ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ชนวนระเบิดเรื่องเอ็มโอยู 43 – 44 ที่พรรคภูมิใจไทย หยิบฉวยมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง ถูกถอดสลักพักรบชั่วคราว นั่นเพราะคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้ว่า การทำประชามติ MOU ไทย - กัมพูชา หลังยุบสภา ส่อผิดรัฐธรรมนูญ เพราะเข้าข่ายมีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดหน้า ทว่า นั่นได้กลายเป็นข้ออ้างสำหรับสำหรับ “พรรคเพื่อไทยและอนุทิน ชาญวีรกูล” ที่จะผลักภาระนี้ให้พ้นออกไปได้อย่างสบายตัว
คงยังจำกันได้ว่าในช่วงที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกอาการลูกผีลูกคน พรรคภูมิใจไทยที่เล่นแทงข้างหลังพรรคเพื่อไทยไม่วายเว้นและถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ได้เรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU ไทย – กัมพูชา แต่ครั้นพอพรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ กลับโยนเรื่องนี้ให้ประชาชนรับผิดชอบโดยจะจัดทำประชามติ ขณะเดียวกันก็มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร (สส.) โดยมีนายไชยชนก ชิดชอบ สส. บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย เป็นประธานฯ ซึ่งต่อมานายไชยชนก ลาออกจากประธาน กมธ.ฯมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นการบอกนัย ๆ ว่า พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้จริงจังกับจุดยืนเลิกหรือไม่เลิกเอ็มโอยูแต่อย่างใด ที่ทำไปเพื่อหวังทางการเมืองทั้งนั้น
ต่อเมื่อมีการยุบสภา กมธ.วิสามัญพิจารณา MOU ของ สส. ก็สิ้นสภาพโดยพลัน และผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ออกมา ก็ทำให้พรรคภูมิใจไทย ลอยลำเหนือปัญหาเอ็มโอยู 43-44 ไปโดยปริยาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามการทำประชามติเรื่องยกเลิก MOU 43-44 คณะรัฐมนตรี มีมติอย่างไร ว่ามีความเห็นของ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าหากทำประชามติเรื่องนี้อาจจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลหน้า และเมื่อมีการหารือแล้วเพื่อไม่เกิดให้ความเสี่ยงก็ถอนเรื่องออกไปก่อน
มีคำชี้แจงเพิ่มเติมจาก นายนพดล เภรีฤกษ์ โฆษกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ครม.ได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นประกอบการพิจารณาเมื่อมีการยุบสภาแล้ว การจัดทำประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อ ครม.ชุดต่อไปตามมาตรา 169(1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่า ครม.มุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติ หรือเป็นเพียงการปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ หาก ครม. มุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติในเรื่องที่ทำประชามติเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปตามข้อยุตินั้น จะเข้าลักษณะเป็นการออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อได้ข้อยุติเป็นประการใด ครม.ทุกชุดจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อยุตินั้น ซึ่งหากเป็นดังนี้ จะเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 169(1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากจะมีผลผูกพันให้ ครม.ชุดต่อ ๆ ไปที่ต้องดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการออกเสียงประชามตินั้นจนกว่าจะมีการประชามติใหม่ และผลการประชามติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หาก ครม. มุ่งหมายเพียงปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ครม.ก็ยังใช้ดุลพินิจได้ว่า สมควรจะดำเนินการตามผลที่ได้จากการออกเสียงประชามติหรือไม่ จะไม่เข้าลักษณะต้องห้าม
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาคำแถลงนโยบายของ ครม.แล้ว ปรากฏว่า ครม.มุ่งหมายที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามผลของการทำประชามติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงเห็นว่า การออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิก บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ภายหลังจากที่พระราชกฤษฎีกายุบผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 มีผลใช้บังคับแล้ว เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อ ครม. ชุดต่อไป อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา169(1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้เคยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเรื่องนี้จึงต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ได้เสียที่เกิดจาก MOU หรือการยกเลิก MOU ดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจรจาในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันอาจก่อให้เกิดข้อเสียเปรียบแก่ประเทศอย่างรุนแรง และไม่เป็นผลดีแก่ประเทศในภาพรวมขึ้นได้ สมควรที่ ครม.จะได้พิจารณาผลกระทบด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
