ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มีคำถามเกิดขึ้นมากมายสำหรับ “ตระกูลฮุน” และ “กัมพูชา” ในการทำศึกกับประเทศไทย ด้วยมีการแฉข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่องถึงการเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดีเกินกว่าศักยภาพของประเทศเล็กจะสามารถยืนระยะได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยต้องยอมรับว่า “ต้นทุนของสงคราม” นั้น ค่าใช้จ่ายต่อวันคิดเป็นเงินจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะห่ากระสุนจาก BM-21ที่ยิงเข้าใส่ประเทศไทยราวกับได้รับมาฟรีๆ อย่างไรอย่างนั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจาก “ทุนเทา” แล้ว งานนี้ “กัมพูชา” มี “มหามิตร” ให้การสนับสนุนในหลากหลายมิติ และถือเป็นอาวุธสำคัญในการทำศึกกับไทย
กรณี “กองทัพโดรนพลีชีพ” น่าจะเป็นใบเสร็จสำคัญ เพราะมีข้อมูลพรั่งพรูออกมามากมายว่า กัมพูชาใช้ “ทหารรับจ้าง” ในการเข้ามาควบคุมภารกิจดังกล่าว ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 เองก็มีรายงานออกมาว่า ผู้บังคับอาจไม่ใช้คนกัมพูชา
นอกจากนั้น “เฟซบุ๊กเพจจับสายลับ” เปิดเผยว่า มีทหารรับจ้างเข้าไปปฏิบัติงานในกัมพูชาจริง ด้วยมีข้อมูลยืนยันว่า มีบริษัททหารรับจ้างที่ทำงานรับใช้ทุนเทามาตั้งแต่ปี 2020 โดยอดีตนักสืบเอกชนชาวฮังการี มีเครือข่ายทหารรับจ้างครอบคลุมเกือบทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรป แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบริษัทดังกล่าว มีตัวเชื่อมสำคัญคือ บริษัททหารรับจ้างจีน ที่จดทะเบียนในไทย แต่เลิกกิจการไปแล้ว
ขณะที่ “อนาลโย กอสกุล” ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธสงคราม เจ้าของเพจ Thaiarmedforce ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ตัวเองมั่นใจ 80% ว่า กัมพูชาใช้ทหารรับจ้างในการรบกับไทย เพราะถ้าหากไปดูยุทธวิธีในการต่อสู้รอบนี้ ต่างจากเดิม กัมพูชาใช้ระบบอาวุธทันสมัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโดรน Kamikaze แต่ขณะเดียวกันจะเป็นทหารรับจ้างของสัญชาติไหน ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด เพราะจากข้อมูลบริษัททหารรับจ้างใหญ่ๆ มีทั้งจีน อเมริกา และรัสเซีย นั่นหมายความว่า คนที่ทำธุรกิจทหารรับจ้างมีจำนวนมาก อย่างสัญญาณวิทยุที่กองทัพภาค 2 ดักฟังได้เป็นคำสั่งภาษาอังกฤษ ซึ่งระบุได้ยากต้องไปนั่งฟังสำเนียงอีกครั้งว่าเป็นชาติไหนกันแน่
แน่นอนว่า คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดก็คือ “ฮุน เซน” ซึ่งเขาก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อรายงานของสื่อไทยหลายสำนักที่ระบุเรื่องมีชาวรัสเซียหรือชาวต่างชาติอื่นๆ มีส่วนเกี่ยวข้องในการตอบโต้การโจมตีของไทย ว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่า ไม่มีทหารรัสเซียหรือทหารต่างชาติใดๆ อยู่ในสนามรบหรือทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางทหารให้กับกองทัพกัมพูชา
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยแถลงการณ์ปฏิเสธกรณีกระแสข่าวพลเมืองชาวรัสเซียเข้ามาพัวพันในฐานะทหารรับจ้างที่ถูกฝ่ายกัมพูชาว่าจ้างให้มาเข้าร่วมในความขัดแย้งบริเวณชายแดนประเทศไทยและกัมพูชาว่าไม่มีมูลความจริงและมีแนวโน้มว่าจะถูกสร้างขึ้นจากแหล่งข้อมูลนอกภูมิภาค มีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนสิทธิพลเมืองชาวรัสเซียที่พำนักอยู่ในประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยวหรือประกอบธุรกิจ เป็นการสร้างความเสียหายต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างประเทศรัสเซียและไทย
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องการจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์สหรัฐฯ” ในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารให้ต่างชาติเชื่อถือในรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นเอกสารจากเว็บไซต์ efile.fara.gov ที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย FARA หรือพระราชบัญญัติการจดทะเบียนตัวแทนต่างชาติ (Foreign Agents Registration Act) ของสหรัฐฯ และยื่นต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ นั่นก็คือ บริษัท “National Consulting Services, Inc.”
