xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (66): การสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Arvid Horn Portrait by Lorens Pasch the Elder (ภาพ:วิกิพีเดีย)
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

กล่าวได้ว่า  เคาน์ Arvid Horn  เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการลดทอนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดน เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้า Charles XII ในปี ค.ศ. 1718 ได้เกิดปัญหาในการสืบราชสันตติวงศ์ขึ้น โดยเจ้าหญิง Ulrika Eleonora พระขนิษฐภคินีของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองได้อ้างสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา ขณะเดียวกัน เจ้าหญิง Hedvig Sophia พระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับไปแล้วของพระนางได้มีพระโอรสหนึ่งพระองค์ นั่นคือ ชาร์ลส เฟดริก ผู้ซึ่งมีสิทธิ์และสถานะที่ได้เปรียบกว่าเมื่อคิดตามกฎมณเฑียรบาลในเรื่องสถานะทางเพศ แต่พระนาง Ulrika Eleonora ทรงยืนยันว่าพระองค์เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังทรงพระชนม์อยู่ที่มีสายพระโลหิตใกล้ชิดพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมากที่สุด

ความขัดแย้งดังกล่าวนี้เองที่เปิดโอกาสให้อภิชนฝ่ายรัฐสภาเข้ามามีบทบาทในการกำหนดตัวผู้ขึ้นครองราชย์ โดยเคานท์ Arvid Horn ได้โน้มน้าวให้พระนางยอมที่จะยกเลิกการกล่าวอ้างการขึ้นครองราชย์ตามสายพระโลหิต และเปลี่ยนเป็นให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกผู้ที่รัฐสภาเห็นควรให้ขึ้นครองราชย์แทน อันไปสู่การสิ้นสุดประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์โดยสายโลหิตและเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์โดยผ่านการเลือกตั้งในรัฐสภา หรือกษัตริย์ต้องมาจากการลงคะแนนเสียงในรัฐสภา
 
หลังจากที่พระนาง Ulrika Eleonora สละราชสมบัติเพื่อให้พระสวามีของพระนางได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาเพื่อขึ้นครองราชย์แทนในปี ค.ศ. 1720 Horn ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี (chancellorship) ที่เทียบเท่านายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน

 มีผู้เปรียบเทียบฮอร์นกับเซอร์ Robert Walpole ของอังกฤษ เพราะนักประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษถือว่า Walpole คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอังกฤษ โดยเขาได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ระหว่าง ค.ศ. 1721-1742 จากที่ทั้งสองเป็นคนยุคเดียวกันและดำรงตำแหน่งที่เทียบเท่ากันและถือว่าเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้เป็นคนแรกของประเทศ ทั้ง Walpole และ Horn จึงมักถูกนำมากล่าวถึงเทียบเคียงกันเสมอ  

จากการที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานสภาบริหารอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงองค์พระมหากษัตริย์ ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะมีเหตุผลดังต่อไปนี้คือ
 
Horn น่าจะเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอิทธิพลพอสมควรจากการที่เขาดำรงตำแหน่งนายพลและเป็นบุคคลสำคัญทางการทหาร และเคยเป็นคนโปรดของ Charles XII อีกทั้งเขาน่าจะเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพนับถือจากทุกฝ่าย จากการที่เขาเป็นคนตรงและกล้าที่จะเสนอความเห็นในการบริหารราชการแผ่นดินที่แตกต่างจาก Charles XII จนเป็นเหตุให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งประธานสภาบริหารในครั้งที่สภาบริหารยังเป็นสภาแห่งพระมหากษัตริย์ แต่กระนั้น ยามที่สภาฐานันดรในช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีท่าที่ต่อต้านพระมหากษัตริย์ เขาก็ยังเป็นผู้ที่กล้าออกมาว่ากล่าวตักเตือนและยุบสภาแต่เมื่อ Charles XII เสด็จสวรรคตและมีปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ เขาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองผ่านการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเขาเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวและสนับสนุนให้ Ulrika Eleonora ขึ้นครองราชย์โดยมีเงื่อนไขที่ต้องยอมสละพระราชอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่ต่อมาเมื่อ Ulrika Eleonora ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดนแล้วยังทรงพยายามที่ทำให้สภาบริหารยังคงเป็นสภาแห่งพระมหากษัตริย์ เขาก็ประท้วงโดยการลาออก แสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นในหลักการที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงบริหารราชการตามคำแนะนำของสภาบริหารตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติฯ อีกทั้งเขายังเป็นผู้สนับสนุนให้ Frederick of Hesse ได้รับการลงมติเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนหลังจากที่ Ulrika Eleonora ทรงประกาศสละราชสมบัติเพื่อหวังจะให้พระสวามีของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์

 นั่นคือ Horn เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในผลประโยชน์แห่งชาติสวีเดน และเป็นบุคคลที่ยึดมั่นในระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบการปกครองที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเขาเห็นว่า สวีเดนภายใต้ Charles XII ตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบอัตตาธิปไตย (autocracy) ซึ่งนำพาให้สวีเดนต้องพ่ายแพ้สงคราม สูญเสียทหารและประชากรไปเป็นจำนวนมากและทำให้เกิดความหายนะทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การสถาปนาระบอบการปกครองที่ลดทอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์เพื่อให้สภาบริหารที่เป็นคณะบุคคล (the few) ได้มีบทบาทในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศน่าจะมีความรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากกว่าจะให้การตัดสินใจอยู่ในมือของพระมหากษัตริย์ที่เป็นเอกบุคคล และภายใต้ Horn สภาบริหารก็ได้เปลี่ยนจากสภาแห่งพระมหากษัตริย์ (the King’s Council) มาเป็นสภาแห่งแผ่นดิน (the Council of the Realm) ได้อย่างแท้จริงตาม “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719” นั่นคือ สภาบริหารจะทำหน้าที่พิทักษ์รักษาและตอบสนองประโยชน์และความต้องการของอาณาจักร ไม่ใช่การพิทักษ์รักษาและตอบสนองประโยชน์และความต้องการของพระมหากษัตริย์ 

และอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Horn มุ่งหวังที่จะฟื้นฟูจารีตการปกครองในแบบรัฐธรรมนูญอภิชนนิยม (aristocratic constitutionalism) ตามที่เคยดำรงอยู่ในศตวรรษที่สิบเจ็ด ภายใต้กฎหมาย “รูปแบบการปกครอง” ค.ศ. 1634 (the Form of Government 1634) โดยให้สภาบริหารกลับมามีอำนาจมากเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังเช่นในสมัย “the Kalmar Union” และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1611- 1660 ซึ่งในช่วงดังกล่าว สมาชิกสภาบริหารเคยทำหน้าที่ในฐานะผู้มีอำนาจในการพิทักษ์รักษากฎกติกาตามจารีตประเพณีการปกครองของสวีเดน และในรัชสมัยของ Charles XII มีความพยายามที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดย Baron Per Ribbing เป็นผู้นำ โดยเขาต้องการจะให้อำนาจอยู่ในมือของพวกอภิชนมากขึ้น นั่นคือ ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเพิ่มความเป็นอภิชนาธิปไตยมากขึ้น โดยฟื้นฟูให้อำนาจอยู่ในมือของคณะบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมือของสภาบริหารที่เป็นสภาบริหารแห่งแผ่นดิน (the Council of the Realm)

 เป้าหมายแรกของรัฐบาลใหม่: ยุติ “มหาสงครามตอนเหนือ” (the Great Northern War)  

จากการที่ Chares XII ได้นำสวีเดนเข้าสู่ “มหาสงครามตอนเหนือ”  ที่สวีเดนต้องเผชิญกับสงครามที่เป็นการรวมตัวของชาติต่างๆภายใต้การนำของรัสเซียที่หวังจะทำลายความเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจของสวีเดน ซึ่งส่งผลให้สวีเดนต้องสูญเสียทหารและประชากรไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเศรษฐกิจเสียหายย่อยยับ จากสงครามดังกล่าวที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1700 ด้วยสวีเดนต้องรบกับกองทัพที่เกิดจากการรวมตัวของชาติต่างๆ อันได้แก่ เดนมาร์ก-นอร์เวย์ โปแลนด์-ลิทัวเนีย บริเตนใหญ่ ฯ ที่รวมกัน “กินโต๊ะ” สวีเดน และเมื่อถึงราว ค.ศ. 1718 ในช่วงปลายรัชสมัยของ Charles XII สวีเดนมีแผนที่จะยุติสงครามโดยการหาทางที่จะเจรจาแบ่งแยกการรวมตัวกันของชาติต่างๆ โดยผู้ที่วางแผนดังกล่าวนี้คือ Gortz เขาต้องการให้สวีเดนทำการเจรจากับรัสเซียและชะลอการหาข้อยุติไว้ และในเวลาเดียวกันก็ไปเจรจาต่อรองกับแฮนโนเวอร์และอังกฤษด้วย เพื่อหวังจะให้ชาติทั้งสองหันมาเป็นพันธมิตรกับสวีเดนเพื่อถ่วงดุลกับรัสเซียและสรุปการเจรจากับรัสเซีย และหลังจากที่รัฐบาลใหม่ได้กำจัด Gortz ไปแล้ว แผนการที่จะยุติสงครามของรัฐบาลใหม่ก็ไม่ต่างไปจากแผนของ Gortz

แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ในแผนของ Gortz ยังมี Charles XII เป็นผู้บัญชาการการรบ แต่รัฐบาลใหม่ขาดพระมหากษัตริย์ที่จะมาเป็นผู้นำในการทำสงคราม แม้ว่าหาก Charles XII ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ การเจรจาดังกล่าวตามแผนเดิมของ Gortz ก็อาจจะยากลำบาก เพราะพระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะทำสงครามมากกว่าจะยอมเจรจาสันติภาพ แต่ยามที่ขาดผู้นำอย่างพระองค์ไป กองทัพสวีเดนก็ไม่น่าวิตกเกรงขามอีกต่อไปในสายตาของศัตรูต่างชาติ และในช่วงเวลาที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินการหาข้อตกลงสันติภาพที่เป็นไปตามแผนของ Gortz ผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์สวีแดนขณะนั้นคือ สมเด็จพระราชินี Ulrika Eleonora

และเมื่อรัสเซียรู้แกวแผนของสวีเดนที่จะหาทางยื้อการเจรจากับรัสเซียไปจนกว่าได้ข้อสรุปตกลงสันติภาพกับแฮนโนเวอร์ และทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ รัสเซียจึงตัดสินใจโจมตีสวีเดนโดยไม่รีรอและเดนมาร์กก็เข้าโจมตีด้วย ด้วยสวีเดนไม่มีผู้นำทัพที่สามารถและมุ่งมั่น
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น