิตเราจะมีความสุขและความพอเพียง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะกลับไปขอบคุณเหตุการณ์เมื่อปี 40 ที่ทำให้ผมมีชีวิตในวันนี้ได้อีกครั้ง
.......
เชื่อว่าเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ คนที่เคยรวย ต้องกลับมาจน และกำลังจะรวยอีกครั้งนั้น คงเป็นข้อคิดให้กับใครหลายคนที่กำลังตกอยู่ในมรสุมของชีวิต และหาทาง ออกไม่เจอ
ทุกปัญหามีทางแก้ และต้องแก้ที่ต้นเหตุ ดังเช่นที่ ‘ศิริวัฒน์’ ได้หันกลับมามองเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหา จนกระทั่งเขาสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยพิจิกา)
ย้อนไปเมื่อปี 2540 ซึ่งไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก นักธุรกิจหลายคนตกอยู่ในสภาพล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว ดังเช่น ‘ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ’ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องปิดตัวลง พร้อมกับหนี้สินเกือบหนึ่งพันล้านบาท กระทั่งถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด
แต่เมื่อมองเห็นสัจธรรมของชีวิตที่เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และนำพุทธธรรมคำสอนเรื่องตนเป็นที่พึ่งของตน มาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมาสู้ต่อ จนปัจจุบันเขากลับมาเริ่มร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ ‘ศิริวัฒน์’ ได้ถูกถ่ายทอดผ่านห้องสนทนาในครั้งนี้
• ช่วงที่ชีวิตประสบวิกฤตในปี 40 เป็นอย่างไรบ้างคะ
ชีวิตของผมในช่วงนั้นก็เรียกว่าหนักหนาสาหัสมากเลยทีเดียวเพราะผมเป็นหนี้กว่า 7 พันล้านบาทนะครับ เพราะไปกู้เงินธนาคารเพื่อมาลงทุนทำธุรกิจ 2 อย่างคือ อสังหาริมทรัพย์ กับตลาดหุ้น ซึ่งช่วงนั้นหุ้นมันตกหนักมาก จนกระทั่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำอยู่ ต้องปิดตัวลง และผมก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูพนักงานอีก 40 คน ส่วนหุ้นนั้นก็ถูกบังคับขายไปหมดจนกระทั่งหุ้นได้แปรสภาพเป็นเหลือแต่หนี้ ช่วงนั้นผมต้องรับภาระจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารทุกเดือน
ผมรู้สึกเครียดมาก รู้สึกแย่ หดหู่ในชีวิต ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้สึกอะไร เคยคิดว่าทำไมตัวเราถึงตกอับขนาดนี้ สมัยแรกจากที่ผมเคยรวยแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ ใช้เงินอย่างหรูหรา แต่พักหนึ่งก็ต้องกลายมาเป็น คนล้มละลาย จากชีวิตที่เคยสุขสบาย ก็กลับกลายว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนสภาพไปหมด ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาท เดียว และต้องมาขายของข้างถนน ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้สึกสมเพชตัวเองนะ แต่ในเมื่อชีวิตเราเดินมาจนถึงหลังชนฝาแล้วมันไม่มีทางอื่น มันก็ต้องเดินหน้าสู้กับปัญหาต่อไป
• เคยคิดจะทำร้ายตัวเองบ้างไหม
ไม่เคยเลย ผมเป็นพุทธศาสนิกชน เราต้องรู้อยู่แล้วว่า กว่าที่จะได้เกิดมาเป็นคนนั้นต้องทำบุญมาเยอะพอสมควร ฉะนั้นได้เกิดมาเป็นคนถือว่าโชคดีแล้ว อันที่ 2 คือปัญหามันมีไว้ให้เราแก้ ถ้าเราคิดฆ่าตัวตาย ปัญหาทั้งหมด มันก็จะต้องอยู่ที่ลูกเมีย ที่สำคัญคือถ้าผมตายสักคนหนึ่งลูกเมียขาดที่พึ่ง ผมคิดเสมอว่าเราไม่ได้ไปโกงใครเขามา เรากู้เงินมาทำธุรกิจ เพียงแต่มันเกิดวิกฤตจากสถาบันการเงินฟองสบู่แตก จริงๆแล้วผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของภาคเอกชนเลยด้วยซ้ำ แต่มันเป็นความผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท จนไม่มีเงินสำรอง ทำให้ต้องไปเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ ซึ่งมีเงื่อนไขเยอะแยะ และเงื่อนไขของเขาก็ทำให้เราลำบาก
• ใช้หลักธรรมข้อไหนมาให้กำลังใจตัวเองบ้างคะ
ผมยึดหลัก อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อีกอันหนึ่งก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน ฉะนั้นเราต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ คือผมเริ่มจากมองเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมต้องล้มละลาย ก็คือผมไม่ประมาณตัวเอง ผมกู้เงินจากสถาบันการเงินมามาก มีความผยอง มีความโลภ ทำทุกอย่างเกินตัว เมื่อค้นหาเหตุเจอแล้ว เราจึงเดินทางมาแก้ปัญหา คือเราต้องกลับมาพิจารณาและทบทวนด้วยการพึ่งตนเองให้มากที่สุด
• เลยเป็นที่มาของ ‘ศิริวัฒน์แซนด์วิช’
ความจริงแล้วเรามองเห็นลู่ทาง แต่ยังไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำ เพราะขนาดญาติแท้ๆของผมยังไม่ยอมช่วยเลย เขากลัวว่าเราจะเป็นหนี้สูญ เพราะฉะนั้นเราคงจะต้องช่วย ตัวเอง ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องเลี้ยงลูกน้อง เพราะเขาฝากชีวิตไว้กับเราด้วยคำมั่นในสัญญาว่าเราจะไม่ทิ้งเขา ผมกับภรรยาเลยคิดกันว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว และอย่างหนึ่งที่เราคิดได้ก็คือการทำอาหารการกินขาย เพราะถ้าขายไม่ได้เราก็กินกันเองคือทุกอย่างมันต้องมีทางออก สุดท้ายผมก็เลยมาตกลงกันว่าจะขายแซนด์วิช เพราะเราสามารถนำไปบริจาคได้ถ้าขายไม่หมด ผมจึงตัดสินใจใช้เงินที่ตัวเองมีอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาท มาลงทุนทำแซนด์วิชขายอยู่ข้างถนน ช่วงนั้นผมเองก็ยอมรับว่าลำบากมาก เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า
• ครั้งแรกเริ่มทำขายกี่ชิ้นคะ
เริ่มทำเพียงแค่ 20 ชิ้น แล้วไปยืนขายที่โรงพยาบาลกรุงเทพ คุณทราบไหมครับว่าเพียงแค่ 20 ชิ้นนั้นกว่าจะขายหมด ผมต้องใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อแลกกับเงิน 500 บาท
• ช่วงที่ขายแรกๆประสบปัญหาอะไรบ้างไหม
