ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “เบอร์ 1” ของ 3 พรรคตัวเต็งที่จะมี “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)” มากที่สุดสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปี 2569 คือใคร ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ผิดไปจากโผที่ออกมาก่อนหน้านี้
นั่นก็คือ “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” จากพรรคเพื่อไทย “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” จากพรรคประชาชน และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเมื่อ “เทียบปอนด์ต่อปอนด์” แล้ว ก็ต้องบอกว่า ทุกคนมีบทสรุปไปในทิศทางเดียวกันคือ “ทายาทใคร ทายาทมัน” หรือ “ร่างทรงใคร ร่างทรงมัน” ด้วยมิได้ฝ่าฝันทางการเมืองมาด้วยตัวเอง หากแต่ถูกส่งเข้าประกวดจาก “ผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรค” ทั้งสิ้น
แน่นอน คนที่ถูกจับตามากสุดคงหนีไม่พ้น “ยศชนัน” ซึ่งเป็น “ลูกชายของสมชายและเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ร่วมกับ “เสี่ยหนิม-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค และ “เดอะซัน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรค ที่มีชื่อมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ หลังการถอยห่างออกไปของ “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร”
การปรากฏชื่อ “ยศชนัน” ต้องใช้คำว่าคือ “ลายเซ็นของพรรคเพื่อไทย” เพราะแสดงให้เห็นว่า พรรคนี้คือธุรกิจของ ตระกูลชิน(วัตร) ดา(มาพงศ์) วงศ์(สวัสดิ์) อีกครั้ง และตอกย้ำให้เห็นว่า คนที่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด โอกาสที่จะขึ้นมากุมบังเหียนพรรค หรือได้รับความไว้วางใจให้เป็นเบอร์ 1 ของพรรค ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
ต้องยอมรับว่า “ยศชนัน” นั้นมี “โปรไฟล์ดี โดยเฉพาะภาพความเป็น “นักวิทยาศาสตร์” ความเป็น “อาจารย์มหาวิทยาลัย” ที่ถูกนำมาเป็นจุดขายและโหมกระพือให้เป็นที่รับรู้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เขาคือ “หลานชายของลุงทักษิณ” เพราะว่ากันตามตรง ถ้า “ยศชนัน” ไม่ได้เป็น “ลูกเจ๊แดง-สมชาย” อยู่ๆ จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร
เรียกว่า FAST TRACK ในวงการการเมืองไม่ต่างอะไรกับ “บิ๊กโจ๊ก-พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล” หรือ “บิ๊กต่อ-พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ในวงการตำรวจเลยทีเดียว
คำถามมีอยู่ว่า แม้ “ยศชนัน” จะมีโปรไฟล์เลอเลิศประเสริฐศรีสักเพียงใด สมมติว่า จับพลัดจับผลูได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ขึ้นมา เขาจะสามารถใช้ความเป็นตัวของตัวเองในการบริหารราชการแผ่นดินได้สักกี่มากน้อย เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นได้แค่เพียง “ร่างทรง” ของคนที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่คือ “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเศรษฐา ทวีสิน หรือแพทองธาร ชินวัตร
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แม้พรรคเพื่อไทยและบรรดา “นายแบก-นางแบก” แห่ง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” จะพยายามเชียร์ “ยศชนัน” สักเพียงใด แต่ก็มิได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคกระเตื้องขึ้น หรือสามารถฉุดรั้งภาวะเลือดไหลออกได้สักกี่มากน้อย
จะว่าไป เทียบกับ “เสี่ยหนู-อนุทิน” หรือ “เสี่ยเท้ง-ณัฐพงษ์” คะแนนนิยมของ “ยศชนัน” หลังเปิดตัวยังตามหลังเสียด้วยซ้ำไป
ถามว่า ทักษิณรู้ไหม
ก็ต้องตอบว่า รู้ แต่ทักษิณไม่มีทางเลือกอื่นใดสำหรับคนในตระกูลชินดาวงศ์ที่ดีกว่านี้หลังจากเสียสูญคะแนนนิยมและศรัทธาไปจนกู้ไม่กลับจากกรณีคลิปลับการสนทนาของ “แพทองธารกับฮุน เซน” เพราะหันหน้าหันหลังแล้ว ไม่มีใครที่โดดเด่นจริงๆ จะดัน “ลูกโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ก็จะยิ่งพากันลงเหว ขณะที่ “เอม-พิณทองทาและสามี-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ก็ไม่สนใจในเส้นทางสายนี้ รวมถึง “ปิฎก สุขสวัสดิ์” สามีของอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร
และแน่นอนว่า การส่ง “ยศชนัน” เข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ความสำคัญอยู่ตรงที่เป็นการยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยังเป็นของทักษิณ ชินวัตร และตระกูลชินวัตรยังไม่ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งหมายถึงระบบท่อน้ำเลี้ยงจะยังคงดำเนินต่อไปนั่นเอง
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ “ยศชนัน” นั้น มี “น้องสาว” ชื่อ “ชยาภา” ที่เคยแต่งงานกับ “นัม ลินัล” บุตรชายของเลียง นัม ส.ส.จังหวัดเสียมราฐ นักการเมืองคนใกล้ชิด ฮุนเซน ซึ่งแม้ “ชยาภา” จะเลิกรากับสามีไปแล้ว แต่ก็เชื่อเถอะว่า จะถูกหยิบยกมาโจมตีทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ หากวิเคราะห์แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยทั้ง 3 คนก็จะเห็นความแปร่งปร่าปรากฏอยู่ที่ชื่อของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อีกคน เพราะจะว่าไป เขามีคุณสมบัติน้อยมากในตำแหน่งนี้เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่าง “เสี่ยหนิม-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ “ยศชนัน” ก็คือหลานของลุงทักษิณ
เพราะฉะนั้น คำตอบที่ตรงกันสำหรับการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของสุริยะก็คือความเป็น “ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่” ที่พร้อมจะเป็นหัวจ่ายสำหรับการทำงานการเมือง ไม่เชื่อลองไปถาม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ดูก็ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ติดสอยห้อยตามเป็นเงาตามตัวมาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นอน รวมถึงน่าจะเป็นการซื้อใจนายสุริยะมิให้กระโดดหนีไปจากพรรคในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เพราะ “ซุ้มสุริยะ-สมศักดิ์” ก็มี สส.และนักการเมืองอยู่ในมือไม่น้อย ถ้าหลุดมือไป เป้าหมาย สส.จะยิ่งร่วงหนักกว่าที่คาดไว้
และการที่ได้เป็นแค่ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” สักครั้งในชีวิต ก็น่าจะสร้างความปรีดาให้นายสุริยะอักโขพอสมควร
ทีนี้ ก็มาถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ “พรรคประชาชน” ที่ก็มีประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยคราวนี้ ทางพรรคเปิดชื่อออกมา 3 คนคือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค หลังมีบทเรียนมาแล้วในอดีตกับการมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ก็ทำให้เสียสิทธิ์ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า ทั้ง 3 ชื่อของพรรคประชาชนนั้น ไม่ได้เรียกเสียงว้าวจากบรรดา “ด้อมส้ม” เท่าใดนัก เพราะจะว่าไป ทั้ง 3 คนก็มิได้มีความโดดเด่นให้เห็นจากการทำงานการเมืองที่ผ่านมาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ “เท้ง-ณัฐพงษ์” แคนดิเดตนายกรัฐนตรี เบอร์ 1 ของพรรคนั้น ไม่สามารถเรียกคะแนนนิยมให้พุ่งปรี๊ดในหมู่ด้อมส้มได้ถึงครึ่งหนึ่งของ “เสี่ยทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เสียด้วยซ้ำไป
จะเรียกว่า เป็น “ร่างทรงของเสี่ยเอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะก็รู้กันดีว่า ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของพรรค โอกาสที่จะขึ้นมา ยากถึงยากที่สุด
แถมภายในพรรคส้มเองก็มีปัญหารุมเร้ารอบด้านจากการคัดเลือกผู้สมัครลงในพื้นที่ต่างๆ ทำให้สส.หน้าเดิมหลุดไปจากวงโคจรและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาค่อนข้างหน้าหูถึงการปรับยุทธศาสตร์ของพรรค ยกตัวอย่างเช่น เสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีมีกลุ่ม “บ้านใหญ่” จากตระกูลการเมืองดังตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันกับพรรคส้มมากขึ้น จนเกิดแรงกระเพื่อมภายในอย่างรุนแรงในพื้นที่ เช่น นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ (อดีต รมช.