ขณะที่ฟากฝั่งวุฒิสภา ซึ่งคุมโดย “สว.สายสีน้ำเงิน” ที่จัดตั้ง กมธ. ขึ้นมาศึกษาเรื่องเอ็มโอยูดังกล่าวเช่นกัน ก็ฉวยจังหวะออกมาแถลงมติเอกฉันท์ หนุนให้ไทยเลิกเอ็มโอยู 2544 โดยนายนพดล อินนา ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา วุฒิสภา ออกมาแถลงเหตุผล 7 ข้อ ที่เห็นควรให้ยกเลิก ประกอบด้วย
1.เส้นเขตไหล่ทวีป พ.ศ. 2515 ของกัมพูชาเป็นการละเมิดอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะนำเส้นเขตดังกล่าว เข้ามาเป็นกรอบในการเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น
2.กัมพูชาแสดงเจตนารมณ์อันชัดแจ้งว่าจะไม่ปฏิบัติตามเอ็มโอยู 2544 ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อ 16 ธันวาคม 2565 ประธานคณะทำงานร่วมทางเทคนิค (เจทีซี) ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอร่างข้อตกลงการประชุมต่อประธานคณะทำงานร่วมทางเทคนิคฝ่ายไทย เพื่อพิจารณาลงนามในการประชุมครั้งต่อไป ที่ระบุถึงการแบ่งผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันในเขตไหล่ทวีป ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือในอัตราเท่ากัน คือ 50 : 50 และให้ยุติการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเอาไว้ก่อน
ข้อเสนอดังกล่าว มีนัยสำคัญอันแสดงให้เห็นว่าราชอาณาจักรกัมพูชา ไม่มีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาการละเมิดอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และยังละเลยเจตนารมณ์ของฝ่ายไทยในการจัดทำเอ็มโอยูที่ต้องการให้กัมพูชาปลดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาให้ออกห่างจากเกาะกูด แต่มุ่งเน้นเพียงความต้องการของตนฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นการจงใจละเมิดต่อสาระสำคัญของเอ็มโอยู
3.ไม่ปรากฏความคืบหน้าในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
4.ฝ่ายกัมพูชายังคงมีเจตนารมณ์ที่จะอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูดทั้งหมด หรืออย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่งของเกาะ และแสดงให้ประจักษ์ว่าราชอาณาจักรกัมพูชาไม่มีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนทางทะเลไปพร้อมกับการแบ่งปันผลประโยชน์
5.กรอบการเจรจาไม่สามารถนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ได้ตามกรอบเอ็มโอยูในทางปฏิบัติ
6.เอ็มโอยู 2544 พ้นระยะเวลาที่อาจถือได้ว่าเป็นชั่วคราวไปแล้ว และได้กลายสภาพเป็นทางตัน
และ 7.ปัจจัยสภาวะแวดล้อมทางการเมือง สังคม การขาดความจริงใจ จากฝั่งกัมพูชา
นายนพดล ระบุว่า เมื่อยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ควรแสวงหาข้อตกลงชั่วคราวรูปแบบใหม่ที่มีความเป็นไปได้สูงกว่า ซึ่งกมธ.มีข้อเสนอ คือ ให้รัฐบาลออกมาตรการชั่วคราว เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการดำเนินการใด ๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจและสิทธิอธิปไตยทางทะเลของไทยทางโดยสมบูรณ์ รวมถึงกดดันกัมพูชาให้มาเจรจาแบ่งเขตทางทะเลโดยเร็วที่สุด เช่น การปิดอ่าว ควบคุมเรือ สินค้าเข้าออกท่าเรือกัมพูชา
นอกจากนั้นแล้ว การยกเลิกเอ็มโอยู 2544 รัฐบาลต้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยใช้วิธีการเจรจาขอยกเลิกภายใต้ความยินยอมของทั้งสองประเทศ หรืออาศัยเหตุแห่งการสิ้นสุดของสนธิสัญญา หรือเหตุในการบอกเลิกหรือถอนตัวในฐานะรัฐภาคีสนธิสัญญาประการต่าง ๆ ตามข้อบทแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนา
เอาเป็นว่า ข้อปัญหาเอ็มโอยู 43-44 ต้องรอรัฐบาลใหม่มาพิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นใดต่อจากนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือ การเยียวยาผลกระทบจากสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่รัฐบาลและกองทัพไทยไม่สามารถบอกได้ว่าสงครามจะสงบและจบลงอย่างไร มีแต่คำปลอบใจประชาชนที่เดือดร้อนว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน
ตัวเลขผู้อพยพและความสูญเสียทางเศรษฐกิจและจิตใจในการรบระหว่างไทยกับกัมพูชา รอบสอง มากมายกว่ารอบแรกที่หยุดลงหลังการปะทะ 5 วัน ตามรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปยอดผู้อพยพสะสม 7 จังหวัด ชายแดนไทย - กัมพูชา ระหว่าง 7-16 ธันวาคม 2568 มีจำนวน 329,589 คน
ส่วนรายงานของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2568 พบว่าพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุม 28 อำเภอ มีจำนวนสัตว์ในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 6,536,689 ตัว สัตว์ตายสะสม 171 ตัว ส่วนใหญ่ เป็นโค-กระบือ
สำหรับหลักเกณฑ์ได้กำหนดตามประเภทสัตว์เลี้ยงและจำแนกตามช่วงอายุและจำนวนสูงสุดที่ให้ความช่วยเหลือ ดังนี้ โค อายุ 2 ปีขึ้นไป อัตราชดเชยไม่เกิน 35,000 บาท/ตัว (ไม่เกิน 5 ตัว/ราย), กระบือ อายุ 2 ปีขึ้นไป อัตราไม่เกิน 39,000 บาท/ตัว (ไม่เกิน 5 ตัว/ราย), สุกร อายุ 30 วันขึ้นไป อัตราไม่เกิน 3,000 บาท/ตัว (ไม่เกิน 10 ตัว/ราย), แพะ/แกะ อายุ 30 วันขึ้นไป อัตราไม่เกิน 3,000 บาท/ตัว (ไม่เกิน 10 ตัว/ราย), สัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด นกกระทา นกกระจอกเทศ อัตราช่วยเหลือแตกต่างกันตามช่วงอายุและประเภท โดยช่วยเหลือสูงสุด 300-1,000 ตัว/ราย และแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์ ชดเชยในอัตรา 1,980 บาท/ไร่ ไม่เกิน 30 ไร่/ราย
ทั้งนี้ สถานการณ์สู้รบยิ่งนานวัน ชาวบ้านที่เดือดร้อนตามแนวชายแดนยิ่งเครียดหนัก สภาพจิตใจย่ำแย่ ชีวิตในศูนย์อพยพมีความยากลำบาก ผู้อพยพต่างห่วงบ้าน ห่วงทรัพย์สิน ทั้งยังมีปัญหาหนี้สินที่ถูกทวงถาม ขาดรายได้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตจากพืชผลเสียหายไม่ได้รับการดูแล โดยเฉพาะพื้นที่สู้รบหนักอย่างจังหวัดศรีสะเกษ ที่มี 3 อำเภอ คือ กันทรลักษ์ (ต.เสาธงชัย ต.ละลาย ต.รุง ต.ชำ ต.ภูผาหมอก ต.บึงมะลู ต.โนนสำราญ) อำเภอภูสิงห์ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล และอำเภอขุนหาญ (ต.บักดอง ต.กันทรอม ต.ห้วยจันทร์ ต.พราน) ที่ทางการสั่งให้อพยพ 100% และห้ามเข้าพื้นที่เด็ดขาด
“ภูนรินทร์ สาลีสุข” ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ได้โพสสอบถามในเพจ “กวาง ไตรศุลี ไตรสรณกุล” ว่าศูนย์อพยพมีงบไหนดูแลหรือให้ประชาชนดูแลกันเอง ให้แต่สถานที่ การสาธารณสุขดูแลผู้เจ็บป่วยประจำศูนย์ มีเพียงพอไหม /การอพยพ 100% การเยียวยา ชดเชย คิดไว้ยังครับแบบไหน ไฟแนนซ์รถ หนี้อื่น ๆ จะแก้ยังไง สัตว์เลี้ยง วัว ควาย หมูและบ้านเรือนข้าวของเสียหาย/ อาชีพของแม่ค้า เกษตรระยะสั้น สวนพริก ฯลฯ ที่เสียหายหลักแสนทำยังไง ชดเชยแบบไหน ช่วงทุเรียนทำดอกเสียเงินล้านอีก /คำถามทั้งหมดต้องการความกระจ่างชัดเจน จะได้มั่นใจในการอพยพ ไม่ใช่อพยพไปแล้วเจอความลำบากอีกแบบ และกลับมาไม่มีเงินใช้และใช้หนี้หัวโต
ส่วนอีกราย สะท้อนว่า ถ้าสงครามยืดเยื้อ สุดท้ายผู้อพยพก็จะเสี่ยงกลับเข้าพื้นที่ชายแดน กลับไปทำมาหากินท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิด คนนอกอาจจะมองว่ารักษาชีวิตไว้ดีกว่า แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้ทำงาน + เดือนเดียว ค่าใช้จ่าย หนี้สิน ก็เป็นดิน พอกหางหมู ไม่ตายก็เหมือนตาย
สถานการณ์ความไม่สงบยิ่งลากยาวยิ่งสูญเสีย ทั้งชีวิตคนชายแดนที่ยากลำบาก ทั้งชีวิตพลทหาร นายสิบ ลูกชาวบ้านที่ต้องมาตาย พร้อมกับคำถามจะจบและสงบเพื่อกลับไปใช้ชีวิตทำมาหากินได้เป็นปกติสุขเมื่อไหร่
ความชัดเจนจากรัฐบาลและกองทัพต่อคำถามข้างต้นยังไม่มี ส่วนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน 7 จังหวัดนั้น นายสิริพงศ์ อัครสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุม ครม. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ว่า นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และ ปภ. เตรียมเรื่องงบประมาณเยียวยาประชาชนที่ต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์เดิม เพื่อให้มีความพร้อมและโอนเงินได้
นั่นหมายความว่าการเสียโอกาสจากการขาดรายได้ของประชาชนผู้อพยพ จะได้รับเงินเยียวยา ครอบครัวละ 5,000 บาท ตามหลักเกณฑ์เดิมเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นการชดเชยเพียงเศษเสี้ยวของความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น
ประชาชนที่ต้องอพยพหนีสงคราม เสี่ยงทั้งชีวิต ขาดทั้งรายได้ ซ้ำหนี้สินยังพอกพูน เป็นความลำบากยากจนเพราะผลของสงครามที่ไม่รู้วันจบสิ้นโดยแท้ เป้าหมาย #ทำลายให้สิ้นสภาพ จึงมีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล


