ประเทศไทยได้เป็นม้าอารีในนิทานอีสปที่ได้อ้าแขนรับผู้อพยพจากภัยสงครามเขมรเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว คนไทยที่อายุเกิน 50 ปีจะจำภาพค่ายผู้อพยพเขมรที่เดินเท้าเปล่าโดยไม่มีสัมภาระติดตัวมา เพราะเขมรแดงได้ยึดทรัพย์สินของชาวเขมรไว้หมด และบังคับใช้แรงงานของชาวกรุงให้ไปทำนาในชนบท...แม้แต่ชาวเขมรที่สวมแว่นตา ก็ยิ่งจะถูกบังคับให้ถอดแว่นสายตา โดยกล่าวหาว่าเป็นปัญญาชน และจะต้องมาร่วมชะตากรรมกับเหล่าชาวนาในชนบท ต่อมาเกิดสู้รบของเขมร 3 ฝ่าย โดยเฉพาะคือฝ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ซึ่งภัยจากการสู้รบนี้ทำให้ชาวเขมรหนีระเบิดเดินทางเข้ามาในดินแดนของไทยเพื่อเอาชีวิตรอด
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย (ขณะนั้น)...(ซึ่งต่อมาทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง)...ได้ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้สภากาชาดไทยได้ดูแลชาวเขมรอพยพเหล่านี้ ซึ่งต้องการทั้งอาหาร, น้ำ, ยารักษาโรค, เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งที่พักอาศัยที่จะต้องมีน้ำสะอาดสำหรับกินใช้ในชีวิตประจำวัน...โดยสมเด็จองค์สภานายิกา ได้เสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พร้อมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เพื่อไปทรงดูแลความเป็นอยู่ของชาวเขมรที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น...บนผืนแผ่นดินไทย...ที่มีการขุดสระน้ำใหญ่บนผืนแผ่นดินไทยเพื่อนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอกับผู้อพยพจำนวนเป็นแสนๆ คน...ท่ามกลางเสียงระเบิดจากการสู้รบที่ยังได้ยินอยู่ใกล้กับค่ายผู้อพยพ
ได้รับทราบมาว่า ชาวเขมรอพยพหนีภัยสงครามเหล่านี้ ได้มีการทยอยคัดกรองเดินทางไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป รวมทั้งออสเตรเลีย โดยมีการจัดทำบัญชีส่งต่อผู้อพยพเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ต้องการทั้งแรงงาน รวมทั้งนักวิชาชีพปัญญาชนที่อาศัยอยู่ในค่ายด้วย
สำหรับผู้อพยพเขมรที่เดินทางมายังค่ายในแผ่นดินไทย ในชุดหลังๆ ที่สงครามในเขมรได้มีการเจรจา และต่อมาได้ปิดค่ายลง...แต่ก็ยังมีเขมรอพยพที่หลงเหลือหลังสงครามที่ยังไม่ได้เดินทางไปประเทศที่ 3 นี้แหละ ที่ถือโอกาสปักหลักอยู่ในผืนแผ่นดินไทย และได้เข้ายึดครองที่นาของคนไทยที่ยังถือครองเอกสารสิทธิอย่างสมบูรณ์ แต่ไม่สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวพืชผลเกษตรของปู่ย่าตาทวดที่ได้ปลูกเอาไว้
เรื่องการที่ประเทศไทยได้ยอมอนุญาตให้มีการเปิดรับค่ายผู้อพยพเขมร น่าจะต้องมีเอกสารติดต่ออย่างเป็นทางการ (ที่จะใช้อ้างอิงได้เป็นอย่างดี) ระหว่างทางการของไทยและองค์การสหประชาชาติ-ซึ่งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในการเปิดค่ายผู้อพยพ-รวมทั้งองค์การสภากาชาดสากลที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพกับสภากาชาดไทย ในการดูแลค่ายเขมรอพยพนี้ เป็นเวลานานหลายปีกว่าสงครามจะยุติลง
ที่น่าพิศวงก็คือ ประเทศเขมรภายใต้การบริหารของทรราชฮุนเซนตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ได้แอบอ้างและตีขลุมอย่างอันธพาลว่า ดินแดนของไทยที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายผู้อพยพหนีสงครามนี้ เป็นดินแดนของเขมรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
จนคุณวีระ สมความคิด และเพื่อนอีกสองคนได้รับการร้องเรียนจากคนไทยที่ถือใบกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตค่ายผู้อพยพ เพื่อพาคนไทยเหล่านี้จะเข้าไปเพาะปลูกในที่ดินของตน แต่ถูกทหารเขมรขับไล่ถึงกับจับคุณวีระไปเข้าคุก
และมีนักการเมืองไทยระดับรองนายกฯ และรมต.มหาดไทยของไทยขณะนั้น ออกมาแถลงต่อหน้าทีวีว่า ดินแดนที่คนไทยฟ้องคุณวีระว่าเป็นดินแดนของไทยนั้น ที่แท้เป็นดินแดนของเขมร...และยังอ้างว่า สมัยผมเป็นนายร้อยใหม่ๆ ก็ได้เดินสำรวจบริเวณเหล่านี้ซึ่งเป็นดินแดนของเขมรทั้งหมด!! ซึ่งคำพูดเหล่านี้อัยการเขมรได้ใช้เป็นหลักฐานมัดความผิดคุณวีระและพวกให้ติดคุกหัวโตอยู่ในคุกสกปรกของเขมรอยู่ถึง 3 ปี!! เพราะคุณวีระไม่ยอม (ตามคำขอร้องเกลี้ยกล่อมของทูตไทยประจำเขมรขณะนั้น ให้ลงนามรับสารภาพว่า ได้บุกไปในดินแดนเขมร...ก็จะปล่อยตัวกลับ)
