คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
การเมืองการปกครองสวีเดนในยุคแห่งเสรีภาพนั้น รัฐบาลสวีเดนจึงต้องเผชิญกับปัญหาที่ว่า จะหาทางปกป้องประเทศที่กำลังถูกโจมตีจากรัสเซียและเดนมาร์กอย่างไร เพราะกองทัพที่เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของ Charles XII ได้สลายไปหลังจากที่พระองค์สวรรคต และกองกำลังส่วนใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพล Armfelt ที่เคยเข้าโจมตีนอร์เวย์ ก็ล้มตายจากความหนาวเย็นและความอดอยาก ทำให้สวีเดนไม่สามารถทัดทานการโจมตีจากกองกำลังของรัสเซียและเดนมาร์ก
การที่สวีเดนขาดพระมหากษัตริย์ที่กล้าหาญและชำนาญการรบ ทำให้รัฐบาลใหม่ไม่สามารถดำเนินนโยบายได้ตามแผนที่วางไว้ นั่นคือ ยื้อการเจรจากับรัสเซียเพื่อดำเนินการทางการทูตในการสร้างพันธมิตรกับแฮนโนเวอร์และอังกฤษเพื่อมาถ่วงดุลกับรัสเซีย แต่รัสเซียรู้แผนการดังกล่าวนี้ จึงรีบโจมตีสวีเดนเสียก่อน
ในขณะที่สวีเดนถูกรัสเซียและเดนมาร์กโจมตีอยู่นั้น สวีเดนก็ยังดำเนินการการเจรจากับแฮนโนเวอร์และอังกฤษ และเมื่อกองเรืออังกฤษเดินทางมาถึงแม่น้ำ Sound รัฐบาลสวีแดนต้องยอมเสียดินแดนบริเวณ Bremen และ Verden และได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1719 เมื่อสวีเดนสามารถเจรจาเป็นพันธมิตรกับอังกฤษได้ ทำให้รัสเซียได้ถอนกำลังออกไปจากบริเวณบอลติก (the Baltic) สวีเดนได้ทำข้อตกลงสันติภาพกับปรัสเซีย โดยยอมยกทางใต้ของ Pomerania ไป รวมทั้ง Stettin และเกาะ Usedom และ Wollin และยอมให้ปรัสเซียได้บริเวณ Oder estuary หลังจากนั้นสวีเดนจึงได้มีการสรุปข้อตกลงสันติภาพขี้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1720
หลังจากเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1720 ที่สวีเดนประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และ Frederick I ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนและได้แต่งตั้งให้ Horn เป็นประธานสภาบริหารอีกครั้ง และ Horn ได้เข้าทำหน้าที่ดูแลกิจการด้านต่างประเทศ แม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และมีความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งความสูญเสียของสวีเดนได้
ในการที่จะหาทุกวิถีทางที่จะทัดทานรัสเซีย สวีเดนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเดนมาร์ก โดยมีอังกฤษเป็นตัวกลางที่ทำให้เดนมาร์กและสวีเดนทำสนธิสัญญากัน Horn สามารถต่อรองให้เดนมาร์กลดข้อเรียกร้องลง โดยสวีเดนยอมยกเลิกการเก็บภาษีค่าด่านเข้าแม่น้ำ (the Sound tolls) และต้องจ่ายค่าชดเชยสงครามเป็นจำนวน 6,000,000 (rix dollars) และสวีเดนจะต้องถอนการสนับสนุน Holstein-Gottorp ที่มีมาแต่เดิมไป และสัญญาว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงสนับสนุน Duke of Holstein-----Gottorp อีกต่อไปด้วย และจากเงื่อนไขดังกล่าวนี้เองที่เดนมาร์กยอมทำสนธิสัญญาสันติภาพที่ Fredriksburg ในเดือนมิถุนายน 1720
การยินยอมดังกล่าวนี้ถือว่าเสียหายน้อยต่อสวีเดน เพราะ Frederick I เองก็ไม่ได้ทรงปรารถนาที่จะให้การช่วยเหลืออะไรมากมายต่อ Charles Frederick Duke of Holstein-Gottorp ที่เป็นคู่แข่งชิงบัลลังก์กับพระองค์อยู่แล้ว และสวีเดนในสภาวะที่ตกต่ำขณะนั้น จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนที่ทรงอำนาจจากอังกฤษในความพยายามที่จะได้ส่วนของ the Baltic ที่ตกไปเป็นของรัสเซียคืนมา แต่การสนับสนุนของอังกฤษไม่ชัดเจน และเมื่อรัสเซียยืนยันความต้องการโดยการเข้าโจมตีอีกครั้งในปี ค.ศ. 1721
สวีเดนพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ สวีเดนกลับไม่มีชาติใดอยู่ข้างสวีเดน เพราะอังกฤษเองในขณะนั้นมีความต้องการที่จะคลี่คลายตัวเองอย่างเร็วที่สุดจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในสแกนดิเนเวีย เพราะไม่ต้องการจะขัดแย้งกับรัสเซียอย่างเปิดเผย ดังนั้น ในสนธิสัญญา the Treaty of Nystad 1721 สวีเดนจึงถูกบังคับให้เสียดินแดน Livonia, Esthonia, Ingermanland และ East Karella ให้รัสเซีย ทำให้สถานะของสวีเดนตกต่ำมากจากข้อตกลงดังกล่าวนี้ ทั้งทางยุทธศาสตร์ที่สวีเดนไม่สามารถพึ่งพาฟินแลนด์ในฐานะที่เป็นดินแดนกันชน และในทางเศรษฐกิจ ก็ต้องสูญเสีย Livonia ที่อุดมสมบูรณ์ไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน สวีเดนก็ได้รับหลักประกันในสิทธิ์ที่จะนำเข้าข้าวปลอดภาษีจำนวนมากจาก Riga และจากสนธิสัญญา the Treaty of Nystad 1721 สวีเดนได้บรรลุสันติภาพที่ต้องการมาเป็นเวลาอันยาวนาน อันเป็นสันติภาพที่สวีเดนต้องแลกกับการสูญเสียอย่างมากมาย และผลพวงของการต่อสู้อันยาวนานของสวีเดนนับศตวรรษในสงครามต่างๆ และ “มหาสงครามตอนเหนือ” ได้มาจบสิ้นลงเพียงการสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้สวีเดนจากที่เคยเป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ในยุโรปลงเอยกลายเป็นประเทศที่ยากจนสุดขีด อ่อนแอและไม่สามารถปกป้องตัวเองได้
การประชุมสภาฐานันดรครั้งแรก ปี ค.ศ. 1723
Frederick I และการตอกย้ำความถดถอยของสถาบันพระมหากษัตริย์และการลงหลักปักฐานอำนาจของฐานันดร
ในช่วงที่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆด้ วยพระชันษา 31 พรรษา Frederick I ยังทรงแข็งขันและกระตือรือร้นและในช่วงของการเจรจาสันติภาพครั้งสำคัญข้างต้น ที่รัสเซียกำลังสนับสนุน Duke Charles Frederick of Holstein ที่ขณะนั้นลี้ภัยอยู่ที่รัสเซีย และเป็นที่รู้กันว่า Peter ได้วางแผนการแต่งงานระหว่าง Charles Frederick กับพระราชธิดาของพระองค์ ทำให้ Frederick I อยู่ตรงกลางระหว่างคู่แข่งของพระองค์และพันธมิตรสำคัญคืออังกฤษ Frederick I ก็ยังทรงหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพระองค์เอง
พระองค์ทรงพยายามที่ขยายพระราชอำนาจของพระองค์ พร้อมกับการคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ Hesse แต่พระองค์ก็ทรงล้มเหลวทั้งสองเรื่องและกลับไม่ได้มีส่วนช่วยให้สวีเดนผ่านพ้นวิกฤตกับต่างชาติ ในการพยายามที่จะขยายพระราชอำนาจ พระองค์ทรงหวังว่าในการประชุมสภาฐานันดรในปี ค.ศ. 1723 พระองค์จะได้รับการสนับสนุนจากฐานันดรชาวนาและบรรดาผู้จงรักภักดี (the royalists) แต่ก็ล้มเหลว โดยได้เกิดกลุ่ม Holstein และสมาชิกในกลุ่มที่โจมตีพระองค์ในฐานะที่มีส่วนในการเจรจาสันติภาพที่ยอมให้สวีเดนสัญญาต่อเดนมาร์กว่าจะไม่สนับสนุนช่วยเหลือ Duke of Holstein ที่กลุ่ม Holstein ในสวีเดนสนับสนุนอยู่
เหตุผลที่กลุ่ม Holsten สนับสนุน Charles Frederick ก็เพราะหวังว่า พระองค์และรัสเซียจะช่วยรื้อฟื้นดินแดนสวีเดนบางส่วนที่เสียไป โดยอ้างถึงการที่ Peter the Great แห่งรัสเซียตั้งใจที่จะยก Livonia ให้แก่ Charles Frederick เป็นของขวัญการอภิเษกสมรส แต่แผนการต่างๆ ของ Frederick I ไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด
ในช่วงที่พระองค์ทรงพยายามจะรื้อฟื้นพระราชอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้มีกลุ่มผู้สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ (ซึ่งผู้วิจัยขอเรียกว่า “กลุ่มเจ้า” หรือ “court party” ซึ่งในภาษาสวีดิชเรียกว่า “Hovpartiet”) ก่อตัวขึ้นระหว่างสมัยประชุมสภา ค.ศ. 1723 เพื่อสนับสนุน Frederick I ในความพยายามของพระองค์ที่จะรื้อฟื้นพระราชอำนาจให้กลับคืนมา
แต่สถานะของพระองค์กลับยิ่งตกต่ำอย่างชัดเจน เมื่อในที่ประชุมสภาฐานันดร ค.ศ. 1723 ซึ่งเป็นการประชุมสภาฐานันดรครั้งแรกหลังจากปี ค.ศ. 1720 ตามที่รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ได้กำหนดให้มีการประชุมสภาฐานันดรทุกสามปี บรรดาสมาชิกสภาจากฐานันดรทั้งสามอันได้แก่ อภิชน นักบวช พ่อค้าคนเมือง ต่างตั้งข้อสงสัยไม่วางใจและตั้งข้อรังเกียจในพฤติกรรมที่ผ่านมาของพระองค์ แต่ฐานันดรชาวนาสนับสนุนพระราชดำริในการขยายพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ให้อำนาจแก่ฐานันดรอภิชนทั้งสามมาก ในขณะที่ฐานันดรชาวนาไม่มีสิทธิ์มีเสียงได้เท่าไรนัก ฐานันดรชาวนาจึงต้องการให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากขึ้นเพื่อจะได้ถ่วงดุลอำนาจกับพวกอภิชน
ฐานันดรชาวนาได้ยื่นร่างข้อเสนอให้ขยายพระราชอำนาจไปยังที่ประชุมสภาฐานันดรทั้งสาม แต่ร่างดังกล่าวถูกที่ประชุมสภาฐานันดรทั้งสามลงมติไม่รับรอง ทำให้ปรากฏชัดเจนว่า Frederick I ทรงไม่มีอิทธิพลใดๆ เหลืออยู่อีกต่อไปในสภาฐานันดร และกลุ่มเจ้าก็ได้สลายตัวไป และที่ประชุมสภาฐานันดรได้ผ่านพระราชบัญญัติรัฐสภา ค.ศ. 1723 (the Riskdag Act 1723) กำหนดรูปแบบและกระบวนการขั้นตอนการทำงานของสภา แต่ได้กำหนดให้ชาวนาที่ยังไม่เคยดำรงตำแหน่งหรือเป็นสมาชิกของฐานันดรอื่นสามารถได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาในฐานันดรชาวนาได้ และเพิ่มอำนาจให้กับฐานันดรทั้งสี่
แม้ว่า รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 จะยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่กระนั้น ก็ไม่ถึงกับจะจำกัดพระราชอำนาจจนไม่เหลือเลย แต่ยังมีพื้นที่ที่พระมหากษัตริย์จะยังทรงมีบทบาท และมีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางในการบริหารราชการแผ่นดิน หากพระมหากษัตริย์ทรงมีบารมีและมีมุ่งมั่นที่จะอุทิศพระองค์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างจริงจัง พระองค์ก็จะทรงสามารถทำให้ผู้คนยอมรับเคารพได้ โดยเฉพาะในการประชุมสภาฐานันดรครั้งแรก แต่ Frederick I กลับสูญเสียอิทธิพลทั้งหมดต่อกิจการสาธารณะไป พระราชอำนาจที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเคยมีอยู่ (the royal prerogative) กลับหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิงเพราะพฤติกรรมที่รวนเรและบุคลิกภาพส่วนพระองค์
และจากสภาพการณ์ดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนเริ่มสูญเสียสถานะบทบาททางการเมืองตามจารีตประเพณีการปกครองของสวีเดน และสัญญาณของระเบียบใหม่เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น พระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสมาชิกสำคัญคนหนึ่งของสภาบริหาร และทรงถูกจำกัดให้มีเพียงสองเสียงในการออกเสียงในประเด็นสำคัญ เป็นเพราะบุคลิกภาพของ Frederick เองที่ตกต่ำถดถอยลงมากเกินกว่าที่จะรักษาพระราชอำนาจที่ลดน้อยถดถอยลงไปอย่างรวดเร็วอยู่แล้วจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองและรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ที่เกิดขึ้นตามมา และพระราชบัญญัติรัฐสภา ค.ศ. 1723 ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภาฐานันดร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


