ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เมื่อมีความเกี่ยวพันกับบุคคลผู้เป็นต้นธารของชนชาติจีน และบุคคลเหล่านี้ก็เป็นต้นธารของแซ่แต่ละแซ่ ซ้ำยังมีฐานะไม่ต่างกับเทพ ในที่นี้จึงขอกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้แต่พอสังเขป .
เริ่มจากที่ว่า จีนจะเล่าถึงบุคคลที่ว่ามีอยู่คนเดียว หลังจากนั้นบุคคลผู้นี้ก็ได้สืบทอดเชื้อสายเป็นหลายคน และแต่ละคนจะมีคุณูปการต่อคนจีนในแต่ละด้าน เช่น ผ่านกู่เป็นผู้สร้างโลกที่เราอาศัยอยู่ หนี่ว์วา (หญิง) สอนให้มนุษย์ปลอดพ้นจากภัยธรรมชาติ ฝูซีสอนให้มนุษย์รู้จักจุดไฟและใช้ไฟ เสินหนงสอนให้มนุษย์รู้จักบริโภคพืชพันธุ์ต่างๆ รู้จักการเกษตร ซุ่ยเหญินสอนให้มนุษย์ใช้ไม้มาขัดสีให้เกิดไฟ
หรือก้งกงสอนให้มนุษย์รู้จักชลประทานหรือการควบคุมน้ำ ฮว๋างตี้เป็นผู้ให้กำเนิดชนชาติจีน ประดิษฐ์ตัวอักษรจีน เครื่องมือการเกษตร เครื่องทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา จวนซีว์สอนให้มนุษย์รู้จักการทำปฏิทินและโหราศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากบุคคลดังกล่าวแล้วก็ยังมีบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่มีคุณูปการต่อชาวจีนในด้านต่างๆ ซึ่งหากต้องการทราบรายละเอียดมากกว่านี้อาจอ่านได้จากงานของวรศักดิ์ มหัทธโนบล. จีนยุคบุราณรัฐ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม, 2563.
เมื่อบุคคลเหล่านี้ถูกยกให้เป็นเทพในเวลาต่อมาแล้ว จึงไม่แปลกที่เมื่อสืบเชื้อสายจนมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ลูกหลานเหล่านี้จึงอ้างว่า บรรพชนของตนเป็นใครมาจากไหนได้โดยไม่ติดขัด และอ้างด้วยว่า เมื่อมาจากบรรพชนท่านนั้นๆ แล้ว ตนจึงมีแซ่ที่เกี่ยวเนื่องด้วยบรรพชนท่านนั้นไปด้วย
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป ลูกหลานจีนก็สืบเชื้อสายจนแตกเหล่าแตกกอออกไปมากมาย จนทำให้แซ่แตกสายเป็นหลายแซ่ไปด้วย เหตุดังนั้น จากที่มีอยู่ไม่กี่แซ่มาแต่เดิมก็กลายเป็นมีแซ่นับร้อยนับพันแซ่มาจนปัจจุบัน
และจากวันเวลาที่ผ่านไปก็ทำให้จีนสามารถสรุปที่มาของแซ่ของคนจีนได้ว่า แซ่ของคนจีนมีที่มาจากชื่อของชนเผ่า มาจากถิ่นที่อยู่อาศัย มาจากชื่อแม่น้ำ มาจากชื่อสัตว์ต่างๆ มาจากชื่อเมือง มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นต้น ที่มาดังกล่าวจะเห็นได้ถึงความหลากหลายของที่มาของแซ่ที่คนจีนใช้กันด้วยประการฉะนี้
เมื่อสรุปที่มาของแซ่ได้แล้ว ต่อมาจึงมีการกำหนดระเบียบการใช้แซ่ขึ้นมา โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ว่า คนที่มีแซ่เดียวกันห้ามแต่งงานกัน ด้วยถือว่ามีสายเลือดเดียวกัน คือเป็นญาติพี่น้องกัน ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลยก็ตาม
ข้อกำหนดดังกล่าวมีประเด็นที่พึงกล่าวด้วยว่า จีนเป็นชนชาติที่พบว่า คนที่เป็นญาติพี่น้องกันหากแต่งงานกันแล้ว ลูกหลานที่ออกมาจะมีสุขภาพที่ไม่ดี สติปัญญาทึบ หรือมีปัญหาทางสมอง และเป็นคนที่โรคภัยต่างๆ เบียดเบียนได้ง่ายหรือเป็นคนขี้โรค ที่สำคัญคือ อายุสั้น
ข้อกำหนดดังกล่าวจึงถูกถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมานับพันปี แต่ปัจจุบันนี้ที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย การถือเคร่งในเรื่องนี้ก็ลดน้อยถอยลง การแต่งงานของคนแซ่เดียวกันของคนจีนเคยปรากฏเป็นข่าว โดยคู่รักทั้งสองให้ข้อมูลว่า ตนได้ไปค้นข้อมูลความเป็นมาของวงศ์ตระกูลของตนมาแล้วพบว่า ทั้งสองมีความห่างไกลในทางเชื้อสายอย่างมาก
คือมากจนเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือสมองของลูกที่จะเกิดมา
วิธีการสืบทอดวงศ์ตระกูล
แซ่เป็นสื่อกลางของการสืบทอดวงศ์ตระกูลของชาวจีน และถือเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่มีมาช้านานแล้ว วิธีการสืบทอดวงศ์ตระกูลจึงเป็นเรื่องที่ควรกล่าวถึงเช่นกัน กล่าวคือ จากแซ่ที่มีหลายพันแซ่ในจีนนั้น การสืบทอดแซ่อาจสรุปได้เป็น 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก ผู้ที่ใช้แซ่ใดแซ่หนึ่งเป็นคนแรกจะถูกนับเป็นรุ่นที่ 1 ของตระกูลแซ่นั้นโดยปริยาย การสืบทอดในลักษณะนี้จะยังคงเป็นไปเรื่อยๆ ไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าตระกูลแซ่นั้นๆ จะมีความมั่นคงเหนียวแน่นมากน้อยแค่ไหน
บางตระกูลอาจจะแตกกระจัดพลัดกระจายจนไม่รู้รากเหง้าที่มาของต้นตระกูล ในขณะที่บางตระกูลอาจสร้างการสืบทอดในลักษณะที่สองขึ้นมา
การสืบทอดในลักษณะที่สองนี้หมายความว่า ผู้เป็นต้นตระกูลหรือรุ่นที่ 1 ซึ่งมีแซ่เป็นของตนอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะสืบทอดกันมากี่รุ่นก็ตาม) แต่เมื่อมีการตัดขาด แยกตัว หรือขาดตอนในการสืบทอดด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งขึ้นมา (เช่น เกิดสงครามขึ้นจนบ้านแตกสาแหรกขาด ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดจนทำให้การสืบทอดแซ่ทำไม่ได้ เป็นต้น) การสืบทอดก็จะสะดุดหยุดลง การสะดุดหยุดลงนี้จะนานแค่ไหนก็ไม่แน่นอนเช่นกัน
ตราบจนกระทั่งมีผู้ใช้แซ่ที่ว่าคนหนึ่งสามารถสร้างหลักปักฐานครอบครัวของตนขึ้นมาได้อย่างมั่นคง ผู้ใช้แซ่คนที่ว่าคนนี้ก็จะตั้งตนเป็นรุ่นที่ 1 ของตระกูลแซ่นั้นๆ แบบนับหนึ่งใหม่ก็ถือเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
การสืบทอดในลักษณะที่สองนี้เองที่เป็นคำตอบว่า เหตุใดชาวจีนที่มีแซ่เดียวกันแท้ๆ จึงสืบทอดวงศ์ตระกูลของตนแยกกันไปจนไม่มีอะไรเกี่ยวพันกัน
ถึงตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า การสืบทอดวงศ์ตระกูลในลักษณะที่สองจะมีมากกว่าลักษณะที่หนึ่ง ในขณะที่ลักษณะที่หนึ่งมักจะเกิดกับตระกูลเก่าแก่ ที่ยึดมั่นในจารีตประเพณีการสืบทอดแซ่ของตนได้อย่างมั่นคงเหนียวแน่น
บางตระกูลก็มีชื่อเสียง เช่น ตระกูลของขงจื่อ (ก.ค.ศ.551-479) เมธีจีนที่มีชีวิตในช่วงพุทธกาลนั้น ยังคงมีลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลมาจนทุกวันนี้หรือราว 2,500 ปีมาแล้ว
ต่อไปจะเป็นวิธีการสืบทอด วิธีการจะเริ่มจากผู้ที่เป็นต้นตระกูลรุ่นที่ 1 (จะในลักษณะที่หนึ่งหรือสองก็ตาม) จะเขียนทำเนียบรุ่นขึ้นมา 2 ชุดในรูปของบทกวี โดยแต่ละคำในบทกวีนี้จะถูกนำมาใช้เป็นชื่อในพยางค์ใดพยางค์หนึ่งของลูกหลาน และลำดับคำแต่ละคำในบทกวีคือตัวที่จะกำหนดลำดับรุ่นของลูกหลานไปด้วยในตัว
และที่ต้องมี 2 ชุดก็เพราะชุดหนึ่งใช้กับลูกหลานเพศชาย และอีกชุดหนึ่งใช้กับลูกหลานเพศหญิง โดยทั่วไปแล้วถ้าเป็นเพศชายคำจากทำเนียบหรือบทกวีจะเป็นชื่อในพยางค์แรก ถ้าเป็นเพศหญิงจะเป็นพยางค์ที่สอง
สมมติว่า บทกวีชิ้นนั้นมีอยู่ 20 ตัวอักษร ก็แสดงว่า การสืบทอดจะทำได้ 20 รุ่น (รวมรุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มด้วย) หลังจากสืบทอดจนครบ 20 รุ่นแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของคนในรุ่นก่อนรุ่นที่ 20 รุ่นใดรุ่นหนึ่ง (หรือรุ่นที่ 20 ก็ได้) ก็จะสร้างทำเนียบขึ้นมาใหม่สำหรับรุ่นที่ 21 เป็นต้นไปได้ใช้สืบทอดต่อไป
ส่วนจะกำหนดขึ้นอย่างไร เช่น อาจเขียนเป็นบทกวีที่มีคำมากกว่าหรือน้อยกว่า 20 คำก็ได้ตามสะดวก เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่า คนที่จะเขียนบทกวีได้ย่อมเป็นคนที่มีการศึกษาสูงของวงศ์ตระกูล ที่สำคัญคือ จะยังคงเขียนขึ้นมา 2 ชุดเช่นกัน


