xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แบงก์ชาติจับตาขายดอลลาร์–ทองคำ ทำ “บาทแข็ง” - โยงสแกมเมอร์ จีน-สหรัฐฯ ไฟเขียวถล่มรังทุนเทาเขมร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ข่าวใหญ่ข่าวโตของประเทศไทยนอกเหนือจากการปะทะกันตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และขยายสู่การถล่มรังเครือข่ายสแกมเมอร์ไปในคราเดียวกันแล้วยังมีประเด็นเรื่อง “ค่าเงินบาท”  ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ และแข็งขึ้นเร็วกว่าสกุลเงินหลักแทบทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะขาขึ้น การบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแรง การลงทุนเอกชนซบเซา และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจรายใหญ่ประเมินตรงกันว่า GDP ไทยในปี 2569 อาจเติบโตเพียงร้อยละ 1.5 ต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี เลยทีเดียว

 คำถามที่ตามมาจึงไม่ใช่เพียงว่า “เงินบาทแข็งเพราะอะไร” หากแต่เป็นคำถามที่เฉียบคมกว่านั้น คือ เงินบาทแข็งจากเงินประเภทใด และใครคือผู้ได้ประโยชน์จากความแข็งค่าของเงินบาทที่ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจจริง 

 นายอนุทิน ชาญวีรกูล  นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าในระดับนี้  “เป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยรับไม่ได้”  พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งหาทางรับมือ สะท้อนความจริงอย่างชัดเจนว่า การแข็งค่าของเงินบาทครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง

ทางด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า สาเหตุหลักของเงินบาทแข็งมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยฤดูกาลช่วงปลายปี เงินทุนไหลเข้า และ “ธุรกรรมของกลุ่มผู้ค้าทองคำที่มีการขายเงินดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาทในปริมาณสูงอย่างมีนัยสำคัญ” พร้อมยอมรับว่าในบางช่วงธุรกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20 ของตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งหมด

คำอธิบายดังกล่าวอาจฟังดูสมเหตุสมผลในเชิงเทคนิค แต่อีกด้านหนึ่งกลับนำมาซึ่งคำถามที่ใหญ่กว่า นั่นคือ เหตุใดเงินจำนวนมหาศาลจึงสามารถไหลผ่านระบบการเงินไทยได้โดยที่หน่วยงานรัฐเพิ่งเริ่มตั้งคำถามเมื่อค่าเงินบาทแข็งจน “รับไม่ได้” แล้ว

เช่นเดียวกันกับที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยอมรับว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกทองคำสุทธิ เมื่อราคาทองคำโลกปรับตัวสูง จะมีเงินดอลลาร์ไหลเข้าประเทศและกดดันให้เงินบาทแข็งค่า แต่คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนคือ ธุรกรรมทองคำทุกบาทเป็นการค้าทองคำจริง หรือเป็นเพียงฉากหน้าของการเคลื่อนย้ายเงินของกลุ่มทุนเทา?

ธปท.ออกตัวว่าจะหารือกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้มีหน่วยงานที่เหมาะสมกำกับดูแลธุรกิจทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่มีขนาดธุรกรรมใหญ่ขึ้นมาก และส่งผลให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาทชัดเจน

นอกจากนั้น ธปท.จะตรวจสอบการทำธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศเพื่อซื้อเงินบาท เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปกติและการโอนเงินของบุคคลธรรมดา โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศเคร่งครัด

มาตรการของ ธปท.ที่ออกมาเหล่านี้สะท้อนความจริงว่า ระบบกำกับดูแลเดิมไม่เพียงพอ และรัฐเพิ่งเริ่ม “มองเห็น” ปัญหาเมื่อค่าเงินบาทแข็งนำภูมิภาคไปแล้ว