40 ปีภายใต้ทรราชฮุนเซน ได้มีการคอร์รัปชันกับเงินช่วยเหลือฟื้นฟูเขมรที่ส่งมาจากทั้งยุโรป, สหรัฐฯ เป็นต้น โดยทรราชฮุนเซนได้ปล้นความมั่งคั่งของชาติไปจากประชาชนส่วนใหญ่ของเขมร ที่ต้องทำงานหนักในโรงงานด้วยค่าแรงและสวัสดิการที่เลวร้าย จากการลงทุนของต่างชาติที่มาเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า, รองเท้า รวมทั้งการขุดเหมืองแร่ธาตุและอัญมณีล้ำค่าของเขมร
ถ้าทรราชฮุนเซนไม่ได้ปล้นความมั่งคั่งของชาติไปจากประชาชน (เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่ครอบครัวตนเอง จนมีสนามกอล์ฟในบ้านที่กว้างขวางเป็นสิบๆ ไร่ และมีสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกด้วยซ้ำ) พี่น้องชาวเขมรคงไม่ต้องเดินทางมาทำงานที่ไทยเป็นหลายล้านคน รวมทั้งขอทานเขมรที่เพ่นพ่านอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ของไทย
ไม่เพียงปล้นความมั่งคั่งจากเพื่อนร่วมชาติชาวเขมร แต่ยังสมคบและสนับสนุนการสร้างนิคมทุนเทาชาวจีน (ที่ประเทศจีนไม่ต้องการ) มาสร้างศูนย์ต้มตุ๋นหลอกลวงคนทั้งโลก (Scammer) โดยหลอกเหล่าผู้คนหนุ่มสาวว่ามีงานดีๆ รออยู่ จนขนาดดาราดังๆ ของจีนยังตกหลุมการโกหกหลอกลวง-มาถูกจับเป็นทาสระทมทุกข์ทรมานทำงานวันละ 18 ชม.ในการหลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนร่วมชาติเดียวกับตนที่อาศัยอยู่ทั้งในยุโรป, สหรัฐฯ แทบทุกประเทศที่เป็นเหยื่อการต้มตุ๋นหลอกลวงเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ รวมทั้งประเทศไทย
ทรราชฮุนเซนได้รับการจัดอันดับจาก International Crisis Group เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า เป็นทรราชที่คดโกงประชาชนบางตน และปราบปรามทั้งสื่อมวลชนและฝ่ายค้านอย่างรุนแรง ขนาดตามมาฆ่าผู้นำฝ่ายค้านที่หน้าวัดบวรฯ บางลำพู เมื่อไม่นานมานี้ก็ยังมี
รายได้มหาศาลเกือบล้านล้านดอลลาร์ (ต่อปี) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (Scammer เพิ่งเกิดเมื่อ 10 ปีนี้เอง จากคบเพื่อนฝูงความเฟื่องฟูของอินเทอร์เน็ต และ AI) กำลังพิทักษ์ระบอบทรราชฮุนเซนเอาไว้อย่างแข็งขัน ขนาดจ่ายให้ล็อบบี้ยิสต์ล้อมรอบปธน.ทรัมป์ และคณะกรรมาธิการทหาร และคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสหรัฐฯ (และน่าจะมีอยู่ในอีกหลายๆ ประเทศ) ที่กำลังตาโตกับสัมปทาน ทั้งน้ำมันในอ่าวไทยที่จะปล้นจากไทย และจากเหมืองแร่ธาตุหายาก
รัฐสภาอเมริกันรวมทั้งปธน.สหรัฐฯ (โดยเฉพาะที่ไม่ใช่จากเดโมแครต) กำลังเปลี่ยนจุดยืนและท่าทีต่อทรราชฮุนเซน ซึ่งเดิมเคยประณามความเป็นเผด็จการของทรราชฮุนเซน...แต่วันนี้เมื่อสหรัฐฯ ต้องการเข้ามาปิดล้อมจีนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังบ้านของจีนที่เคยหมอบราบให้แก่จีน...ขนาดทรัมป์พูดเอาใจทรราชฮุนเซนว่า จะเพิ่มโควตามากขึ้นให้แก่นักเรียนนายร้อยของเขมรที่จะเข้าเรียนที่เวสต์พอยต์
ปธน.ทรัมป์กำลังหันมาจับมือกับทรราชฮุนเซน เหมือนเจาะไข่แดงของจีนในอาเซียน
ที่น่าเสียดายคือ ทางการไทยในหลายหน่วยงานไม่ได้ใช้ประเด็นการเป็นทรราชของตระกูลฮุนเซน หรือระบอบทรราชฮุนเซนเพื่อชี้แจงกับทั้งโลกถึงความโกหกมดเท็จสร้าง Fake News ต่อกองทัพไทยว่าเป็นฝ่ายรุกรานดินแดนเขมรในสงครามข่าวสาร... เพราะระบอบทรราชฮุนเซนคือศูนย์กลางการโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นที่ใหญ่สุดของโลก และต้มตุ๋นทั้งเพื่อนร่วมชาติไทยให้สิ้นเนื้อประดาตัว พอๆ กับคนอเมริกันที่ถูกหลอกลวง (ส่วนใหญ่คือผู้สูงอายุที่มีเงินเก็บก้อนสุดท้ายหลังเกษียณ) และคนญี่ปุ่น, คนจีน, คนเกาหลี, คนสิงคโปร์, คนแอฟริกัน, คนยุโรป และแทบทั้งโลกที่ถูกต้มตุ๋นแหกตาโกหกหลอกลวงจากศูนย์
อาชญากรรมข้ามชาติของทรราชฮุนเซนนี้แหละ


