“ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า เราสามารถพาแม่ไปเที่ยวแม่สาย พาไปกินแม่ลาปลาเผาได้ แต่เราไม่สามารถไปหาแม่ที่ตายไปแล้วได้ ถึงแม้ว่าจะมีเงินมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม” เสียงสะท้อนของ ‘สน เดอะสตาร์’ ที่มีต่อที่มีต่อแม่ บุพพการีผู้ให้ชีวิต
‘สน เดอะสตาร์’ หรือชื่อตามบัตรประชาชนว่า ‘สนธยา ชิตมณี’ เด็กหนุ่มเมืองสะตอ จ.สงขลา เขาคือเด็กบ้านนอก ที่ก้าวขึ้นสู่ดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิงไทย ด้วยการผ่านด่านทดสอบของรายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงน้ำเสียงที่มีคุณภาพ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างประจักษ์และยอมรับเป็นเสียงเดียวกันถึงชายคนนี้คือเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ ผู้ให้กำเนิดชีวิตของเขา
สนเล่าถึงภาพความผูกผันระหว่างแม่กับเขาให้ฟังด้วยน้ำเสียงสดใสว่า ตั้งแต่เล็กจนโตภาพที่เขาเห็นจนคุ้นชินคือภาพความอบอุ่นในครอบครัว ถึงแม้ว่าที่บ้านจะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร แต่ที่บ้านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นแบบพอเพียง
“สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแม่ทำมาตลอดชีวิตก็คือการใช้ชีวิตพอเพียง แม่เป็นคนที่ไม่ชอบทิ้งกับข้าวไม่ชอบปล่อยให้ของเหลือ ถ้าเป็นกับข้าวแม่จะอุ่นกินจนกว่าจะหมด อย่างแกงกะทิเวลาที่เรากินไม่หมด แม่ก็เก็บแกงกะทิไว้อุ่นกินวันหลัง จากแกงที่เต็มไปด้วยน้ำก็กลายเป็นคั่วกลิ้งทันที เพราะแม่อุ่นให้กินหลายวันมาก ตอนเป็นเด็กผมรู้สึกไม่ชอบว่าทำไมแม่ ถึงไม่ทำกับข้าวอย่างอื่นกินบ้าง จะกินของเดิมให้หมดทำไม แต่พอเราต้องหาเงินใช้เองนั้นแหละเราถึงรู้ว่า กว่าที่จะหาเงินได้แต่ละบาทนั้นมันยากเพียงใด และถ้าผมทำตามที่แม่ทำได้ ก็เชื่อว่าชีวิตนี้ของผมจะไม่มีวันลำบากอย่างแน่นอน”
สนเล่าว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยที่จะบอกรักแม่แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆที่เสียงภายในหัวใจของเขาทั้งหมดมีเพียงแม่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเสมือนแสงสว่างในหัวใจ และเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้างเขาเสมอในยามที่เขาเดินอยู่บนหน้าผาสูงชันเพียงลำพัง
ดังนั้น ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือการเข้าประกวดเดอะสตาร์ ทุกครั้งก่อนการประกวดจะเริ่มขึ้น เขาได้นำน้ำล้างเท้าแม่มาดื่มกินอย่างไม่รู้สึกเขินอาย ด้วยความเชื่อที่ว่าสิ่งที่อยู่ต่ำที่สุดของแม่ อย่างไรก็ยังอยู่สูงกว่าลูกเสมอ ลูกจะไม่มีวันอยู่สูงกว่าความรักของแม่ได้ และเขายังนำเอาเศษผ้าซิ่นของแม่มาผูกไว้ที่ข้อมือ เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่าแม่อยู่กับเขาตลอดเวลา