คมนาคม) จองพื้นที่ นครราชสีมา เขต 7 นางสาวนัฏฐิกา โล่ห์วีระ จองพื้นที่ ชัยภูมิ เขต 1 นายธนวัช ภูเก้าล้วน จองพื้นที่ กระบี่ เขต 1 เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกรณี “นายไพทูรย์ นาคหิรัญ” อดีตผู้สมัคร สส. เขต 1 ปราจีนบุรี (สมัยพรรคก้าวไกล) ที่โพสต์ประกาศยุติบทบาทกับ “พรรคประชาชน” พร้อมเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำเอาพรรคเสียรังวัด โดยแฉว่ามีผู้ประสานงานภาคมาชักชวนลงสมัครพร้อมร่วมลงทุนธุรกิจสุรา (หุ้นลม) แต่เมื่อเกิดปัญหาและเป็นข่าวช่วงเลือกตั้งซ่อมระยอง กลุ่มหุ้นส่วนกลับเงียบหาย ทิ้งหนี้สินค่าเสียหายจากโรงงานให้ตนเองรับผิดชอบเพียงลำพัง
นายไพทูรย์ยืนยันว่าพยายามช่วย “สส.แจ้” (วุฒิพงศ์ ทองเหลา) ในการตรวจสอบการเรียกรับผลประโยชน์จากโรงงานและการตั้งมุ้งของ NGO/นักเคลื่อนไหวนอกพื้นที่ แต่กลับถูกกลุ่มอำนาจในพรรคใช้พวกมากลากไปและโจมตีด้วยหลักฐานเท็จ พร้อมแฉคนของพรรคทั้งในจังหวัดและภาคตะวันออก พยายามตั้งมุ้งเลือกคนของตัวเองขึ้นมา โดยไม่ให้ความสำคัญกับสมาชิกที่ทำงานจริง จนต้องตัดสินใจลาออกพร้อมสมาชิกส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว
หรือกรณีของ “นายตรัยวรรธน์ อิ่มใจ” อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ที่ประกาศไม่ขอรับมติของเลขาธิการพรรคในการตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ โดยระบุว่า เดิมทีคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติเสียงส่วนใหญ่ ให้ตนเองเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ เขต 8 แต่ต่อมาเลขาธิการพรรคได้โทรศัพท์ขอ ให้ถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อสอบถามว่าใช้มติอะไรในการเปลี่ยนแปลงมติของกรรมการบริหารพรรค ทางเลขาธิการพรรค(ศรายุทธิ์ ใจหลัก) ให้เหตุผลว่า ใช้สิทธิ์การวีโต้จากเลขาธิการพรรคและหัวหน้าพรรค
ความปั่นป่วนดังกล่าวกลายเป็นคลื่นใต้น้ำในพรรคส้มอยู่ไม่น้อย และทำให้มีการพูดถึง “กลุ่มโปลิตบูโร” ที่กลับมามีบทบาทสำคัญในการโยกย้ายสับเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส.ของพรรค ทำให้อดีต สส.บางคน แม้จะลงพื้นที่และทำงานอย่างหนัก แต่ต้องถูกปรับออกไป ซึ่งบางคนก็ “ยอม” กลืนเลือด แต่หลายคนก็เลือกที่จะตัดสินใจ “โบกมือลา”
เป็นกลุ่มโปลิตบูโรที่หลายคนเรียกอย่างตรงไปตรงมาว่า “กลุ่มเพื่อนเอก” ผู้เป็นนายทุนพรรคที่มีบทบาทมาตั้งแต่ยุคแรกคือยุคพรรคอนาคตใหม่ ตามต่อด้วยพรรคก้าวไกลและยังคงทรงอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญในพรรคประชาชน ณ เวลานี้
ส่วนพรรคภูมิใจไทยนั้น เบอร์หนึ่งก็คือ “อนุทิน” ผู้ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคือ “ร่างทรง” ของ “เนวิน ชิดชอบ” ส่วนอีก 2 คนที่พรรคกำลังพยายามเจรจาแต่ยังไม่บรรลุผลคือ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” และ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” นั้น ถ้าทั้ง 2 คนตอบตกลงก็ต้องถือว่าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีความโดดเด่นไม่น้อย เผลอๆ จะเด่นกว่านายอนุทินเสียด้วยซ้ำไปถ้าเทียบกับฝีไม้ลายมือและประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 คนคงเป็นได้แค่เพียง “เทคโนแครตไม้ประดับ” ที่จะมาเป็นแค่ผู้เสริมบารมี เสริมภาพลักษณ์ของนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของพรรคภูมิใจไทยที่เวลานี้ต้องถือว่าเป็น “หัวหอก” หรือ “แกนนำของฝ่ายอนุรักษ์นิยม” นั้น มีปัญหาด้านภาพลักษณ์พอสมควร ด้วยกลายเป็นศูนย์รวมของบรรดา “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ที่เข้ามาร่วมวงศ์ไพบูลย์เพราะคาดหมายว่า จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งและสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ทำให้พรรคที่เดิมมีข้อครหาเรื่อง “เทาๆ” อยู่แล้ว ก็ยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก
ดังนั้น จึงเกิดความทับซ้อนระหว่างความเป็นอนุรักษ์นิยมที่มีธงในเรื่องของ “ความดี” เป็นสำคัญ กับภาพความเทาๆ ที่ทาบทับกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งเชื่อว่า จะสร้างความอีดอัดและความลำบากใจให้กับกลุ่มอนุรักษ์นิยมไม่น้อย
