xs
xsm
sm
md
lg

เฟกนิวส์กับการทำลายเงื่อนไขแห่งเหตุผล ใน “สนามเลือกตั้งประชาธิปไตย” / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ในภูมิทัศน์ทางการเมืองของศตวรรษที่ 21 การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างนโยบายหรือวิสัยทัศน์ทางการเมืองเท่านั้น แต่กลายเป็นสนามรบแห่งการชิงชัยเหนือ “ความจริง” หรือที่แม่นยำกว่านั้นคือ สนามรบเหนือ “การรับรู้เกี่ยวกับความจริง” ของมวลชน ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ไหลบ่าอย่างไม่หยุดยั้งในโลกดิจิทัล ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เฟกนิวส์” (Fake News) ได้กลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทรงพลังและเป็นพิษอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงข่าวเท็จธรรมดา แต่คือกลไกที่ออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อทำลาย “เงื่อนไขของการใช้เหตุผล” ที่เป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย


ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องอาศัย “บรรยากาศสาธารณะที่มีเหตุผล” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พลเมืองสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ถกเถียงด้วยเหตุผล และหาฉันทามติร่วมกันได้ แต่เฟกนิวส์ในฤดูกาลเลือกตั้งไม่ได้แค่นำเสนอข้อมูลเท็จเข้าสู่พื้นที่นี้เท่านั้น ยังทำลายพื้นที่นั้นในระดับรากฐาน เฟกนิวส์สร้าง “วิกฤติความหมาย”ที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถแยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จได้อีกต่อไป และที่สำคัญกว่านั้น ทำให้ผู้คนหมดความเชื่อมั่นว่า “ความจริง” มีอยู่จริงหรือสามารถค้นพบได้

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์กลไกการทำงานของเฟกนิวส์ในบริบทการเลือกตั้ง โดยตรวจสอบว่ามันทำลายประชาธิปไตยได้อย่างไร ไม่ใช่ด้วยการล้มล้างสถาบันหรือใช้กำลังบังคับ แต่ด้วยการกัดเซาะ “วัฒนธรรมการเมือง” และ “ศีลธรรมของการสื่อสาร” (communicative ethics) จนกระทั่งประชาธิปไตยยังคงมีรูปแบบภายนอกแต่สูญเสียเนื้อหาแก่นสารไปแล้ว

เฟกนิวส์ในความหมายร่วมสมัยไม่ใช่เพียงข่าวเท็จหรือข้อมูลที่ผิดพลาด แต่ความจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกระทั่งมันดูเหมือนจริงมากกว่าความจริงเอง เฟคนิวส์คือ  การออกแบบความจริง (engineered reality)  อย่างมีระบบ โดยใช้หลักการสื่อสารมวลชนและจิตวิทยาสังคมมาประกอบสร้างเป็น "เรื่องเล่า" ที่มีโครงสร้าง มีอารมณ์ มีตัวละคร และที่สำคัญที่สุดคือ มีความน่าเชื่อถือพอที่จะเข้าไปฝังรากในระบบความเชื่อของผู้คน

 กลไกหลักของเฟกนิวส์ทำงานผ่าน “การตัดต่ออารมณ์” (emotional editing) มากกว่าการบิดเบือนข้อเท็จจริง มันหยิบเอาเศษเสี้ยวของความจริงมาชิ้นหนึ่ง ขยายเสียงบางประโยคให้ดังสนั่น ตัดบริบทที่สำคัญทิ้งไป แล้วปล่อยให้ “จินตนาการของฝูงชน” ทำงานต่อเอง นี่คือสิ่งที่ทำให้เฟคนิวส์อันตรายกว่าการโกหก ก็เพราะว่ามันมีพื้นฐานของความจริงเพียงพอที่จะต่อต้านการตรวจสอบเบื้องต้น และมีช่องว่างเพียงพอที่จะให้ผู้รับสารเติมเต็มด้วยความกลัว ความลำเอียง หรือความหวังของตนเอง

ตัวอย่างเช่น การนำเสนอตัวเลขสถิติที่ “ถูกต้อง” แต่ถูกนำออกจากบริบท เช่น “อัตราอาชญากรรมเพิ่มขึ้น 30% ในพื้นที่ที่มีผู้อพยพ” โดยไม่ระบุว่าตัวเลขนี้เป็นการเปรียบเทียบในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือในพื้นที่เฉพาะที่มีปัจจัยอื่น ๆ มากมาย ความจริงแบบ “ครึ่งเดียว” (half-truth) นี้กลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการสร้าง “ความกลัว” และ “ความเกลียด” ต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยไม่ต้องลงมือโกหกอย่างโจ่งแจ้งจนถูกจับได้ง่าย

 นี่คือสิ่งที่ มิเชล ฟูโกต์เรียกว่า “ระบอบแห่งความจริง” (regime of truth) ซึ่งไม่ใช่ความจริงตามความหมายสัมบูรณ์ แต่คือระบบที่กำหนดว่าอะไร “ถูกนับว่าจริง” ในสังคมหนึ่ง ๆ เฟคนิวส์ไม่พยายามล้มล้างความจริงด้วยการโต้แย้งเชิงตรรกะ แต่พยายามสร้าง “ระบอบแห่งความจริงชุดใหม่” ที่ในนั้นข้อมูลเท็จและความจริงมีน้ำหนักเท่าเทียมกัน และการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานแต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์

ประชาธิปไตยแบบตัวแทนตั้งอยู่บนสมมติฐานพื้นฐานที่ว่า พลเมืองสามารถตัดสินใจด้วยการมีข้อมูลอย่างเพียงพอ ซึ่งหมายความว่า พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอ หลากหลาย และเชื่อถือได้ เพื่อใช้ในการชั่งน้ำหนักทางเลือกต่าง ๆ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองและส่วนรวม แต่เฟคนิวส์ไม่ได้โจมตีตรงนี้ด้วยการบล็อกข้อมูลหรือสร้างการเซ็นเซอร์ แต่โจมตีด้วยการสร้างข้อมูลอย่าง “ท่วมท้น” (information overload) และ “สับสน”

ในยุคดิจิทัล ข้อมูลไม่ได้หายากอีกต่อไป ที่หายากคือ “ความสนใจ” และ “ความสามารถในการกลั่นกรอง” เมื่อข้อมูลท่วมท้นจนผู้คนไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้หมด และเมื่อข่าวจริงกับข่าวเท็จมี “รูปแบบการนำเสนอ” คล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ชัยชนะของความจริงหรือความเท็จฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือ “ความเหนื่อยล้าทางปัญญา” ของสังคม

ผลที่ตามมาจากการถูกท่วมท้นด้วยการโกหกอย่างต่อเนื่องไม่ใช่การที่ผู้คนเชื่อเรื่องโกหกทุกเรื่อง แต่คือการที่พวกเขา “ไม่เชื่ออะไรเลย” ซึ่งรวมถึงความจริงด้วย เมื่อทุกฝ่ายกล่าวหากันว่า “อีกฝ่ายโกหก” เมื่อทุกแหล่งข้อมูลอ้างว่าตนเองถูกต้องและคนอื่นบิดเบือน สุดท้ายผู้คนจะถอนตัวเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “ความเชื่อมั่นแบบสุญนิยม” หรือ ความรู้สึกว่า “ไม่มีใครน่าเชื่อถือเลย” และ “ทุกอย่างเป็นการเมืองทั้งสิ้น”

ในภาวะเช่นนี้ ผู้ที่ได้เปรียบที่สุดคือ ผู้มีอำนาจเดิม เพราะความสับสนทำให้การเปลี่ยนแปลงดูเสี่ยงสูงกว่าเดิม และเมื่อผู้คนไม่แน่ใจว่าอะไรจริงอะไรเท็จ พวกเขามักจะเลือก “ความคุ้นเคย” มากกว่า “ความหวัง” นี่คือเหตุผลที่เฟคนิวส์มักถูกใช้โดยฝ่ายที่ต้องการรักษาสถานะเดิม ไม่ใช่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง แต่เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของทุกฝ่าย รวมถึงตัวเองด้วย เพราะเมื่อทุกอย่างไม่น่าเชื่อถือ สิ่งที่คุ้นเคยก็กลายเป็นทางเลือกที่ “ปลอดภัย” ที่สุด

หากตรวจสอบเนื้อหาของเฟกนิวส์ในช่วงเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด จะพบว่ามันไม่ค่อยพูดถึง “อนาคตที่ดีกว่า” หรือ “นโยบายที่แก้ปัญหาได้จริง” สิ่งที่เฟกนิวส์สร้างคือ ฝันร้าย หรือภาพอนาคตอันน่าสยดสยองที่จะเกิดขึ้นหากเลือกผิด “ถ้าเลือกคนนี้ ประเทศจะล่ม - ถ้าเลือกพรรคนี้ ทหารจะรัฐประหาร - ถ้าเปลี่ยนแปลงมากไป จะเกิดความวุ่นวาย”

นี่ไม่ใช่การโต้แย้งเชิงนโยบาย แต่คือการ “ปลุกปีศาจในจินตนาการ” เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจด้วย “สัญชาตญาณเอาตัวรอด” แทนที่จะเป็น “การไตร่ตรอง” (deliberation) กลยุทธ์นี้มีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาสังคมที่ค้นพบว่า ความกลัว เป็นอารมณ์ที่แพร่กระจายได้เร็วกว่าอารมณ์อื่น ๆ มาก ไม่ต้องการหลักฐานเยอะ ไม่ต้องรอคำอธิบายยาว และสามารถข้ามผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ไปยังระบบประสาทอัตโนมัติได้โดยตรง

ในสังคมร่วมสมัย ความกลัวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเป็นระบบ โดยการ “ขยายภัยคุกคามจริง” ให้ดูใหญ่โตกว่าความเป็นจริง หรือ “ประดิษฐ์ภัยคุกคามใหม่” ที่ไม่มีมูลความจริง แต่กระตุ้นความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เฟกนิวส์ช่วงเลือกตั้งจึงมักหมุนรอบประเด็นที่กระตุ้นความกลัวดั้งเดิมของมนุษย์นั่นคือความกลัวต่อ “คนแปลกหน้า” ความกลัวต่อ “การเปลี่ยนแปลง” ความกลัวต่อ “การสูญเสียสิ่งที่มี” และความกลัวต่อ “ความโกลาหล”

สิ่งที่อันตรายยิ่งคือ ความกลัวทำให้การคิดแบบที่การใช้เหตุผลและการวิเคราะห์ถูกแทนที่ด้วยการคิดแบบที่อาศัยสัญชาตญาณและการตัดใจแบบรีบเร่งที่มาจากอคติ เพราะในยามที่ผู้คนอยู่ในภาวะกลัว พวกเขามักจะเลือกทางออกที่ “ลดความเสี่ยง” มากกว่าทางออกที่ “เพิ่มโอกาส” แม้ว่าทางเลือกหลังจะมีผลประโยชน์ระยะยาวที่สูงกว่าก็ตาม
หากการโกหกในสนามการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ นักการเมืองโกหกกันมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ แต่สิ่งที่ทำให้เฟกนิวส์ในยุคดิจิทัลอันตรายเป็นพิเศษคือ  ความไร้ตัวตน และ ความไร้ความรับผิดชอบ  ของมัน

ในอดีต เมื่อนักการเมืองหรือสื่อมวลชนโกหก พวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบและตั้งคำถาม เพราะมี “ผู้พูดที่ชัดเจน” มี “ผู้เขียนที่ตรวจสอบได้” และมีสถาบันที่ต้องรับผิดชอบ แต่เฟคนิวส์ในยุคโซเชียลมีเดียไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ มีเพียง “เขาว่ากันว่า – มีคลิปแชร์มา – เห็นในกลุ่มไลน์” หรือ “ข้อความที่ถูกฟอร์เวิร์ดมาหลายต่อ”

 กลไกการแพร่กระจายแบบไวรัล ทำให้ข้อความหลุดจากบริบทเดิมและสูญเสียแหล่งที่มาอย่างรวดเร็ว เมื่อข้อความถูกแชร์ต่อ ๆ กันไปเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ไม่มีใครสามารถติดตามกลับไปยังต้นทางได้อีก และที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครรู้สึกว่าตนเองมี “ความรับผิดชอบ” ต่อเนื้อหาที่แชร์ เพราะมันไม่ใช่ “ของฉัน” แต่เป็น “ของที่ฉันได้รับมา” นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาไม่รู้สึกว่าตนเองเป็น “ผู้กระทำ” แต่เป็นเพียง “คนกลาง” เท่านั้น

เมื่อความเท็จไม่มีเจ้าของ ความรับผิดชอบก็สลายหายไป และการเมืองกลายเป็นพื้นที่ที่ “ใครจะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่มันได้ผล” นี่คือจุดที่การเมืองตกต่ำจากการเป็นการต่อสู้ของอุดมการณ์ กลายเป็น “สงครามของการหลอกลวง” ที่ไม่มีกฎเกณฑ์และไม่มีเส้นแบ่งทางศีลธรรม

ผลร้ายของเฟคนิวส์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงเวลาก่อนหย่อนบัตร มันทอดยาวไปถึงโครงสร้างของความสัมพันธ์ทางสังคม และวัฒนธรรมการเมืองในระยะยาว เมื่อเฟคนิวส์แพร่กระจายไปทุกทิศทาง สังคมถูกแบ่งออกเป็น “ห้องสะท้อนเสียง” (echo chambers) ที่แต่ละห้องมีความจริงของตนเองและไม่ยอมรับฟังความจริงจากห้องอื่น

เพื่อนกลายเป็นศัตรูเพราะความเห็นทางการเมืองต่างกัน ครอบครัวแตกแยกเพราะโต๊ะอาหารกลายเป็นสนามรบแห่งการโต้เถียงที่ไม่มีวันจบ สังคมถูกแบ่งเป็น “ค่าย” ที่ไม่ยอมรับฟังกันอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความเห็นต่างอย่างสมเหตุสมผล แต่เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในความจริงคนละจักรวาล

นี่คือ “ประชาธิปไตยแบบแบ่งแยก" (divided democracy) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสังคมสูญเสียฐานร่วมของข้อเท็จจริง ที่จำเป็นสำหรับการสนทนาทางการเมือง เมื่อฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า “A” เป็นความจริง และอีกฝ่ายเชื่อว่า “not-A” เป็นความจริง การสนทนาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้แค่ “ไม่เห็นด้วย” กัน แต่พวกเขาอาศัยอยู่ใน "โลกคนละใบ"


ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเห็นด้วยกัน แต่หมายความว่าพวกเขาต้องสามารถพูดคุยกันได้ และเข้าใจความเห็นต่างของกันและกันได้ แต่เมื่อความจริงไม่ใช่ฐานร่วม เมื่อแต่ละฝ่ายมี “ชุดข้อเท็จจริง” ของตนเอง ประชาธิปไตยก็สูญเสีย “พื้นที่สนทนา” เหลือเพียงการ “ตะโกนใส่กัน” (shouting at each other) ด้วยความจริงที่ไม่มีวันบรรจบกัน

 สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเฟกนิวส์คือมันไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหาร หรือยกเลิกรัฐสภาเพื่อทำลายประชาธิปไตย เพียงแต่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อในกระบวนการ ไม่เชื่อในกันและกัน และไม่เชื่อว่าความจริงมีอยู่จริง นี่คือสิ่งที่ทำให้เฟกนิวส์เป็นอาวุธที่ร้ายกาจ เพราะเป็นการทำลายประชาธิปไตยจากภายใน โดยไม่ทิ้งร่องรอยของความรุนแรงภายนอกไว้เลย

เมื่อผู้คนเชื่อว่าทุกอย่างเป็นการเมือง ทุกคนโกหก และไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ พวกเขาก็จะถอนตัวออกจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง เขาจะกลายเป็น “พลเมืองผู้สิ้นศรัทธา” ที่ไม่เชื่อในระบบ ไม่เชื่อในสถาบัน และไม่เชื่อในพลังของตนเองที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นี่คือภาวะที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยหลังความไว้วางใจ” (post-trust democracy) หรือประชาธิปไตยที่ยังคงมีโครงสร้างสถาบันครบถ้วน แต่สูญเสีย “ทุนทางสังคม” ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน

การเลือกตั้งอาจยังคงจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ รัฐสภาอาจยังคงประชุมกันตามปกติ แต่หากผู้คนไม่เชื่อว่าเสียงของพวกเขามีความหมาย ไม่เชื่อว่าผลลัพธ์จะสะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน และไม่เชื่อว่าการเมืองสามารถแก้ปัญหาได้จริง ประชาธิปไตยก็เป็นเพียง “เปลือกนอก” ที่ว่างเปล่าภายใน นี่คือวันที่ประชาธิปไตยยังมี “รูปทรง” แต่ “ไร้วิญญาณ”

 การต่อสู้กับเฟกนิวส์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) หรือการห้ามเผยแพร่ข้อมูลเท็จ แต่คือการปกป้อง “ศีลธรรมของการสื่อสาร” (communicative ethics) และ “วัฒนธรรมความจริง” (culture of truth) ในสังคม คือการต่อสู้เพื่อรักษา “พื้นที่ของเหตุผล” ที่เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตย

การปกป้องการเลือกตั้งไม่ได้หมายความเพียงการนับคะแนนให้โปร่งใสหรือป้องกันการทุจริต แต่ยังหมายความถึงการสร้างสภาพแวดล้อมของสังคมที่ทำให้ผู้คนสามารถ “ตัดสินใจอย่างมีข้อมูล” ได้จริง นั่นหมายถึงการส่งเสริมรู้เท่าทันสื่อ การสร้างสถาบันข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูวัฒนธรรมของการโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์ ที่ผู้คนสามารถไม่เห็นด้วยกันได้โดยไม่ต้องทำลายกัน

 เพราะหากการเมืองชนะได้ด้วยการโกหก หากความกลัวและความสับสนมีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงและเหตุผล สุดท้ายประเทศจะถูกปกครองไม่ใช่ด้วยอำนาจเสียงข้างมากหรือฉันทามติ แต่ด้วยความกลัว ความสับสน และความเงียบงันของเหตุผล และนั่นคือวันที่ประชาธิปไตยยังมีรูปทรง แต่ไร้วิญญาณ


กำลังโหลดความคิดเห็น