ครั้งที่ 102
การไม่กล่าวมุสาวาท
แม้เพราะต้องการหัวเราะเล่น
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ พระเวฬุวันวิหาร นครราชคฤห์ สมัยนั้นพระราหุล อยู่ที่ปราสาท ชื่ออัมพลัฏฐิกา เวลาเย็นพระผู้มี พระภาคเสด็จออกจากที่เร้นเสด็จเข้าไปยังปราสาทที่พระราหุลอยู่ พระราหุลได้เห็นพระตถาคตเจ้า เสด็จมาแต่ไกลจึงรีบปูอาสนะ และตั้งน้ำสำหรับล้างพระบาทไว้ พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะแล้วทรงล้างพระบาท พระราหุลถวายบังคมพระพุทธองค์แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเหลือน้ำล้างพระบาทไว้ในภาชนะหน่อยหนึ่ง แล้วตรัสถามพระราหุลว่า
"เห็นน้ำหน่อยหนึ่งเหลืออยู่ในภาชนะหรือไม่?" เมื่อพระราหุลตอบรับว่าเห็น จึงตรัสต่อว่า
'ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล่าวมุสาวาท ทั้งๆ ที่รู้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมของสมณะน้อย เหมือนน้ำที่เหลืออยู่น้อยนี้'
พระผู้มีพระภาคทรงเทน้ำที่เหลืออยู่หน่อยหนึ่งนั้นเสีย แล้วตรัสถามพระราหุลอีกว่า
'เห็นน้ำหน่อยหนึ่งที่เราเทเสียแล้วหรือไม่?' เมื่อราหุลทูลรับว่าเห็น จึงตรัสว่า
'คุณความเป็นสมณะของบุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้นั้น เป็นสิ่งที่เขาทิ้งเสียแล้วเหมือนกัน'
ดังนี้แล้ว ทรงคว่ำภาชนะน้ำนั้นเสีย พลางตรัสถามพระราหุลว่า เห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้หรือไม่ เมื่อพระราหุลทูลรับว่าเห็นแล้ว จึงตรัสว่า
'คุณความเป็นสมณะของผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้ ก็ชื่อว่าเป็นของที่เขาคว่ำเสียแล้วเหมือนกัน'
พระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้น แล้วตรัสถามพระราหุลว่า 'เห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้หรือไม่?' เมื่อราหุลทูลรับว่าเห็น จึงตรัสว่า
'ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้ก็เป็นผู้ว่างเปล่าจากคุณความเป็นสมณะเหมือนกัน' ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาวาททั้งที่รู้อยู่ จะไม่ทำบาปกรรมอย่างอื่นด้วยนั้นเป็นไม่มี เพราะฉะนั้นแหละราหุล เธอพึงสำเหนียก ศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวมุสาทั้งๆ ที่รู้ แม้เพราะต้องการจะหัวเราะกันเล่น
'ดูก่อนราหุล เธอคิดว่ากระจกมีไว้เพื่ออะไร?'
พระราหุลตอบว่า 'เพื่อส่องดู'
'ดูก่อนราหุล ทำนองเดียวกันนี้แล บุคคลพึงพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงทำ ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เมื่อปรารถนาจะทำ สิ่งใดพึงพิจารณาเสียก่อนว่ากายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียน ทั้งตนและผู้อื่นบ้าง เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากหรือไม่ เมื่อพิจารณาเห็นอย่างถ่องแท้แล้วว่า เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นวิบาก ก็ไม่พึงทำกรรมนั้น แต่กรรมใดที่พิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นกุศลไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น มีสุขเป็นกำไรและเป็นวิบาก พึงทำกรรมนั้น ถ้าพลั้งพลาดกระทำกรรมที่มีทุกข์เป็นวิบากลงไปก็พึงแสดงเปิดเผยต่อพระศาสดา หรือต่อเพื่อนร่วมพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนแล้วพึงสำรวมระวังต่อไป แต่ถ้าพิจารณาเห็นว่า กรรมที่ทำไปแล้วนั้นเป็นกุศลมีสุขเป็นกำไร เป็นวิบาก ก็พึงมีปีติปราโมทย์ ศึกษาปฏิบัติอยู่ในกุศลธรรมนั้นทั้งกลางวัน และกลางคืน
'ดูก่อนราหุล สมณพราหมณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ได้ชำระกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมให้บริสุทธิ์อยู่ได้ ก็เพราะพิจารณาเนืองๆ อย่างนี้นั่นเอง'
พระราหุลชื่นชมยินดีต่อพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคยิ่งนัก