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึงเกือบหนึ่งแสนล้านบาทต่อเดือน แต่เหรียญที่ถูกซื้อขายมากที่สุดกลับไม่ใช่ Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการเก็งกำไร หากเป็น USDT หรือ Stablecoin ที่ผูกค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐ โดยในบางเดือน USDT ครองสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งตลาด

พฤติกรรมเช่นนี้สวนทางกับตรรกะของนักลงทุนรายย่อยอย่างสิ้นเชิง แต่กลับสอดคล้องอย่างยิ่งกับตรรกะของการฟอกเงิน เนื่องจาก Stablecoin ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำกำไรจากความผันผวนราคา หากแต่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเงินสด ระบบธนาคาร และโลกคริปโตฯ

 นั่นหมายความว่า เงินจากอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บ่อนพนันออนไลน์ และธุรกิจสีเทา สามารถถูกแปลงเป็น USDT ทำให้เงินดำกลายเป็นเงินดอลลาร์ในทางบัญชี ก่อนจะถูกแปลงกลับเป็นเงินบาทผ่านกระดานซื้อขายในประเทศและไหลเข้าสู่ระบบธนาคารอย่างแนบเนียน ค่าเงินบาทจึงแข็งขึ้น ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจไทยแข็งแรง แต่เพราะมีเงินล่องหนจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาแลกเป็นเงินบาท 


นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บนเวทีการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต

นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะเข้าหารือกับ พลเอก ดิเรก บงการ หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก  ณ กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อหารือประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
 คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตั้งข้อสงสัยมาต่อเนื่องว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากเรื่องการฟอกเงิน หรือ สแกมเมอร์หรือไม่ โดยเฉพาะจากธุรกรรมการซื้อขายทองคำที่พุ่งสูง รวมถึงธุรกรรมคริปโตฯ ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้  ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย  หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ยังเคยย้ำถึงช่องโหว่ในระบบการเงินไทยที่มิจฉาชีพเจาะเข้าได้ง่าย หนึ่งในนั้นคือ ตลาดคริปโตฯ ที่ Exchange ในไทยแม้จะมีการยืนยันตัวตนลูกค้าแล้ว แต่เงินที่โอนออกนอก Exchange ยังติดตามเส้นทางเงินได้ยาก ถ้าหากไทยเริ่มใช้ Travel Rule อาจช่วยลดปัญหาเรื่องนี้ได้

 ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์  บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น ขยายความว่า แบงก์ชาติไม่รู้แต่ ก.ล.ต.เขารู้ว่าทำไมบาทแข็งผิดปกติ มีการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ผ่านกระดานซื้อขายในประเทศเฉลี่ยเดือนละแสนล้านบาท แต่แทนที่จะมีการซื้อขายในเหรียญที่แกว่งมีแรงผันผวนเพื่อเก็งกำไรอย่าง BITCOIN มาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าติดแค่อันดับสอง ไม่ถึง 20% ของการซื้อขายต่อวัน แต่เหรียญที่ซื้อขายมากกลับเป็นเหรียญUSDT ซึ่งเป็นเหรียญ Stable coin เคลื่อนไหวขึ้นลงไม่มาก พอ ๆ กับการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ล่าสุดการซื้อขายในเดือนพฤศจิกายน 2568 ก.ล.ต.รายงานว่ามีส่วนแบ่งมากถึง 52% แต่ BITCOIN แค่ 19%

แวดวงในตลาดทุนเชื่อกันว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจจะมาจากพวกสแกมเมอร์ ทั้งบ่อนพนันออนไลน์ 888 ทั้งพวกธุรกิจสีเทาทั้งหลาย อาศัยกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยเป็น “แหล่งฟอกเงิน” ด้วยการนำเงินจากธุรกิจเทา ธุรกิจสแกมเมอร์มาเปลี่ยนเป็นUSDT ซึ่งเทียบเท่ากับเงินเหรียญสหรัฐฯ (USD) แล้วก็แปลงเป็นเงินบาท (THB) ขนเงินออกจากประเทศไทยสบาย ๆ เพราะมีเงินเทาเงินดำเข้ามาฟอกผ่านกระดานซื้อขายแบบนี้มาก แลกเปลี่ยน USDT เป็น USD แปลงเป็นTHB (ค่าเงินบาท) จึงส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติ

“เรื่องชวนงึดและงงใจยิ่งกว่านั้นคือแบงก์ชาติบอกว่าไม่รู้มีเงินล่องหนจากไหนก็ไม่รู้เข้าออกแบบนี้เดือนละเป็นแสนล้าน โดยไม่รู้ที่มาที่ไป เลยทำให้ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติ....แต่ก.ล.ต.มีรายงานประจำแบบนี้ทุกเดือน (ดูลิงค์ https://www.sec.or.th/TH/Pages/DAMonthlyReport.aspx ) และวงการเขารู้กันครับ ไม่รู้อยู่คนเดียวคือหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของชาติ คือ แบงก์ชาติ” ดร.ณัฐวุฒิ ตั้งข้อสังเกต

เขาเรียกร้องว่า ถึงตอนนี้ แบงก์ชาติต้องเร่งแก้ไข ไม่ให้กระทบเศรษฐกิจประเทศชาติ และเมื่อรู้แล้วก็แก้ไขไว ๆ ให้มีการรายงานเงินเข้า-ออกในรูปแบบนี้ เหมือนกติกาที่แบงก์ชาตินานาชาติเขากำหนดก็ดี จะได้ดูแลการเงิน เศรษฐกิจประเทศชาติให้สมฐานะธนาคารชาติ

ผลกระทบของเงินบาทแข็งจากเงินฟอกไม่ได้จำกัดอยู่ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน นักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนัก เตือนตรงกันว่า ค่าเงินบาทที่แข็งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรือญี่ปุ่น ทำให้ไทย “แพงขึ้น” ในสายตานักลงทุนและนักท่องเที่ยว ภาคส่งออก ภาคเกษตร และการท่องเที่ยวจึงถูกบีบคั้นซ้ำ ในขณะที่เศรษฐกิจจริงยังอ่อนแอ

หากเงินจากเครือข่ายเหล่านี้ยังสามารถไหลเข้ามาฟอกในระบบการเงินไทยได้อย่างสะดวก ปฏิบัติการปราบปรามก็อาจเป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ และเป็นการจับ “ปลาตัวเล็ก” โดยยังปล่อยให้ “ปลาตัวใหญ่” ใช้ระบบการเงินเป็นที่ซ่อนและฟอกเงิน

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะสกัดเงินบาทแข็งได้หรือไม่ แต่คือประเทศไทยจะเลือกเส้นทางใด ระหว่างการเป็นศูนย์กลางการเงินที่โปร่งใส หรือการยอมให้ตนเองกลายเป็นท่อผ่านของเงินเทาในเศรษฐกิจโลก

 ค่าเงินบาทที่แข็งผิดธรรมชาติในวันนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดว่า หากไม่รื้อโครงสร้างการกำกับดูแลทางการเงินอย่างจริงจัง ความพินาศทางเศรษฐกิจอาจไม่ใช่เรื่องในอนาคต แต่กำลังเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน 

ขณะที่รัฐบาล แบงก์ชาติ กำลังตื่นตัวรับมือกับค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งอาจมาจากธุรกรรมการฟอกเงินของเครือข่ายสแกมเมอร์ ทางกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เป็นเจ้าภาพร่วม จัดประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรม InterContinental กรุงเทพฯ มีผู้แทนจำนวน 338 คน จาก 58 ประเทศ สหภาพยุโรป 5 องค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนจากภาคประชาสังคมและภาควิชาการเข้าร่วมการประชุม รวมถึงผู้แทนระดับรัฐมนตรีจาก 9 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา, เวียดนาม, สปป.ลาว, อินโดนีเซีย, จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, รวันดา และซูดานใต้

 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้ถึงภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ ว่าเป็นภัยคุกคามระดับโลก ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ช่องโหว่ทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้คน ทั้งการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ รายงานของ UNODC พบว่าศูนย์กลางการหลอกลวงทางออนไลน์ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก โดยในปี 2023 การหลอกลวงทางออนไลน์ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินเฉพาะในภูมิภาคในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สูงถึงประมาณ 1.8 - 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในสหรัฐฯ ประเทศเดียว ประเมินความสูญเสียไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ส่วนในประเทศไทย มูลค่าความสูญเสียสูงเกิน 3.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1 แสนล้านบาท ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

เงินจำนวนนี้ไม่อาจหายไปจากระบบเศรษฐกิจได้โดยไม่ถูกฟอก และประเทศไทย ด้วยระบบการเงินที่พัฒนาและกระดานคริปโตฯที่ถูกกฎหมาย กำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดผ่านสำคัญของเงินเหล่านี้

ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการปราบศูนย์สแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านและการปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ในเวลานี้ ถูกมองจากสื่อต่างประเทศว่าเป็นความพยายามตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรายงานของสำนักข่าว CAN สื่อสิงคโปร์ ระบุว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเข้าใจดีว่าศูนย์สแกมเมอร์คือภัยคุกคามร่วม และการจัดการกับเครือข่ายเหล่านี้อาจต้องใช้มาตรการที่แข็งกร้าว

สำนักข่าวซีเอ็นเอ เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี และไม่แสดงความกังวลจนเกินไปเกี่ยวกับหนึ่งในแง่มุมสำคัญของการสู้รบชายแดนไทย - กัมพูชา รอบใหม่ นั่นคือการที่ไทยเล็งเป้าเล่นงานศูนย์สแกมเมอร์ต่าง ๆ ภายในกัมพูชา โดยกาสิโนแห่งหนึ่งในจังหวัดโพธิสัตว์ เป็นของนายตรี พรีบ (Try Pheap) เศรษฐีกัมพูชาที่มีความใกล้ชิดกับสมเด็จฮุน เซน และถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คาสิโนที่ถูกกองทัพไทยทิ้งบอมบ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

รายงานของซีเอ็นเอ ระบุ สามารถสันนิษฐานได้เลยว่าคงไม่มีใครเสียใจหากมีการทำลายล้างคาสิโนของตรี พรีบ ในกรุงเทพฯ, วอชิงตัน ดี.ซี. หรือกระทั่งปักกิ่ง โดยทางจีนเอง ก็ได้เรียกร้องกรุงเทพฯอย่างลับ ๆ ให้ดำเนินการหนักหน่วงกว่าเดิมในการจัดการกับอุตสาหกรรมสแกมเช่นกัน ปฏิบัติการโจมตีศูนย์สแกมกัมพูชาของไทย จึงแทบไม่ก่อปฏิกิริยาไฟย้อนศรใด ๆ จากนานาชาติ เพราะเป้าหมายต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนถูกมองในฐานะแหล่งอาชญากรรม

ข้อสันนิษฐานข้างต้น ยืนยันจากการพบปะกันระหว่าง พลเอก ดิเรก บงการ  หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้การต้อนรับ  นายหลิว จงอี้  ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน (Ministry of Public Security - MPS) พร้อมด้วยคณะผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีอาญา กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กองสอบสวนอาชญากรรมโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต กระทรวงความมั่นคงสาธารณะจีน และจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ณ กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อหารือประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา

ในการพบปะดังกล่าว ทางจีนได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ และขอให้ทั้งสองประเทศได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและมาตรการที่เป็นรูปธรรมอย่างจริงจังในการดำเนินการ

 การเปิดแนวรบชายแดนไทย-กัมพูชา ทำลายล้างเครือข่ายสแกมเมอร์ จึงอาจเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง 


กำลังโหลดความคิดเห็น