xs
xsm
sm
md
lg

การเลือกตั้งทั่วไปไทย 2569: วิกฤตศรัทธา เงาของชาตินิยม และภัยจากสแกมเมอร์ / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 สิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะไม่ใช่เพียงการเปิดฉากการแข่งขันทางการเมืองรอบใหม่ แต่เป็นการเปิดเผยภาพสะท้อนของวิกฤตความหมายทางการเมืองที่กำลังปกคลุมสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น การยุบสภาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และภัยจากนายทุนสแกมเมอร์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสชาตินิยมและการขยายตัวของการซื้อเสียงที่อาจเปลี่ยนแปลงพลวัตของการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ


จากผลสำรวจความนิยมทางการเมืองของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2568 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ชนะที่แท้จริงในช่วงปลายปีที่ผ่านมาไม่ใช่พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง แต่คือกลุ่ม “พลังเงียบ” หรือผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและบุคคลที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขยายตัวจากร้อยละ 13.75 ในต้นปีพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 32.36 สำหรับระดับพรรคการเมือง และร้อยละ 40.60 สำหรับระดับบุคคล

ตัวเลขจากการสำรวจไม่ได้สะท้อนเพียงความไม่แน่ใจชั่วคราวหรือการลังเลในการตัดสินใจของประชาชน แต่เป็นการถอนตัวเชิงโครงสร้างออกจากกรอบการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน นี่คือการเลือกตั้งที่จะไม่ได้ถูกชี้ขาดด้วยความภักดีของฐานเสียงเดิมหรือการรักษาคะแนนนิยมที่มีอยู่ แต่จะถูกกำหนดโดยความสามารถของพรรคการเมืองและผู้นำทางการเมืองในการยึดครองพื้นที่ว่างของความเชื่อมั่น รวมถึงความสามารถในการตอบสนองต่อวิกฤตความมั่นคงและการบริหารจัดการกระแสชาตินิยมที่กำลังลอยอยู่ในสนามการเมืองไทย การวิเคราะห์นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจโครงสร้างการแข่งขันทางการเมือง จุดแข็งและจุดอ่อนของผู้เล่นหลัก ตลอดจนตัวแปรแห่งความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบของวิกฤตชายแดนที่สร้างกระแสชาตินิยม และเงินซื้อเสียงจากทุนเทาสแกมเมอร์ที่อาจส่งผลต่อผลการเลือกตั้งและความชอบธรรมของระบบประชาธิปไตยไทย

เมื่อติดตามพลวัตของคะแนนนิยมตลอดทั้งปี 2568 จะเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งขึ้นของกลุ่มพลังเงียบในช่วงปลายปีและความผันผวนของคะแนนนิยมผู้นำที่ยึดโยงกับสถานการณ์วิกฤต พรรคประชาชนซึ่งเคยมีคะแนนนิยมสูงสุดในไตรมาสที่สองที่ร้อยละ 46.08 ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาเหลือร้อยละ 33.08 ในไตรมาสที่สามและร้อยละ 25.28 ในไตรมาสที่สี่ ส่วน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิก็มีคะแนนนิยมลดลงจากร้อยละ 31.48 ในไตรมาสที่สองมาเหลือร้อยละ 22.80 ในไตรมาสที่สามและร้อยละ 17.20 ในไตรมาสที่สี่ การสูญเสียนี้เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดในฐานเสียงหลักคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยกลุ่มอายุ 18-25 ปีมีคะแนนนิยมลดจากร้อยละ 63.49 มาเหลือร้อยละ 45.72 ลดลงถึง 17.77 จุด และกลุ่มอายุ 26-35 ปีลดจากร้อยละ 53.48 มาเหลือร้อยละ 37.30 ลดลง 16.18 จุด สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือคะแนนที่หายไปนี้ไม่ได้ไหลไปหาคู่แข่งทางการเมือง แต่ไหลเข้าสู่ “กลุ่มพลังเงียบ” โดยกลุ่มอายุ 18-25 ปีที่ยังไม่ตัดสินใจพุ่งจากร้อยละ 16.78 ขึ้นไปเป็นร้อยละ 34.87 นี่แสดงว่าไม่ใช่การเปลี่ยนใจ แต่เป็นการถอนความเชื่อมั่นไปสู่ความลังเล

ในขณะเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูลและพรรคภูมิใจไทยก็ประสบกับกราฟความนิยมแบบระฆังคว่ำ คะแนนนิยมของนายอนุทินพุ่งขึ้นจากร้อยละ 2.85 ในไตรมาสแรกมาเป็นร้อยละ 20.44 ในไตรมาสที่สาม แต่กลับตกลงเหลือร้อยละ 12.32 ในไตรมาสที่สี่ จุดเปลี่ยนสำคัญคือวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งเปิดเผยจุดอ่อนในการบริหารจัดการและทำให้ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือพังทลายลง โดยเฉพาะในภาคใต้ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญ คะแนนนิยมลดจากร้อยละ 25.14 ในไตรมาสที่สามลงมาเหลือร้อยละ 15.40 ตามข้อมูลการสำรวจเฉพาะภาคใต้ในเดือนพฤศจิกายน

การสูญเสียนี้เป็นผลมาจากการที่การจัดการวิกฤตถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องโครงสร้างการสั่งการที่ซับซ้อน ความล่าช้าในการเข้าถึงพื้นที่ที่น้ำท่วมลึก และการถูกมองว่าเน้นการประชาสัมพันธ์ลงพื้นที่มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงระบบ ประสบการณ์จากวิกฤตน้ำท่วมนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญว่าการจัดการวิกฤตที่ล้มเหลวสามารถทำลายคะแนนนิยมได้อย่างรวดเร็ว และเป็นตัวบ่งชี้ว่าวิกฤตชายแดนที่กำลังดำเนินอยู่อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลในทำนองเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม วิกฤตชายแดนมีลักษณะแตกต่างจากวิกฤตน้ำท่วมอย่างมีนัยสำคัญ หากวิกฤตน้ำท่วมเป็นเรื่องของความสามารถในการบริหารจัดการภัยพิบัติ วิกฤตชายแดนกลับเป็นเรื่องของอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสชาตินิยมที่สามารถเปลี่ยนพลวัตทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว การปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาซึ่งยังคงดำเนินต่อเนื่องมากว่า 10 วัน สร้างความตึงเครียดและความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดใกล้เคียง ในเวลาเดียวกัน มันก็กระตุ้นให้เกิดกระแสอารมณ์รักชาติและต้องการให้รัฐบาลแสดงความแข็งกร้าวในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ สถานการณ์นี้เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองต่าง ๆ สามารถใช้ประเด็นความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการแข่งขันทางการเมือง และอาจเปลี่ยนแปลงสมดุลของคะแนนนิยมได้อย่างมีนัยสำคัญ

วิกฤตชายแดนและกระแสชาตินิยมที่ตามมาสร้างตัวแปรใหม่ที่ซับซ้อนในสนามการเมืองไทย ผู้นำและพรรคการเมืองแต่ละฝ่ายตอบสนองต่อวิกฤตนี้ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนทั้งจุดยืนอุดมการณ์และการคำนวณทางยุทธศาสตร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูลความมั่นคงและกลไกของรัฐ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์จากการจัดการวิกฤตน้ำท่วมที่ล้มเหลวทำให้ความน่าเชื่อถือของเขาในการจัดการวิกฤตถูกตั้งคำถาม หากการจัดการวิกฤตชายแดนล้มเหลวหรือถูกมองว่าอ่อนแอเกินไป อาจทำให้คะแนนนิยมตกต่ำลงไปอีก แต่หากสามารถจัดการได้ดีและแสดงความเด็ดขาดในการปกป้องอธิปไตย อาจฟื้นคะแนนนิยมและดึงกลุ่มพลังเงียบที่ต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งเข้ามาสนับสนุนได้

ในทางตรงกันข้าม พรรคประชาชนและนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ซึ่งมีจุดยืนเสรีนิยมเชิงสังคมและเน้นการใช้นโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาจพบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบาก กระแสชาตินิยมมักไม่เอื้ออำนวยต่อวาทกรรมเสรีนิยมที่เน้นสิทธิมนุษยชน การเจรจาทางการทูต และการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี หากพรรคประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การใช้กำลังหรือเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาผ่านกลไกสหประชาชาติหรือศาลโลก อาจถูกมองว่า “ไม่รักชาติ” หรือ “อ่อนแอ” ในสายตาของประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มีแนวโน้มชาตินิยมสูง แต่หากพรรคพยายามปรับตัวเองให้ดูแข็งกร้าวเกินไป ก็อาจสูญเสียฐานเสียงหลักที่เป็นกลุ่มเสรีนิยมและก้าวหน้า ซึ่งมองว่าชาตินิยมเป็นอุดมการณ์ที่ล้าสมัยและอันตราย ดังนั้น พรรคประชาชนจึงต้องเดินบนเส้นทางที่แคบมาก ระหว่างการปกป้องอธิปไตยของชาติโดยไม่ตกเป็นเชลยของวาทกรรมชาตินิยมที่รุนแรง

 พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ซึ่งกำลังฟื้นตัวในภาคใต้ อาจได้ประโยชน์จากกระแสชาตินิยม เพราะพรรคมีประวัติศาสตร์ในการยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของชาติและมีฐานเสียงอนุรักษนิยมที่แข็งแกร่ง นายอภิสิทธิ์เองก็มีประสบการณ์ในการจัดการกับความตึงเครียดกับกัมพูชาในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ซึ่งเขาใช้ท่าทีที่เด็ดขาดและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชาตินิยม หากพรรคประชาธิปัตย์สามารถนำเสนอตัวเองในฐานะพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการความสัมพันธ์กับกัมพูชาและมีท่าทีที่แข็งกร้าวในการปกป้องอธิปไตย อาจดึงคะแนนนิยมจากทั้งกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มพลังเงียบที่ต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ในการจัดการวิกฤตได้

ส่วน พรรคเพื่อไทยและนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์  มีฐานเสียงที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน เนื่องจากพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับภาระทางประวัติศาสตร์ที่หนักหนาในประเด็นความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเหตุการณ์ในไตรมาสที่สองของปี 2568 เมื่อคลิปการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับนายฮุนเซน ถูกเผยแพร่ในสาธารณะ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ของพรรคและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คะแนนนิยมของพรรคตกต่ำลงจากร้อยละ 28.05 ในไตรมาสแรกมาเหลือเพียงร้อยละ 11.52 ในไตรมาสที่สอง เหตุการณ์นี้ทำให้พรรคถูกตั้งคำถามถึงความภักดีต่อผลประโยชน์ของชาติและถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกัมพูชาเกินไป

สิ่งที่น่าสนใจคือวิกฤตชายแดนอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการแข่งขัน ประเด็นนโยบายเชิงโครงสร้าง การปฏิรูปประชาธิปไตย หรือการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ อาจถูกบดบังด้วยประเด็นความมั่นคงแห่งชาติและการปกป้องอธิปไตย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคที่มีฐานเสียงชาตินิยม แต่ไม่เอื้อต่อพรรคเสรีนิยมที่เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

 เมื่อพิจารณาโครงสร้างการแข่งขันอย่างลึกซึ้งในบริบทของวิกฤตชายแดน จะพบว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ เผชิญกับจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่แตกต่างกัน และวิกฤตนี้อาจทำให้จุดอ่อนบางประการรุนแรงขึ้น ในขณะที่อาจลดความสำคัญของจุดอ่อนอื่น ๆ พรรคประชาชนแม้จะเป็นผู้นำคะแนนนิยมในระดับประเทศ แต่กำลังเผชิญกับปัญหาสำคัญคือไม่สามารถเจาะกลุ่มผู้สูงอายุและเกษตรกรซึ่งเป็นฐานเสียงที่มีอัตราออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งสูง จากข้อมูลนิด้าโพลพบว่าผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปสนับสนุนพรรคประชาชนเพียงร้อยละ 15.55 และเกษตรกรสนับสนุนเพียงร้อยละ 10.51 กลุ่มเหล่านี้มักมีแนวโน้มอนุรักษนิยมและชาตินิยมสูง ดังนั้น ในบริบทของวิกฤตชายแดน พรรคประชาชนอาจพบว่าตัวเองยิ่งห่างไกลจากกลุ่มเหล่านี้มากขึ้น หากไม่สามารถนำเสนอท่าทีที่เด็ดขาดในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