การไม่กล่าวมุสาวาท
แม้เพราะต้องการหัวเราะเล่น
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ พระเวฬุวันวิหาร นครราชคฤห์ สมัยนั้นพระราหุล อยู่ที่ปราสาท ชื่ออัมพลัฏฐิกา เวลาเย็นพระผู้มี พระภาคเสด็จออกจากที่เร้นเสด็จเข้าไปยังปราสาทที่พระราหุลอยู่ พระราหุลได้เห็นพระตถาคตเจ้า เสด็จมาแต่ไกลจึงรีบปูอาสนะ และตั้งน้ำสำหรับล้างพระบาทไว้ พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะแล้วทรงล้างพระบาท พระราหุลถวายบังคมพระพุทธองค์แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเหลือน้ำล้างพระบาทไว้ในภาชนะหน่อยหนึ่ง แล้วตรัสถามพระราหุลว่า
"เห็นน้ำหน่อยหนึ่งเหลืออยู่ในภาชนะหรือไม่?" เมื่อพระราหุลตอบรับว่าเห็น จึงตรัสต่อว่า
'ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล่าวมุสาวาท ทั้งๆ ที่รู้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมของสมณะน้อย เหมือนน้ำที่เหลืออยู่น้อยนี้'
พระผู้มีพระภาคทรงเทน้ำที่เหลืออยู่หน่อยหนึ่งนั้นเสีย แล้วตรัสถามพระราหุลอีกว่า
'เห็นน้ำหน่อยหนึ่งที่เราเทเสียแล้วหรือไม่?' เมื่อราหุลทูลรับว่าเห็น จึงตรัสว่า
'คุณความเป็นสมณะของบุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้นั้น เป็นสิ่งที่เขาทิ้งเสียแล้วเหมือนกัน'
ดังนี้แล้ว ทรงคว่ำภาชนะน้ำนั้นเสีย พลางตรัสถามพระราหุลว่า เห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้หรือไม่ เมื่อพระราหุลทูลรับว่าเห็นแล้ว จึงตรัสว่า
'คุณความเป็นสมณะของผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้ ก็ชื่อว่าเป็นของที่เขาคว่ำเสียแล้วเหมือนกัน'
พระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้น แล้วตรัสถามพระราหุลว่า 'เห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้หรือไม่?' เมื่อราหุลทูลรับว่าเห็น จึงตรัสว่า
'ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาทั้งที่รู้ก็เป็นผู้ว่างเปล่าจากคุณความเป็นสมณะเหมือนกัน' ดูก่อนราหุล บุคคลผู้ไม่มีความละอายกล้ากล่าวมุสาวาททั้งที่รู้อยู่ จะไม่ทำบาปกรรมอย่างอื่นด้วยนั้นเป็นไม่มี เพราะฉะนั้นแหละราหุล เธอพึงสำเหนียก ศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวมุสาทั้งๆ ที่รู้ แม้เพราะต้องการจะหัวเราะกันเล่น
'ดูก่อนราหุล เธอคิดว่ากระจกมีไว้เพื่ออะไร?'
พระราหุลตอบว่า 'เพื่อส่องดู'
'ดูก่อนราหุล ทำนองเดียวกันนี้แล บุคคลพึงพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงทำ ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เมื่อปรารถนาจะทำ สิ่งใดพึงพิจารณาเสียก่อนว่ากายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียน ทั้งตนและผู้อื่นบ้าง เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากหรือไม่ เมื่อพิจารณาเห็นอย่างถ่องแท้แล้วว่า เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นวิบาก ก็ไม่พึงทำกรรมนั้น แต่กรรมใดที่พิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นกุศลไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น มีสุขเป็นกำไรและเป็นวิบาก พึงทำกรรมนั้น ถ้าพลั้งพลาดกระทำกรรมที่มีทุกข์เป็นวิบากลงไปก็พึงแสดงเปิดเผยต่อพระศาสดา หรือต่อเพื่อนร่วมพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนแล้วพึงสำรวมระวังต่อไป แต่ถ้าพิจารณาเห็นว่า กรรมที่ทำไปแล้วนั้นเป็นกุศลมีสุขเป็นกำไร เป็นวิบาก ก็พึงมีปีติปราโมทย์ ศึกษาปฏิบัติอยู่ในกุศลธรรมนั้นทั้งกลางวัน และกลางคืน
'ดูก่อนราหุล สมณพราหมณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ได้ชำระกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมให้บริสุทธิ์อยู่ได้ ก็เพราะพิจารณาเนืองๆ อย่างนี้นั่นเอง'
พระราหุลชื่นชมยินดีต่อพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคยิ่งนัก