มีครับ.. ปัญหาแรกก็คือความอาย เพราะเราต้องไปยืนขายของข้างถนน แรกๆผมไปยืนขายที่ถนนสีลม แถวโรงเรียนลูกชาย ถามว่าอายไหม อายครับ เพื่อนลูกชายก็รู้ว่าผมเป็นพ่อ แต่ก็ไม่มีใครมาล้อนะ และปัญหาอีกอย่างคือโดนเทศกิจจับ ทั้งๆที่เรายืนขายอยู่ ไม่ได้ตั้งวางขายด้วยซ้ำ ผมจำได้ว่าวันนั้นเทศกิจยืนชี้หน้าด่าว่า พวกคุณจะมีปัญญายืนคล้องคอทั้งวันได้อย่างไร พอพวกผมไปคุณก็ตั้งขาย ผมก็ยืนยันว่าผมยืนคล้องคอขาย แต่สุดท้ายก็โดนจับขึ้นรถไป อีกปัญหาหนึ่งก็คือสินค้าเราราคาถูกจนคนไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวเป็นของไม่ดี เราก็ต้องพยายามบอกว่า เราใช้ของดี ไม่ได้เอาของไม่ดีมาขาย เขาก็พูดกันว่า คนเคยรวย บางคนก็เรียกคนข้างๆให้มาดูแล้วพูดว่า เศรษฐีมาขายของข้างถนน
• รู้สึกอย่างไรคะจากที่เคยจับเงินล้าน แต่วันหนึ่งต้องมาจับเงินแค่ไม่กี่ร้อย
วันแรกที่ขายผมจำได้ว่า ความรู้สึกมันแย่มาก ว่าเราตกอับขนาดนี้เลยเหรอ แต่ในที่สุดเมื่อไม่มีใครช่วยเรา เราก็ต้องช่วยตัวเอง เราก็ต้องทำต่อไป อย่างน้อยๆเราก็ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินใคร แล้วในช่วงนั้นผมถูกฟ้องร้องด้วย แต่ ก็บอกกับตัวเองว่าอย่างน้อยๆผมก็เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกน้องได้ ช่วงแรกๆผมมีเงินจ่ายให้ลูกน้องเพียงแค่ 40% เท่านั้น แต่ผมก็ยังพอโชคดีอยู่บ้าง เพราะช่วงนั้นมีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนที่ไปยืนขายของข้างถนน และประจวบเหมาะที่มีสื่อมวลชนมาทำข่าว พอผมเป็นข่าวออกไปประชาชนก็มาช่วยมาให้กำลังใจมาอุดหนุน จึงพอลืมตาอ้าปากมาได้ ผมเองก็ไม่ได้คาดคิดหรอกนะครับว่าประชาชนจะให้การสนับสนุนและให้กำลังใจกับผมมากขนาดนี้ แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือผมมีความซื่อสัตย์กับลูกค้าน่ะครับ
• ใช้เวลานานแค่ไหนถึงฟื้นตัวเองได้คะ
ผมใช้เวลาในการฟื้นกิจการตัวเองอยู่ประมาณ 6 ปีครับจึงตั้งตัวขึ้นมาได้
• จากปี 40 จนถึงวันนี้ธุรกิจที่ทำมามีการเปลี่ยนแปลง ไปมากน้อยแค่ไหน
มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่าคนไทยไม่ได้กินแซนด์วิชเป็นอาหารหลัก เรากินข้าว ที่นี้ภรรยาผมก็เลยคิดว่าควรทำข้าวกล้องห่อสาหร่าย พิซซ่าแซนด์วิช เพิ่มเติม และตอนนี้กำลังทำน้ำผลไม้ไทยด้วย และกำลังขยาย Coffee Corner และในปี 2554 ผมคิดว่าจะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันกินร่วมกันใช้ร่วมกันเชียร์และร่วมกันเป็นเจ้าของ จากนั้นก็จะมีแฟรนส์ไชส์ เพิ่มขึ้น
และตอนนี้ผมกำลังทำโครงการเถ้าแก่น้อย ซึ่งจะทำในช่วงปิดเทอมครับ คือประมาณเดือน มี.ค-เม.ย และเดือน ต.ค คือจะรับเด็กตั้งแต่ ม.3 ถึง ม.6 ให้มาทำงาน ซึ่งจะมีรายได้วันละ 400 บาท ถ้าเป็นเด็กต่างจังหวัดก็จะมีที่พักให้ฟรี โดยให้มาขายแซนด์วิชในกรุงเทพฯ วันหนึ่งขายประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจากการที่เราทำโครงการนี้ไปแล้ว ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียวครับ มีเด็กนักเรียน คนหนึ่งที่มาจากจังหวัดขอนแก่น พ่อแม่ยากจน แต่พอมาทำงานกับโครงการนี้ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ปรากฏว่าได้เงินกลับบ้านไปไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท และผมจะสอนเขา ให้กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ให้เก็บเงินไว้ให้พ่อแม่
ผมคิดว่าปี2552 คนจะตกงานเยอะ ก็เลยคิดทำโครงการใหม่ คือจะรับผู้หญิงที่อายุไม่เกิน 25 ปีให้มาอยู่ฝ่ายผลิต เงินเดือนเริ่มต้นที่ 5,500 บาท มีโบนัส ให้ที่พักฟรี และรับผู้ชายอายุไม่เกิน 25 ปี มาเป็นพนักงานขาย คุณสมบัติคือต้องมีใบขับขี่ จะมีเงินเดือนให้ไม่ต่ำกว่า10,000 บาท โดยจะรับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป สามารถติดต่อได้ที่ศิริวัฒน์ แซนด์วิช
• แล้วสภาพโดยรวมของธุรกิจและจิตใจ ปัจจุบันเป็น อย่างไรบ้างคะ
ก็ต้องบอกว่าดีกว่าปี 40 เยอะเลย เพราะจากมีหนี้เกือบพันล้าน ต้องขึ้นศาล และต้องโดนฟ้องล้มละลาย แต่ตอนนี้ผมมีชีวิตอย่างพอเพียง และความโลภละโมบ เมื่อ 10 ปีที่แล้วมันหมดไปแล้ว ขณะนี้เรามีความทะเยอทะยานอย่างพอเพียง เดี๋ยวนี้มีเท่าไรก็มีความสุข
มีครั้งหนึ่งผมจำได้ว่าหลังจากที่เรื่องราวของผมออกสื่อไปแล้วและผมก็ยังคงไปยืนขายของข้างถนนตามปกติ วันหนึ่งมีคนมายืนสารภาพกับผมว่า เขาเกือบจะฆ่าตัวตายแล้ว เพราะเขาเป็นหนี้ 5 แสนบาท และอีกคนหนึ่งก็เป็นหนี้ 15 ล้านบาท ผมก็เลยบอกเขาว่าให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่างตอนที่ท่านปัญญานันทภิกขุยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะบอกว่าคนเราเกิดมาเมื่อล้มแล้วต้องลุกซิ จะฆ่าตัวตายทำไม ขนาดหมาขี้เรื้อนยังรักชีวิตมันเลย แล้วเราเป็นมนุษย์จะไปฆ่าตัวตายทำไม บางคนเขามีปัญหามากกว่าเราเป็นหลายร้อยเท่า เพียงแค่เขาไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง
• เรียกว่าทุกวันนี้พอใจกับชีวิตของตัวเอง
พอใจครับ..พอใจว่าอย่างน้อยๆเราก็ได้สู้กับวิกฤตกระทั่งลุกขึ้นมาได้ หลายท่านถามว่าเมื่อไรจะประสบความสำเร็จ ผมก็จะบอกว่ารอให้ผมเอากิจการแซนด์วิชเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ก่อนถึงจะประสบความสำเร็จ และมี ประชาชนมาอุดหนุนเราเยอะๆ ผมถือว่านั่นแหละคือความสำเร็จที่ผมต้องการ ถามว่าเป็นความฝันที่เกินจริงไหม สำหรับผม ผมคิดว่าไม่เกินจริงหรอกครับ และทุกวันนี้ผมก็พอใจกับชีวิตแล้ว ผมรู้สึกภูมิใจมาก เพราะเมื่อก่อนผมเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคนเคยรวยมายืนคล้องคอขายแซนด์วิช มีแม่ค้าที่สำเพ็งร้องตะโกนบอกว่ามาดูเศรษฐียืนขายแซนด์วิช ผมฟังแล้วรู้สึกเจ็บใจนะ แล้วยิ่งตอนที่โดนเทศกิจ จับขึ้นรถยิ่งเจ็บปวดใหญ่ คุณคิดดูจากเศรษฐีเคยร่ำรวย โดนเทศกิจจับขึ้นรถ ถามว่าจะรู้สึกเศร้าใจขนาดไหน
เพราะคนจนแล้วมารวยเขาจะเข้มแข็ง แต่ผมเคยรวยแล้วมาจน ซึ่งไม่เคยจนมาก่อน ผมต้องมาเรียนรู้ความรู้สึก ที่มันลำบากที่สุดของชีวิตมากถึง 3-4 เท่าเลย แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าชีวิตผมเข้มแข็งกว่าทุกคนเยอะ และรู้คุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะผมเคยจนและก็กลับมารวยได้อีกครั้ง
• เป็นเพราะผลบุญที่เคยสร้างไว้หรือเปล่าคะ
คงอย่างนั้นมั้งครับ (หัวเราะ)
• ปกติชอบทำบุญแบบไหนคะ
การทำบุญของผมส่วนใหญ่จะไปช่วยคนที่ด้อยโอกาสมากกว่า เช่น คนปัญญาอ่อน คนยากไร้ คนไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก็จะให้ทุนการศึกษา
• คิดว่ากุศลผลบุญมีส่วนทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปบ้างไหม
เยอะเลยครับ อันนี้เรื่องจริง ผมคิดว่าความสำเร็จของศิริวัฒน์แซนด์วิช ส่วนหนึ่งมาจากการทำบุญ เพราะว่าเราเอาของไปบริจาคอยู่เรื่อยๆ หรือบางครั้งเราก็เอาของสดๆไปเลี้ยงเด็กตามโรงเรียนต่างๆ ผมคิดว่าวิธีเหล่านี้มันเป็นการเพิ่มพลังทางจิตให้เราเข้มแข็งขึ้นมาได้ ยิ่งเราทำทานมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับมากเท่านั้น ฉะนั้นเราต้องฝึกเป็นผู้ให้เขาก่อน ทุกครั้งผมจะบอกพนักงานทุกคนว่า เราต้องเป็นคนให้เขาก่อน ถ้าคนที่ดีแต่รับ สักวันหนึ่งเขาก็คงจะรู้สึกละอาย และอยู่กับเราไม่ได้เอง
• ปีใหม่นี้ที่วิกฤตเศรษฐกิจจะกลับมาอีกครั้ง คุณศิริวัฒน์มีอะไรจะแนะนำบ้างคะ
อยากบอกว่าอย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย จงระลึกอยู่เสมอว่าทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่จงคิดไว้เสมอว่าทุกปัญหามันต้องมีทางออก ถ้าถามว่าเสียใจได้ไหม เสียใจได้ ผิดหวังได้ แต่อย่าสิ้นหวัง
จำไว้เสมอว่าอดีตผ่านไปแล้ว เราแก้ไขไม่ได้ แต่สามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับเราได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ เคยอยู่บนฟ้าก็ต้องกล้าติดดิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ เราต้องมีความอดทน
กว่าผมจะมีวันนี้ได้ ผมก็ต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย เหมือนกัน เราต้องเริ่มจากเล็กแล้วไปหาใหญ่ ผมจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนเดิน ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งตอนอายุ 48 ตอนนี้ผม 59 แล้ว ฉะนั้นทุกคนต้องเริ่มต้นใหม่ ทุกคน ยังมีเวลาอีกเยอะ เราต้องทำเพื่อตัวเราเอง
จงคิดไว้เสมอว่า คนโง่ฉลาดเอา คนมีปัญญาฉลาดให้ แล้วชีวิตเราจะมีความสุขและความพอเพียง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะกลับไปขอบคุณเหตุการณ์เมื่อปี 40 ที่ทำให้ผมมีชีวิตในวันนี้ได้อีกครั้ง
.......
เชื่อว่าเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ คนที่เคยรวย ต้องกลับมาจน และกำลังจะรวยอีกครั้งนั้น คงเป็นข้อคิดให้กับใครหลายคนที่กำลังตกอยู่ในมรสุมของชีวิต และหาทาง ออกไม่เจอ
ทุกปัญหามีทางแก้ และต้องแก้ที่ต้นเหตุ ดังเช่นที่ ‘ศิริวัฒน์’ ได้หันกลับมามองเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหา จนกระทั่งเขาสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยพิจิกา)