xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปลดนกปรอดหัวโขน พ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง เปิดช่องสัตว์เศรษฐกิจ...ได้ไม่คุ้มเสีย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “นกปรอดหัวโขน” หรือ “นกกรงหัวจุก” นั้น แม้จะถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกจับตาในฐานะ “สัตว์เศรษฐกิจ” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วย ดังนั้น จึงเกิดความเคลื่อนไหวที่จะทำให้พ้นจากสถานะดังกล่าว และในที่สุดคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ก็มีมติเห็นชอบให้ถอดชื่อนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ โดยให้เหตุผลว่าประชากรในธรรมชาติไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

 นายอรรถพล เจริญชันษา  อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เปิดเผยถึงผลการศึกษาจากการทำงานของคณะทำงานรวม 4 คณะ ซึ่งแต่งตั้งขึ้นเพื่อประเมินสถานภาพและกำหนดมาตรการรองรับสถานะนกปรอดหัวโขนว่า ปัจจุบันประชากรนกปรอดหัวโขนในธรรมชาติมีการกระจายตัวสูงทั่วประเทศ โดยประเมินจำนวนประชากรในธรรมชาติ มากกว่า 44,421 ตัว และพบการกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติสูงถึง ร้อยละ 51 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าสถานภาพของนกมีปริมาณเพียงพอต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ในธรรมชาติ และแนวโน้มคดีการลักลอบล่าก็ไม่เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ถอดชื่อนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมุ่งหวังว่าการดำเนินการนี้จะช่วยลดแรงจูงใจในการล่านกจากธรรมชาติ ส่งเสริมให้การเพาะเลี้ยงมีความคล่องตัว และเป็นการสนับสนุนให้เกิดการสร้างรายได้ แก่ผู้เพาะเลี้ยง พัฒนาไปสู่การเป็นสัตว์เศรษฐกิจในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดแนวทางควบคุมการเพาะเลี้ยงและการปล่อยนก โดยให้มีการจัดทำมาตรฐานกรงเลี้ยงที่ปลอดภัย การขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะพันธุ์แบบสมัครใจ และการจัดทำเครื่องหมายประจำตัวนกให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้สามารถแยกแยะนกในกรงเลี้ยงและนกในธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ตลอดจนร่วมมือกับผู้มีชื่อเสียงในวงการเลี้ยงนกจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์นกอย่างเหมาะสม รวมถึงสร้างความรับผิดชอบในการไม่ส่งเสริมการจับนกป่า

รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการ 3 ชุด เพื่อติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิดหากมีการยืนยันว่ามีภัยคุกคามต่อสถานภาพของนกปรอดหัวโขนเกิดขึ้น จนมีผลกระทบต่อจำนวนประชากรนกในธรรมชาติจะพิจารณานำกลับเข้ามาเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอีกครั้งต่อไป

 นายพุฒิธร วรรณกิจ  นายกสมาคมอนุรักษ์และเพาะพันธุ์นกกรงหัวจุกแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่าการถอดชื่อออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในวงการนกกรงหัวจุกหลายร้อยล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ฟาร์มเพาะเลี้ยง งานวิจัยด้านวัคซีนและยา ธุรกิจอาหารนก และการส่งออกสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและยุโรป ที่กำลังนิยมเลี้ยงเป็นนกสวยงามเสียงร้องไพเราะ

กล่าวคือ ปัจจุบันมีผู้เพาะเลี้ยงที่ขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตให้เพาะพันธุ์ค้าครอบครองนกกรงหัวจุก จำนวน 11,466 ราย นกปรอดหัวโขน 134,325 ตัว โดยนกถูกกฎหมายจากฟาร์มเพาะเลี้ยงมีราคาแพง 2,500 บาทขึ้นไปต่อตัว แต่นกผิดกฎหมายราคาประมาณ 350 – 1,000 บาทต่อตัว ดังนั้น หากการค้านกกรงหัวจุกอย่างเสรี จะเกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างเหมาะสม ประการสำคัญนกที่เพาะจากฟาร์มจะมีคุณภาพดีเสียงร้องที่ดีกว่านกที่ลอบจับมาจากธรรมชาติ

อย่างไรก็ดี ประเด็นการปลดล็อก “นกปรอดหัวโขน” หรือ “นกกรงหัวจุก” ออกจากรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง นับเป็นเรื่องใหญ่เสทือนวงการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดย   “มูลนิธิสืบนาคะเสถียร” ร่วมกับองค์กรเครือข่ายด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ออกแถลงการณ์ “คัดค้านการปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง” โดยระบุว่ามาตรการและกลไกควบคุมปัจจุบันยังมีช่องว่างสำคัญ อาจทำให้ประชากรนกในธรรมชาติลดลงจนถึงขั้นสูญพันธุ์หากการปลดบัญชีมีผลบังคับใช้ และขอให้ยุติการพิจารณาปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง พร้อมเร่งสร้างมาตรการควบคุมที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และบังคับใช้จริง รวมถึงพัฒนาระบบขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงที่ประชาชนเข้าถึงง่าย เพื่อให้การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้ แม้กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะตั้งคณะทำงาน 4 ชุดเพื่อศึกษา ทั้งด้านประชากร การล่า และการควบคุมการเพาะเลี้ยง แต่องค์กรอนุรักษ์มองว่าข้อมูลที่ได้ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของประชากรนกในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนกปรอดหัวโขนยังจัดอยู่ในกลุ่ม มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ตามการประเมินของ สผ.

อ้างอิงรายงานการสำรวจนกปรอดหัวโขนพบว่าส่วนใหญ่กระจายอยู่นอกเขตอนุรักษ์ เช่น ชายป่าและพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้ตกเป็นเป้าการล่าได้ง่าย อีกทั้ง ตลาดยังต้องการ “นกป่าเสียงดี” มากกว่านกจากการเพาะเลี้ยง จึงมีความเสี่ยงสูงเกิดแรงจูงใจในการจับจากธรรมชาติจะยิ่งเพิ่มขึ้น หากไม่มีสถานะคุ้มครองมารองรับทางกฎหมาย

ไม่เพียงเท่านั้น การปลดบัญชีอาจทำให้ไทยกลายเป็นเส้นทางการค้านกในภูมิภาค เพราะมีข้อมูลการลักลอบนำนกจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอยู่แล้ว หากสถานะคุ้มครองถูกยกเลิก นกจากต่างประเทศอาจปะปนเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น และสร้างภาพลักษณ์ลบเช่นเดียวกับกรณีงาช้างในอดีต

ล่าสุด แม้ประชุม คกก. มีมติเห็นชอบให้ปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ โดยให้เหตุผลว่าประชากรในธรรมชาติไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยมติดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายทันที เพราะยังต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาในขั้นต่อไปก่อนมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม การจับนกป่าในพื้นที่คุ้มครองยังคงมีความผิดตามกฎหมาย เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ป่า (เตรียมประกาศเพิ่มเติมเป็น 98 แห่งทั่วประเทศ), เขตอุทยานแห่งชาติ, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งยังคงห้ามจับนกป่าโดยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึง สามารถใช้กฎหมายอื่นๆ ควบคู่กันได้ เช่น พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ และกฎหมายว่าด้วยการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อใช้ในการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เรื่องของการควบคุมผู้เลี้ยง การเพาะเลี้ยง และการฟอกนกป่า ผู้เพาะเลี้ยงจะต้องมีระบบระบุตัวนก เช่น ห่วงขามาตรฐาน เพื่อแยกแยะนกเพาะเลี้ยงจากนกที่มาจากธรรมชาติ รวมทั้ง ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้นกเพาะเลี้ยงหลุดรอดสู่ธรรมชาติ และป้องกันการสวมสิทธิ์นำนกป่ามาปะปนในระบบเพาะเลี้ยง การควบคุมดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญเพื่อลดการล่าจากธรรมชาติและควบคุมตลาดที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์เรียกร้องให้ยุติการพิจารณาปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง พร้อมเร่งสร้างมาตรการควบคุมที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และบังคับใช้จริง รวมถึงพัฒนาระบบขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงที่ประชาชนเข้าถึงง่าย เพื่อให้การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

การปลดล็อก “นกปรอดหัวโขน” ออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง นับเป็นฝันร้ายของวงการอนุรักษ์เพราะอาจทำให้ประชากรนกในธรรมชาติลดลงจนถึงขั้นสูญพันธุ์ โดยเฉพาะในความเป็นจริงมาตรการป้องกันต่างๆ ของรัฐไม่อาจใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ

และสุดท้าย น่าจับตาว่าหลังการเปลี่ยนสถานะสู่สัตว์เศรษฐกิจ นกปรอดหัวโขนจะสร้างเม็ดเงินไหลเวียนสู่เศรษฐกิจชุมชนได้มากน้อยเพียงใด คุ้มค่าที่ต้องแลกหรือไม่?


กำลังโหลดความคิดเห็น