ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ด้วยเหตุนี้ การตั้งชื่อลูกหลานจึงตั้งเฉพาะพยางค์เดียวที่เหลือจากที่ปรากฏในทำเนียบรุ่นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น แซ่และชื่อเต็มๆ ของลูกหลานชายมีว่า “ลี่เต๋อเซิน” ตัวแรกคือแซ่ สองตัวหลังเป็นชื่อ
ดังนั้น ชื่อในพยางค์แรก (เต๋อ) ก็คือ ตัวอักษรที่ปรากฏในทำเนียบรุ่น ส่วนพยางค์ที่สองจะเป็นชื่อของเจ้าตัวที่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ตั้งให้ และถ้าหากว่าตัวอักษร “เต๋อ” อยู่ในลำดับที่ 20 ของทำเนียบรุ่นก็หมายความว่า ลูกหลานคนนี้เป็นลูกหลานรุ่นที่ 20 ของตระกูล “ลี่”
ในทำนองเดียวกัน ถ้าแซ่และชื่อเต็มของลูกหลานหญิงคือ “ลี่จิ้งอิง” พยางค์แรกก็จะเป็นแซ่ สองตัวหลังเป็นชื่อ ชื่อในพยางค์ที่สอง (อิง) เป็นคำที่อยู่ในทำเนียบรุ่น ดังนั้น คำในพยางค์แรกก็คือชื่อที่ถูกตั้งให้โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ และถ้าหากตัวอักษร “อิง” เป็นคำที่ 20 ในทำเนียบรุ่นก็หมายความว่า ลูกหลานหญิงของตระกูล “ลี่” คนนี้ก็คือ รุ่นที่ 20 เป็นต้น
และด้วยเหตุที่ลูกหลานผู้สืบทอดไม่ได้มีแค่ครอบครัวสองครอบครัว หากแต่มีนับสิบนับร้อยครอบครัว คำที่แสดงลำดับรุ่นแต่ละคำก็จะปรากฏอยู่ในชื่อของลูกหลานรุ่นนั้นทั้งรุ่นไปด้วย
เช่น ถ้าเป็นคำว่า “เต๋อ” (ชาย) และ “อิง” (หญิง) คือรุ่นที่ 20 ก็หมายความว่า ชายหรือหญิงใดในตระกูล “ลี่” ที่มีคำใดคำหนึ่งในสองคำนั้นปรากฏอยู่ในชื่อของตน ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่าเป็นลูกหลานรุ่นที่ 20
ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากตระกูลนั้นอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ลูกหลานรุ่นที่ 20 ก็จะไม่มีแค่คนสองคน แต่จะมีนับสิบหรือหลายสิบคน และเนื่องจากแต่ละครอบครัวไม่ได้แต่งงานพร้อมกันไปในคราวเดียวกัน ลูกหลานที่ออกมาจึงย่อมมีอายุที่ห่างกัน
สิ่งที่พบจึงคือ เฉพาะรุ่นที่ 20 รุ่นเดียวก็อาจจะมีคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน แต่มีอายุห่างกันคราวพ่อคราวลูกหรือคราวปู่คราวหลานตามไปด้วย เช่น คนสองคนในรุ่นที่ 20 และมีอายุเท่ากันทั้งสองคน แต่สองคนนี้มีฐานะเป็นอากับหลาน หรือคนหนึ่งมีอายุคราวพ่อ อีกคนคราวลูก แต่คนที่มีอายุคราวพ่อกลับมีศักดิ์เป็นพี่ของคนที่อายุคราวลูก เป็นต้น
ฉะนั้น หากพิจารณาการสืบทอดวงศ์ตระกูลจากที่กล่าวมานี้แล้วก็จะพบว่า วิธีนี้จะใช้ได้ก็แต่กับผู้ที่มีชื่อสองพยางค์ขึ้นไป (ไม่รวมแซ่) ผู้ที่มีชื่อพยางค์เดียว (เช่น หลี่เผิง อดีตผู้นำจีนมีแซ่ว่า “หลี่” มีชื่อว่า “เผิง” พยางค์เดียว) มักจะสืบทอดวงศ์ตระกูลโดยอิสระ และโดยไม่ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดในทำเนียบรุ่น
และว่ากันว่า ผู้ที่มีชื่อพยางค์เดียวก็เพราะเป็นลูกโทนคนเดียวของพ่อแม่
หลังจากกำหนดชื่อเพื่อแบ่งรุ่นในทำเนียบแล้ว ต่อไปก็จะเป็นวิธีบันทึกรายชื่อสมาชิกแต่ละรุ่นลงในปูมของตระกูล โดยจะบันทึกชื่อของสมาชิกในรุ่นนั้นๆ ทั้งหมดทั้งชายและหญิง (ซึ่งแน่นอนว่าจะบันทึกได้ก็หลังจากตั้งชื่อให้ลูกหลานคนนั้นๆ ไปแล้ว) จนเมื่อสมาชิกในรุ่นนี้เติบโตขึ้นมาและต้องแต่งงาน ก็จะบันทึกต่อไปว่า ลูกหลานทั้งชายและหญิงนี้แต่งงานกับใคร
ถึงตรงนี้การบันทึกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ สำหรับสมาชิกที่เป็นหญิงซึ่งแต่งออกไปนั้นจะไม่มีการบันทึกต่อในปูม ว่าหลังจากแต่งแล้วมีลูกหลานกี่คน เพศชายกี่คน เพศหญิงกี่คน ชื่ออะไร เกิดวันไหน ฯลฯ
การบันทึกเช่นนี้จะกระทำก็แต่กับสมาชิกที่เป็นเพศชายเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสืบทอดวงศ์ตระกูลของจีนจะยึดเพศชายเป็นหลัก ส่วนเพศหญิงถือว่าได้ไปสืบทอดวงศ์ตระกูลให้กับฝ่ายชายของอีกตระกูลหนึ่งที่ตนได้แต่งงานด้วย
หากตัดทัศนะเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศออกไปก็จะเห็นได้ว่า วิธีบันทึกดังกล่าวมีข้อดีอยู่เหมือนกัน นั่นคือ ไม่ทำให้ปูมของตระกูลยาวเหยียดโดยไม่จำเป็น ลองจินตนาการดูเล่นๆ ก็ได้ว่า ถ้าหากจะบันทึกการสืบทอดของสมาชิกหญิงที่แต่งออกไปด้วยแล้วก็จะต้องบันทึกต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบเช่นเดียวกับที่บันทึกสมาชิกเพศชาย
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การบันทึกไม่เพียงจะหา “ที่ลง” ไม่ได้เท่านั้น หากแต่ยังทำให้คนที่มีหน้าที่บันทึกไม่เป็นอันทำมาหากินอีกด้วย เพราะจะต้องคอยติดตามดูว่าสมาชิกเพศหญิงที่แต่งออกไปนั้นมีลูกหลานชายหญิงกี่คน แต่ละคนชื่ออะไร และพอโตขึ้นได้แต่งงานกับใคร ฯลฯ
เรียกได้ว่า บันทึกกันลิ้นห้อยแน่ๆ
ปูมแซ่ของคนจีนจากที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ชาวจีนทำกันมานานนับพันปี และเป็นสิ่งที่ถูกให้ความสำคัญอย่างยิ่ง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้การสืบทอดเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า ตระกูลที่สามารถสืบทอดเช่นนี้ได้ย่อมหมายความว่า ตระกูลนั้นจะต้องมีสมาชิกที่มีความรู้อยู่ในตระกูลด้วย
นั่นคือ สูงพอที่จะแต่งกวีขึ้นมาได้เอง เพื่อให้คำแต่ละคำในกวีบทนั้นๆ สามารถนำมาใช้ลำดับรุ่นและตั้งชื่อสมาชิกในตระกูลได้ แน่นอนว่า คำเหล่านี้จะต้องมีความหมายที่ดีที่จะทำให้สมาชิกให้รู้สึกดีด้วย คือรู้สึกว่าชื่อของตนมีความหมายที่เป็นสิริมงคล
การสืบทอดนี้มีให้เห็นในหลายตระกูล บางตระกูลสืบทอดต่อเนื่องยาวนานมาได้หลายสิบรุ่น แต่บางตระกูลก็ไม่ยาวนานมากนัก แต่การสืบทอดนี้ใช่ว่าจะไม่เคยสะดุดเสียเลย และการสะดุดครั้งสำคัญที่สุดก็คือ ในยุคที่จีนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1966-1976) อันเป็นยุคที่เหมาเจ๋อตง (ค.ศ.1893-1976) เรืองอำนาจ และกลุ่มซ้ายจัดมีอิทธิพลสูง
ในยุคดังกล่าวการสืบทอดวงศ์ตระกูลถูกมองว่าเป็นจารีตประเพณีที่ล้าหลังบ้าง เป็นคติความเชื่อของลัทธิขงจื่อที่พวกซ้ายจัดถือเป็นปฏิปักษ์กับสังคมนิยมบ้าง เป็นอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมบ้าง ฯลฯ เมื่อถูกมองเช่นนี้ การสืบทอดดังกล่าวจึงกลายเป็น “สิ่งผิด” สำหรับการเมืองจีนในยุคนี้
การบันทึกจึงสะดุดหยุดลง และสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับบางตระกูลก็คือ มีหลายตระกูลที่ทำเนียบรุ่นที่แต่งเป็นบทกวีได้ถูกใช้จนหมด แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าจะแต่งบทกวีสำหรับรุ่นต่อไปขึ้นใหม่
ดังนั้น ลูกหลานหรือสมาชิกบางตระกูลที่เกิดในยุคนี้จึงไม่มี “คำ” แสดงรุ่นของตนดังรุ่นก่อนๆ เพราะชื่อของตนถูกตั้งขึ้นโดยไม่มีทำเนียบรุ่นให้อิง
อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง ความคิดเกี่ยวกับการสืบทอดวงศ์ตระกูลแบบอดีตได้หวนกลับมาอีกครั้ง แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ยังมิอาจตรวจสอบได้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การบันทึกปูมของตระกูลก็ดี หรือการจัดทำทำเนียบรุ่นในรูปของบทกวีก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิดไว้ดังสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่ที่เป็นปัญหาอย่างมากก็คือว่า มีครอบครัวจีนจำนวนมากที่ได้ทำลายปูมแซ่ของตนไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ครั้นจะทำขึ้นใหม่ก็ไม่มีใครในตระกูลที่จำประวัติความเป็นมาของตระกูลตนได้
และถ้าหากจะทำขึ้นจริงแล้วก็จะต้องเริ่มด้วยการนับตัวเองเป็นรุ่นที่ 1 ขึ้นมาใหม่