“ตอนนั้นผมได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของภาคใต้ให้เข้าไปประกวดกับตัวแทนในภาคต่างๆที่กรุงเทพฯ เพื่อหาผู้ที่ได้เป็นเดอะสตาร์ ผมจำได้ว่าก่อนวันที่ผมจะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ ผมไปเอาน้ำเปล่าใส่กะละมังและนำไปล้างเท้าแม่ เพื่อให้ท่านให้พร หลังจากนั้นผมก็นำน้ำล้างเท้าของแม่ไปใส่ขวดพลาสติกขนาดกลางนำติดตัวมาที่กรุงเทพฯ เพื่อนำมาดื่มก่อนขึ้นเวที ทั้งๆที่วันนั้นเท้าของแม่ดำมาก เนื่องจากท่านเป็นคนไม่ชอบใส่รองเท้าเวลาไปไหนมาไหน แต่ผมก็เชื่อว่าร่างกายของเรามีภูมิต้านทานที่ดีโดยเฉพาะการได้รับความรักจากแม่นั้นเป็นภูมิต้านทานโรคที่ดีมาก และของอีกชิ้นที่ติดตัวผมจนถึงทุกวันนี้คือเศษผ้าถุงของแม่ ผมเอาเศษผ้าถุงมาทำเป็นสายข้อมือ เพื่อสวมติดตัวไว้ตลอดเวลา ประหนึ่งไม่ว่าแม่จะอยู่ที่ไหนแม่ก็จะยังเป็นที่รักของลูกเสมอ” สนบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อแม่
ชายหนุ่มเล่าต่อว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขารู้สึกซาบซึ้งในความรักที่แม่มีให้กับเขามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งหลังจากที่เขากำลังเข้านอนอย่างสบายใจบนฟูกนุ่มๆ แม่ของเขากำลังทำอะไรอยู่
กระทั่งวันหนึ่งมีรายการโทรทัศน์มาถ่ายทำรายการที่บ้าน เขาจึงรู้ว่าทุกครั้งที่เขาหลับตาอย่างมีความสุข กลับมีหญิงชราคนหนึ่งนั่งสวดมนต์เป็นเวลานานนับชั่วโมงเพื่อขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองให้ลูกๆทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข
“ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งที่ผมนอนหลับอยู่แม่ทำอะไรบ้าง จนวันหนึ่งมีรายการทีวีไปถ่ายรายการที่บ้าน ผมจึงเห็นแม่นั่งสวดมนต์อยู่เป็นเวลานาน และขอพรให้ลูกๆทุกคนมีความสุข”
นอกจากนี้สนยังเล่าถึงคำสอนของแม่ที่เขาจดจำมาถึงทุกวันนี้ว่า ส่วนใหญ่แม่จะสอนให้เป็นคนมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมกับทุกคน และเขาก็ได้นำสิ่งนั้นมายึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตจนถึงทุกวันนี้
หลายคนอาจเปรียบเทียบความรักของแม่ดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่สำหรับหนุ่มคนนี้เขากลับบอกว่า ความรักของแม่ยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบปานได้ ไม่มีรักใดที่ยิ่งใหญ่กว่ารักของแม่ที่มีให้กับลูกอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้แต่ขนาดพระพุทธองค์ยังเคยตรัสไว้ว่า พ่อกับแม่เปรียบเสมือนพระอรหันต์ในบ้าน ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้ เมื่อไรก็ ตามที่เราเคารพพ่อแม่ ชีวิตของเราก็จะประสบแต่ความสุขความเจริญ
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมีความรักและความกตัญญูต่อบุพการีอันเป็นที่รักมากเพียงใดก็ตาม แต่ในช่วงชีวิตของมนุษย์คงไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาดต่อบุคคลอันเป็นที่รัก แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม เขายอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า เคยทำให้แม่ต้องน้ำตาตกมาแล้วหลายครั้ง