ตามเอกสารระบุว่า บริษัท National Consulting Services, Inc. ได้ยื่นเอกสารประชาสัมพันธ์ ต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในฐานะ “ตัวแทนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชาในสหรัฐอเมริกา” โดยมีสาระสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก
ประเด็นที่ 1 คือการสื่อสารต่อผู้นำโลก โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงผู้นำระดับนานาชาติ เช่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นำจีน ผู้นำยุโรป และเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอการสนับสนุนจุดยืนของรัฐบาลกัมพูชา
ประเด็นที่ 2 เป็นการกล่าวหาไทยในเวทีระหว่างประเทศ ผ่านเอกสารที่ระบุว่า ไทยใช้กำลังฝ่ายเดียว ขยายแนวรั้วลวดหนาม ขับไล่พลเรือนกัมพูชา ละเมิด MOU ปี 2000 และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ประเด็นที่ 3 คือการใช้กลไกด้านกฎหมายและประวัติศาสตร์เพื่อกดดันไทย โดยอ้างถึงสนธิสัญญา ค.ศ. 1904/1907 คำวินิจฉัยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และ MOU 2000 เพื่อสร้างภาพว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขณะที่ไทยเป็นฝ่ายละเมิด
นอกจากนี้ ยังพบเอกสารแนบภาพถ่ายชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยางในเหตุปะทะพื้นที่บ้านหนองจานเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า เอกสารทั้งหมดจัดทำและเผยแพร่โดย National Consulting Services, Inc. ในนามรัฐบาลกัมพูชา และมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ลงนามเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2568 โดย “ดอน เบนตัน” ผู้บริหารบริษัทดังกล่าว และ Koy Kuong เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหรัฐฯ ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย FARA
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ ดอน เบนตัน นั้น เป็นอดีตที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาแห่งรัฐวอชิงตันเป็นเวลา 20 ปี และเคยบริหารหน่วยงานรัฐบาลกลางในวอชิงตัน ดี.ซี.
“พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ” โฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า พบการใช้ล็อบบี้ยิสต์จริง สังเกตได้จากการปรากฏตัวของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตก ที่ออกมาเรียกร้องผ่านภาพและวิดีโอในพื้นที่ต่างๆ ของกัมพูชา ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าว มีลักษณะเป็นการสร้างภาพและบรรยากาศ เพื่อให้ประชาคมโลกเกิดความเห็นใจต่อฝ่ายกัมพูชา ทั้งที่การปฏิบัติการทางทหารของไทยมีเป้าหมายเฉพาะ และไม่มีเจตนาโจมตีพลเรือนแต่อย่างใด
และปิดท้ายกันที่เรื่องการส่งออกน้ำมัน ที่กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าองศาเดือดขึ้นมาทันที หลังปรากฏภาพ “รถบรรทุกน้ำมัน” จอดเรียงรายยาวเหยียดที่ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อรอข้ามพรมแดนไปยังประเทศลาว พร้อมกับมีการตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่น้ำมันเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังประเทศกัมพูชา ขณะเดียวกันก็พบ “เรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติไทย” เดินทางจากสิงคโปร์และมีจุดหมายปลายทางที่กัมพูชาเช่นกัน
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเบื้องแรกก็คือ “ใคร” คือผู้ที่จัดหายุทธปัจจัยสำคัญเหล่านี้ไปให้กัมพูชา
จากนั้นก็มีแถลงการณ์ปฏิเสธจากผู้ค้าน้ำมันทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติว่า มิได้มีการจัดส่งน้ำมันไปยังประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้ง ปตท.บางจาก ไทยออยล์ คาลเท็กซ์ และพีที เป็นต้น
ด้านกระทรวงพลังงาน โดยนายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวง ก็ยืนยันเช่นกันว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ไม่มีการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชา 100% และจากการตรวจสอบจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีผู้ค้ารายใดส่งออกน้ำมันให้กัมพูชา ขณะที่ทางฝั่งประเทศลาว ที่มีความเคลื่อนไหวจาก นายมะไลทอง กมมาสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของ สปป.ลาว ที่เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทย และยืนยันว่าไม่มีการส่งต่อน้ำมันไปยังกัมพูชา เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยสินค้าผ่านแดนของ สปป.ลาว
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การส่งออกน้ำมัน “อย่างเปิดเผย” ไปยังกัมพูชา หากแต่อยู่ที่การส่งแบบ “ไม่เปิดเผย” หรือส่ง “น้ำมันเถื่อน” เสียมากกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่า เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ในน่านน้ำไทย แถมบรรดา “ทุนเทา-ทุนการเมืองไทย” ก็เติบโตมาในเส้นทางดังกล่าวจนสามารถสร้างความร่ำรวย ขยายอาณาจักรธุรกิจ ก่อนที่จะกระโดดเข้ามาเป็นนักการเมือง และจำนวนไม่น้อยก็กลายเป็น “รัฐมนตรี” เสียด้วยซ้ำไป
ไม่เช่นนั้น “ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.)” หน่วยงานของ “กองทัพเรือไทย” คงไม่ประกาศคุมเข้มเพื่อตรวจสอบการขนส่งน้ำมันจากเรือสัญชาติไทย โดยเบื้องต้นครอบคลุมเฉพาะจันทบุรีและตราด ก่อนที่จะขยายเพิ่มเติมไปที่ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี และระยอง