นอกจากนี้ พรรคไม่มีเครือข่ายอุปถัมภ์ในพื้นที่ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเคลื่อนฐานเสียงในวันเลือกตั้งจริง ความเข้มแข็งเชิงสัญลักษณ์และอุดมการณ์ที่พรรคมีอยู่อาจไม่เพียงพอที่จะแปลงเป็นคะแนนเสียงในหีบเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการซื้อเสียงหรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม วิกฤตชายแดนอาจเปิดโอกาสให้พรรคประชาชนหากสามารถนำเสนอแนวทางทางเลือกในการจัดการวิกฤตที่สมดุลระหว่างการปกป้องอธิปไตยและการใช้กลไกระหว่างประเทศ อาจดึงกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มการศึกษาสูงที่ไม่ต้องการเห็นการใช้กำลังทหารแก้ปัญหา และมองหาผู้นำที่สามารถจัดการวิกฤตด้วยสติปัญญามากกว่ากำลัง

ในทางตรงกันข้าม พรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรมมีจุดแข็งที่แตกต่างออกไปคือเครือข่ายนักการเมืองบ้านใหญ่ที่ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีระบบการจัดตั้งเชิงอุปถัมภ์ในพื้นที่ที่เข้มแข็ง และมีพลังในการระดมทุนจากแหล่งสนับสนุนต่าง ๆ และอาจรวมถึงกลุ่มทุนที่อาจมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจในเขตสีเทา พรรคเหล่านี้สามารถเคลื่อนฐานเสียงในระดับเขตได้ดีกว่า แม้จะมีคะแนนนิยมในระดับประเทศต่ำกว่า วิกฤตชายแดนอาจเสริมจุดแข็งนี้ เพราะกระแสชาตินิยมมักเอื้อต่อการระดมฐานเสียงผ่านเครือข่ายท้องถิ่นและการใช้วาทกรรมการปกป้องชาติ นักการเมืองท้องถิ่นสามารถใช้ประเด็นความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการระดมฐานเสียงได้ง่ายกว่าการอธิบายนโยบายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะพรรคกล้าธรรมที่แม้จะมีคะแนนนิยมต่ำมาก แต่มีการจัดตั้งเครือข่ายหัวคะแนนเข้มแข็งในหลายพื้นที่ของภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้ อาจใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ในการเปลี่ยนผลในระดับเขตได้

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้คือการคาดการณ์ว่าจะมีการซื้อเสียงของพรรคการเมืองแบบบ้านใหญ่จำนวนมาก และอาจมีเงินทุนจากกลุ่มทุนเทาสแกมเมอร์มาให้การสนับสนุนนักการเมืองในสังกัดพรรคเหล่านั้น คำว่า  “การเมืองสแกมเมอร์” ในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการซื้อเสียงหรือการทุจริตเลือกตั้งในความหมายแบบเก่า แต่เป็นระบบนิเวศน์ใหม่ของการเมืองเชิงสกัดกั้นที่ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่เชื่อมโยงกัน องค์ประกอบแรกคือกลุ่มทุนที่สร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจในเขตสีเทา เช่น กาสิโนออนไลน์ การพนัน หรือธุรกิจที่อยู่ในเขตกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ต้องการซื้อความชอบธรรมทางการเมืองและการคุ้มครองจากรัฐ องค์ประกอบที่สองคือนักการเมืองบ้านใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางแปลงอำนาจเชิงอุปถัมภ์ในพื้นที่เป็นคะแนนเสียง องค์ประกอบที่สามคือระบบซื้อเสียงที่ซับซ้อนและหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่เงินสดแจกตรง ๆ แต่อาจเป็นการแจกจ่ายผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สินเชื่อเกษตรกร โครงการพัฒนาชุมชน ตำแหน่งงาน หรือสัญญาธุรกิจ

 แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือวิกฤตชายแดนและกระแสชาตินิยมอาจสร้าง “พันธมิตรที่อันตราย” กับการเมืองแบบสแกมเมอร์ กระแสชาตินิยมสามารถถูกใช้เป็นหน้ากากปกปิดการทุจริตและการซื้อเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อประชาชนถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์รักชาติและความกลัวต่อภัยคุกคามจากต่างชาติ พวกเขาอาจมองข้ามการทุจริตของนักการเมืองที่นำเสนอตัวเองในฐานะ "ผู้ปกป้องชาติ" วาทกรรมชาตินิยมสามารถถูกใช้เพื่อปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยอ้างว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือนักการเมืองในช่วงวิกฤตคือการ “ทำร้ายชาติ” หรือ “เป็นสายของต่างชาติ” ซึ่งทำให้การตรวจสอบการทุจริตและการซื้อเสียงทำได้ยากขึ้น

ระบบการเมืองแบบสแกมเมอร์ที่รวมตัวกับกระแสชาตินิยมจึงสร้างความเสี่ยงร้ายแรงต่อความหมายของการเลือกตั้งและความชอบธรรมของระบบประชาธิปไตย เมื่อการเลือกตั้งถูกครอบงำโดยเงินและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมชาตินิยม ความหมายของการเลือกตั้งจะเปลี่ยนจาก "การเลือกตัวแทนที่ดีที่สุด" กลายเป็น "การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชน" ที่ถูกครอบคลุมด้วยธงชาติและวาทกรรมการปกป้องอธิปไตย

รัฐบาลที่เกิดจากการเลือกตั้งแบบนี้จะอ่อนแอและขายได้ เพราะนักการเมืองมีหนี้บุญคุณกับกลุ่มทุนที่สนับสนุน จึงต้องตอบแทนด้วยนโยบายและสัมปทานที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประชาชนค่อย ๆ ตระหนักว่าการเลือกตั้งที่ถูกครอบคลุมด้วยวาทกรรมชาตินิยมเป็นเพียงเกมการเงินที่ผลลัพธ์ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจทุน ศรัทธาในระบบประชาธิปไตยจะถูกทำลายลงอย่างถาวรและรุนแรงกว่าเดิม เพราะประชาชนจะรู้สึกถูกหลอกทั้งในเชิงอารมณ์ (ถูกใช้กระแสชาตินิยม) และในเชิงเหตุผล (ถูกซื้อเสียง) ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายตัวของกลุ่มพลังเงียบที่ถอนตัวออกจากระบบการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมของระบบประชาธิปไตยในระยะยาว

หากการเลือกตั้งถูกครอบงำโดยเงินซื้อเสียงที่ห่อหุ้มด้วยวาทกรรมชาตินิยม ผลที่ตามมาจะไม่ใช่เพียงรัฐบาลที่อ่อนแอหรือการทุจริตคอร์รัปชันที่สูงขึ้น แต่คือการทำลายศรัทธาครั้งสุดท้ายที่ประชาชนมีต่อระบบประชาธิปไตย ในยุคที่ความเชื่อมั่นกลายเป็นสินค้าหายากและชาตินิยมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ผู้ที่สามารถสร้างความหมายให้กับการเลือกตั้งได้อีกครั้งโดยไม่ตกเป็นเชลยของวาทกรรมชาตินิยมหรือเงินซื้อเสียง จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การเมืองไทยและช่วยกอบกู้ประชาธิปไตยไทยจากหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา

 การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแข่งขันระหว่างพรรคหรือผู้นำทางการเมือง แต่เป็นการทดสอบระบบประชาธิปไตยไทยในหลายมิติพร้อมกัน ทั้งการต่อสู้กับการเมืองแบบสแกมเมอร์ การจัดการกับกระแสชาตินิยมที่ถูกกระตุ้นจากวิกฤตชายแดน และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น