ส่วน “พรรคการเมืองอื่นๆ” คงต้องยอมรับว่า รายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ปรากฏออกมาหรือคาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อ เป็นเพียงแต่การเสนอชื่อตามกฎหมายที่กำหนดไว้เท่านั้น เพราะถึงอย่างไร โอกาสที่เบียดแทรกขึ้นมาจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ คงมีเปอร์เซ็นต์ต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จากพรรคพลังประชารัฐ “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” จากพรรคกล้าธรรม “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” จากพรรคไทยก้าวใหม่ “ภราดร พัฒนถาบุตร” จากพรรคไทยสร้างไทย แม้แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่เมื่อย้อนกลับไปดู ผลสำรวจคะแนนนิยมการเมืองไตรมาส 4/68 ของ “นิด้าโพล” จาก 2,500 หน่วยตัวอย่าง สำรวจช่วง 4-12 ธันวาคม 2568 ในหัวข้อ “บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ” ผลออกมามีความน่าสนใจมาก เพราะอันดับ 1 คือ ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ โดยมีสัดส่วนถึง 40.60% ขณะที่อันดับ 2 ตกเป็นของณัฐพงษ์ ทว่า มีคนหนุนอยู่ที่สัดส่วน 17.20% เช่นเดียวกับอันดับ 3 คืออนุทิน และมีสัดส่วนเพียงแค่ 12.32% เท่านั้น
ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยคือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หลุดไปอยู่ที่อันดับ 5 ร้อยละ 6.28 อย่างไรก็ดี ในขณะนั้นพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้มีมติเสนอชื่อ “ยศชนัน” อย่างเป็นทางการ จึงทำให้ไม่ปรากฏในการสำรวจดังกล่าว แต่ก็เชื่อว่า ถ้ามีการทำโพลใหม่ คะแนนของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยก็คงบวก-ลบจากนี้ไม่มากนัก เพราะเท่าที่เปิดตัวออกมา ก็ต้องบอกว่า มิได้มีสัญญาณบวกสักเท่าไหร่
ทั้งนี้ เมื่อนำข้อมูลทั้งหลายทั้งปวง ทั้งจากนิด้าโพลและการประเมินสถานการณ์ไปแปรผันเป็นจำนวน สส.ที่คาดว่า แต่ละพรรคจะได้รับในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผลที่ออกมาปรากฏว่า พรรคประชาชน จะมี สส.เขต 113 คน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 38 คน รวมเป็น 151 คน พรรคภูมิใจไทยตามมาเป็นอันดับ 2 โดยจะมี สส.เขต 104 คน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 17 คน รวมเป็น 121 คน ด้านพรรคเพื่อไทยตกไปเป็นอันดับ 3 โดยจะมี สส.เขต 94 คน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 18คน รวมเป็น 110 คน
กระนั้นก็ดี กูรูการเมืองหลายสายมองว่า เผลอๆ พรรคเพื่อไทยจะมี สส.รวมกันต่ำกว่าร้อยเสียด้วยซ้ำไปอีกต่างหาก
ที่สำคัญคือ มีการวิเคราะห์กันว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ก็คือจะมีการซื้อเสียงของพรรคการเมืองแบบบ้านใหญ่จำนวนมาก และอาจมีเงินทุนจากกลุ่มทุนเทาสแกมเมอร์มาให้การสนับสนุนนักการเมืองในสังกัดพรรคเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น นี่คือโจทย์ใหญ่สำหรับประชาชนในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เพราะมีเรื่องต้องครุ่นคิดถึงการจัดตั้งรัฐบาลว่า สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร เพราะออกได้หลายหน้า เช่น พรรคประชาชนจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้งหรือไม่ เป็นไปได้ไหมที่พรรคประชาชนจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย หรือสุดท้ายแล้วหวยจะออกไม่ต่างจากเดิมคือ พันธมิตรการเมืองกลุ่มเดิมเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่เที่ยวนี้มีพรรคภูมิใจไทยกลายเป็นพรรคแกนนำแทน ซึ่งนั่นดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
คำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมือง” จะได้รับการพิสูจน์อีกครั้ง
ส่วนประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ หลังจากใช้สิทธิและหย่อนบัตรลงไปหีบเลือกตั้งแล้ว ก็ทำได้แค่เฝ้ารอและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา


