คอลัมน์ศิลปะแห่งศรัทธา
โดย Artmulet
ท้าวกุเวรหรือกุเพรัน ในยุคสมัยพระเวทเป็นยักษ์แคระราชาแห่งจิตวิญญาณชั่วร้าย เป็นเทพแห่งโจรและการลักทรัพย์ อยู่ตามป่าเขาถ้ำลึกคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติอัญมณีของล้ำค่าต่างๆ เหล่าโจรทั้งหลายจึงนิยมบูชาเพื่อให้ช่วยเหลือในการปล้นชิง คุ้มครองจากภูตร้ายและปกป้องทรัพย์สิน ต่อมาคัมภีร์ปุราณะและในมหากาพย์สำคัญกล่าวถึงกุเวรว่าเป็นโอรสของ พระวิศรวะมุนี ผู้เป็นบุตรของ ฤษีปุลัสตยะ พระประชาบดีหนึ่งในสิบบุตรที่กำเนิดจากใจหรือมนัสของพระพรหมกับ นางอิลาวิฑายักษิณี ท้าวกุเวรจึงถือว่าเป็นพรหมพงศ์มีสถานะเป็นเทพองค์หนึ่ง ปุลัสตยะมุนีได้ประทานชื่อให้ว่า ไวศรวณะ ที่แปลว่าเกิดแต่วิศรวะ แต่เนื่องจากรูปกายที่ไม่งดงามจึงมีฉายาว่ากุเวร ในมหาภารตะท้าวกุเวรเป็นบุตรของพระปุลัสตยะ แต่ในรามเกียรติ์เรียกฤษีปุลัสตยะว่าท้าวลัสเตียน
เมื่อไวศรวณะเติบใหญ่ขึ้นจึงได้ไปบำเพ็ญตบะในป่าอยู่หลายพันปี จนความทราบถึงพระพรหมผู้เป็นใหญ่ พระองค์จึงให้พรแก่ไวศรวณะ ไวศรวณะได้ขอให้ตนเองมีอิทธิฤทธิ์อำนาจที่จะปกป้องดูแลรักษาโลก ซึ่งในขณะนั้นพระพรหมกำลังตั้งโลกบาลขึ้นให้ครบทุกทิศ โดยให้พระอัคนีเฝ้าดูแลทิศตะวันออกเฉียงใต้ พระสุริยะดูแลทิศตะวันตกเฉียงใต้ พระโสมอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระวายุรักษาทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระอินทร์ให้ประจำทิศตะวันออก พระยมรักษาทิศใต้ พระวรุณทิศตะวันตก ยังขาดอยู่แต่ทิศเหนือพระพรหมจึงให้ท้าวกุเวรอยู่เฝ้ารักษาทิศเหนือเป็นอันครบโลกบาล พร้อมทั้งให้ท้าวกุเวรนั้นเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติ และประทานบุษบกให้เป็นพาหนะอีกทั้งยังให้ชีวิตที่เป็นอมตะด้วย
ต่อมาฤษีปุลัสตยะให้ท้าวกุเวรไปครองเมืองลงกาซึ่งพระวิศณุกรรมได้สร้างไว้ให้พวกรากษส แต่ขณะนั้นเป็นเมืองร้างเพราะพวกรากษสถูกพระนารายณ์ขับไล่จึงได้หนีไปอยู่เมืองบาดาล ฝ่ายสุมาลีกุมภัณฑ์ได้ขึ้นมาจากบาดาลหวังว่าจะเอาเมืองลงกาจากท้าวกุเวรมาครอง ด้วยการให้นางไกกะสีผู้เป็นธิดาไปถวายตัวต่อฤษีปุลัสตยะจนมีบุตรเป็นโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ ภิเภก และธิดาคือสูรปนขา ท้าวกุเวรจึงถือได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมบิดากับทศกัณฐ์ผู้ที่แย่งเมืองลงกาและบุษบกวิเศษไปครอง ทั้งยังให้ท้าวกุเวรต้องรับใช้ทศกัณฐ์ในตำแหน่งขุนคลังด้วย ภายหลังพระพรหมจึงได้สร้างเมืองใหม่ให้ท้าวกุเวรชื่อว่าอละกา หรือประภาเป็นเมืองทิพย์บนยอดเขามันทรคีรี
พุทธศาสนามหายาน-วัชรยาน ท้าวกุเวรเป็นผู้ที่รู้จักในนามของพระโพธิสัตว์ชัมภลผู้เป็นเทพแห่งโชคลาภ สถานะเป็นธรรมบาลเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ปราบดูแลเหล่าปีศาจยักษ์มาร ขณะเดียวกันยังมีสถานะเป็นเทพผู้พิทักษ์(ยิดัม) มีอำนาจปราบภูติผีร้ายต่าง ๆ ไม่ให้ทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ พระโพธิสัตว์ชัมภลในคติพุทธศาสนาจึงถือได้ว่าเป็นผู้ประทานโชคลาภ และคุ้มครองมนุษย์จากความชั่วร้ายทั้งปวง ศิลาจารึกในสมัยอยุธยากล่าวถึงท้าวกุเวรว่าเป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ภูติผีปีศาจ ชอบแฝงอยู่ในเงามืด ต่อมาจึงนับถือเป็นท้าวเวสสุวรรณผู้เป็นโลกบาลแห่งทิศเหนือของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา และเป็นประธานแห่งท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ทิศ ตามตำนานท้าวจตุโลกบาลนั้นเป็นตำแหน่งเมื่อถึงคราวสิ้นบุญแล้วจะต้องจุติจากเทวะพิภพไป ท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ก็จะทรงแต่งตั้งหรือรอการอุบัติขึ้นใหม่ของท้าวจตุโลกบาลองค์ต่อไป แต่คัมภีร์ทางพุทธศาสนายังมีการกล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณจตุโลกบาลองค์นี้ว่าเป็นพระอริยะบุคคลชั้นโสดาบันด้วย แม้ว่าในพระสูตรจะไม่ได้กล่าวถึงการเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ของท้าวกุเวร แต่โดยความเชื่อของชาวพุทธจะเห็นถึงการเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินได้จากทั้งรูปเคารพที่เป็นประติมากรรม ศิลปกรรมต่างๆที่แสดงถึงการเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์ของท้าวกุเวรได้อย่างชัดเจนดั่งเช่น รูปท้าวกุเวรที่มีหม้อและพังพอนคายเหรียญเงิน
เทวะลักษณ์ของท้าวกุเวรเป็นพระยายักษ์รูปคนแคระ พระอุทรใหญ่ ผิวกายสีขาวขาพิการมีฟันแปดซี่ ทรงอาภรณ์สวมมงกุฎอย่างเทวดา มีคฑาวุธยอดศาสตราเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างโลกได้ พระหัตถ์ขวาทรงกล่องอัญมณี พระหัตถ์ซ้ายทรงถุงเงินทองพาดบ่าแสดงถึงการเป็นเทพแห่งธนสารสมบัติและโชคลาภ มีชายานามว่า นางยักษีหรือ จารวีเป็นธิดาแห่งพญามรุทานพ มีโอรสสองตนคือ มณีครีพหรือ วรรณะกวี และ มยุราชหรือ นลกุพละ มีธิดาชื่อ มีนากษีที่แปลว่าตาปลา ในรามเกียรติ์ยังกล่าวถึงว่าเป็นบิดาของคันธมาทน์ทหารเอกของพระรามด้วย
ท้าวกุเวรมีพาหนะเป็นทั้งโค แกะตัวผู้ ม้าทองคำ และช้างที่ชื่อว่าสารวะโภมะหรือหิมะปาณฑระ ท้าวกุเวรยังมีนามเรียกขานหลายนามเช่น กิตรุนุ ผู้มีร่างอัปลักษณ์, ธเนศวร ผู้เป็นเจ้าแห่งสมบัติ, ยักษะราชาราชาแห่งยักษ์, นรราช ขุนแห่งคน, ธนัทผู้ให้ทรัพย์, มยุราช เจ้าแห่งพวกมยุหรือกินนร, รัตนะครรภ์ มีทรัพย์มีอำนาจให้คนต้องเคารพ เป็นต้น
การรังสรรค์งานประติมากรรมท้าวกุเวรธเนศวรธนบดี มหาราชลีลาราชายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์และโชคลาภนั้น อยู่ในปางนั่งมหาราชลีลาทรงอาภรณ์เยี่ยงกษัตริย์สวมมงกุฎ ประทับบนบัลลังก์ทองที่ประดับด้วยเพชรนิลจินดาเหนือกองมหาสมบัติ พระหัตถ์ซ้ายทรงคทาวุธประดุจการทำลายล้างปัญหาอุปสรรคทั้งหลายให้สิ้นไป พระหัตถ์ขวาทรงไหทองคำเปรียบดั่งเงินไหลกองทองไหลมา พระหัตถ์ซ้ายบนทรงโคตรเพชรที่แสดงถึงความมั่งคั่งในธนสารสมบัติ พระหัตถ์ขวาบนชี้นำพาสู่ความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา องค์ท้าวกุเวรนี้จึงถือได้ว่าเป็นสัญญะอันเป็นมงคลถึงความมั่งคั่งร่ำรวยอุดมด้วยธนสารสมบัติอันบริบูรณ์ อีกทั้งองค์ท้าวกุเวรเองยังถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่มีนัยยะแสดงถึงการการปกป้องพุทธศาสนา และเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายจากความชั่วร้ายและภัยอันตรายทั้งปวงอีกด้วย
สำหรับท่านที่สนใจประติมากรรมพระพรหมลิขิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Inbox: Artmulet
OfficialLine ID: @artmulet
เว็บไซต์:www.artmulet.com
และที่วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง T.0925577511