“ตอนเป็นเด็กผมเกเรมากไม่ค่อยชอบเข้าเรียนหนังสือ ชอบหนีเรียนมาฝึกเล่นกีตาร์ เพราะรู้สึกว่าทุกครั้งที่เล่นดนตรีเรารู้สึกว่าเท่ห์มาก จึงทำให้ผลการเรียนไม่ค่อยดี ตอนนั้นพอแม่รู้ว่าเราสอบไม่ผ่าน ถึงกับร้องไห้ตั้งหลายครั้ง เพราะอยากให้ตั้งใจเรียนให้จบ แต่ด้วยความที่ยังเด็กก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เพียงแค่ไม่อยากเรียนเท่านั้น พอโตขึ้นจึงเริ่มรู้ว่าสิ่งที่แม่ขอร้องนั้นเพราะเขารักเรา และอยากให้เรามีอนาคตที่ดีจะได้ดูแลตัวเองได้ แต่สุดท้ายผมก็พยายามเรียน กศน.จนจบ”
เมื่อถามถึงสิ่งที่เขาทำให้แม่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มากที่สุดนั้นคืออะไร คำตอบที่ได้รับจากปากชายคนนี้กลับไม่ใช่การเป็นเดอะสตาร์ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มบอกว่าแม่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขามากที่สุดก็คือ การที่วันหนึ่งได้เห็นลูกมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นคนดีของสังคมก็เพียงพอแล้ว
“ผมเคยคิดว่าการที่เป็นเดอะสตาร์จะทำให้แม่ภูมิใจมากที่สุด แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในยามที่เรามีชื่อเสียงแม่กลับยิ่งเป็นห่วงเรามากขึ้น ที่สำคัญเราต้องแยกจากกัน ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่แม่อยากให้ผมทำให้มากที่สุดในชีวิตนี้คือการที่ท่านเห็นเราเป็นฝั่งเป็นฝา มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น และเป็นคนดีของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนเป็นแม่มีความสุขที่สุดได้แล้ว”
สนเล่าถึงอีกสิ่งหนึ่งที่เขาทำให้แม่มีความสุขว่า มีครั้งหนึ่ง ที่เขาได้เป็นเดอะสตาร์ใหม่ๆ เขาขึ้นไปรับแม่ที่ต่างจังหวัด เพื่อพามาที่กรุงเทพฯ ด้วยการพาแม่นั่งเครื่องบินมา และคำพูดแรกที่ชายหนุ่มได้ยินแม่พูดออกมาหลังจากที่เครื่องบินถึงพื้นดินคือ “แม่ยังไม่ทันตายเลย ก็ได้ขึ้นสวรรค์เสียแล้ว”
ชายหนุ่มบอกว่าคำพูดของแม่คำนี้ถึงกับทำให้เขาสะอึกไปพักใหญ่ ถึงแม้ว่าราคาตั๋วเครื่องบินอาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่เขาก็รู้สึกภูมิใจในฐานะที่เขาเป็นลูกคนแรกที่พาแม่นั่งเครื่องบิน และทำให้แม่มีรอยยิ้มได้ ซึ่งความสุขมันมหาศาลยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์ 7 ชั้นเสียอีก
เนื่องในวันแม่ 12 สิงหาคม ที่จะถึงนี้นักร้องหนุ่มยอดกตัญญูยังได้เชิญชวนให้ลูกๆทุกคนกลับไปกราบลงที่ตักพร้อมกับหอมแก้มและบอกรักแม่ ให้ท่านชื่นใจและมีกำลังใจอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกตลอดไป
“ทุกวันนี้ด้วยสภาวะกาลเวลาที่เปลี่ยน เราอายุมากขึ้นทุกวัน แต่สำหรับวันแม่ผมว่าเราไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่กลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน ทำตัวเป็นเด็กอีกสักครั้ง และเข้าไปหอมที่แก้มของท่าน เพื่อให้ได้รับความรักอันอ่อนละมุน และบอกรักท่านเบาๆ เพราะผมเชื่อว่าแม่ทุกคนรอให้ลูกกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เพื่อที่จะให้หัวใจของเราสองดวงได้รับไออุ่นจากความรักซึ่งกันและกันอีกครั้งหนึ่ง”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดย ศศิวิมล แถวเพชร)