ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เมื่อ ค.ศ.2000 อันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษนั้น ชาวโลกตื่นเต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านในปีดังกล่าวพอควร ว่าจะเกิดอะไรกับการทำงานของสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ เพราะเป็นการเปลี่ยนตัวเลขของปีคริสต์ศักราชที่อาจกระทบต่อโปรแกรมที่ตั้งเอาไว้ แต่การเปลี่ยนผ่านก็เป็นไปด้วยดี มนุษย์สามารถใช้ชีวิตเหมือนปีที่ผ่านๆ มาโดยไม่มีเกิดขึ้นเป็นพิเศษ
แต่โดยส่วนตัวแล้วปีดังกล่าวกลับมาความหมายอย่างมาก เพราะในต้นปีนั้นได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนภูมิลำเนาเดิมของพ่อที่เมืองจีน และได้รับการต้อนรับจากเครือญาติเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งๆ ที่เราต่างไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน จะมีก็แต่จดหมายหนึ่งฉบับและรูปถ่ายอีกไม่กี่แผ่น ที่พอจะเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นญาติได้
การต้อนรับของเครือญาติฝ่ายพ่อนับว่าเอิกเกริกอย่างมาก และชวนให้รู้สึกพิศวงระคนตื่นเต้นอย่างประหลาด เพราะคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ไม่เคยแม้แต่สนทนาพูดคุยหรือติดต่อใดๆ ตั้งแต่สิ้นพ่อไป แต่กลับรู้สึกสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจกัน เขาจะพาไปกินไปนอนที่ไหนอย่างไรก็ให้เขาพาไป
จนอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า นี่ถ้าเขาเป็นมิจฉาชีพแล้วจะเชือดเราระหว่างที่นอนหลับในบ้านของเขา เราก็คงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เขาเชือดไป แต่ก็เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจว่านั่นคือญาติที่มีสายเลือดเดียวกัน เราจึงกินอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหมีพีมัน และนอนหลับสนิทดิ่งลึกแล้วตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นทุกวันที่อยู่กับญาติเหล่านี้
แต่การไปเยี่ยมญาติในครั้งนั้นเองที่ทางญาติได้นำเอาปูมแซ่ของตระกูลมาให้ดู ปูมนี้ถูกบันทึกบนกระดาษแผ่นบางๆ ที่เย็บเป็นเล่ม แล้วบันทึกด้วยพู่กันจีนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและงดงาม เพียงแต่ตัวเล่มจะเป็นรอยม้วนไม่แผ่เรียบราบดังหนังสือปกติ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะญาติต้องม้วนบันทึกนี้เอาไปซ่อนไว้ มิให้ถูกทำลายจากคนภายนอกที่กำลังคลุ้มคลั่งการเมืองอย่างหนัก จนพร้อมที่จะทำลายอะไรก็ตามที่มิใช่คอมมิวนิสต์เมื่อหลายสิบปีก่อน
แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปนานแล้ว แต่ญาติก็ยังไม่ไว้วางใจ และทำให้ต้องเก็บเอกสารบันทึกนี้เอาไว้ โดยที่ตัวเอกสารเองก็มีความเปราะบางต่อความปลอดภัย เพราะเอกสารนี้ใช่จะเป็นกระดาษที่เบาบางเท่านั้น หากยังเหลืออยู่เพียงเล่มเดียว ในขณะที่เล่มอื่นที่มีการคัดลอกกันมาล้วนถูกเผาทำลายไปสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการในปัจจุบัน ทางญาติได้นำเอกสารนี้ไปจัดพิมพ์ในระบบการพิมพ์สมัยใหม่ จากนั้นก็ถ่ายสำเนาให้กับเครือญาติคนใดก็ตาม ที่ต้องการเก็บเอกสารนี้เอาไว้เป็นการส่วนตัวในครอบครัวของตน แน่นอนว่า เมื่อได้รู้ได้เห็นเช่นนี้แล้วจึงไม่รอช้าที่ให้ทางญาติถ่ายสำเนามาให้ด้วยหนึ่งฉบับ ครั้นกลับมาเมืองไทยก็นำสำเนานั้นมาถ่ายซ้ำเพื่อแจกให้แก่เครือญาติทางฝั่งไทยอีกด้วย
การได้ปูมแซ่ของตระกูลฝ่ายพ่อมาในครั้งนั้น นับว่ามีความหมายสำหรับปีที่เปลี่ยนผ่านไปสู่สหัสวรรษใหม่อย่างมาก เพราะเป็นปีที่ทำให้ประวัติความเป็นมาของวงศ์ตระกูลตกมาถึงมือของเรา จะเหลือก็แต่เพียงศึกษาเพื่อให้รู้ว่ารากเหง้าของตัวเองคือใคร เป็นใครมาจากไหน หรือมีใครอีกบ้างที่เป็นญาติกับเราที่เรายังไม่รู้
สิ่งที่จะบอกเล่าในบทความขนาดยาวนี้ก็คือ บางเรื่องเกี่ยวกับแซ่ของคนจีน จากนั้นก็จะขมวดเรื่องให้เข้ามายังแซ่ของตัวเอง ว่ามีวิธีการบันทึกอย่างไร นับญาติกันอย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร เรื่องที่ขมวดนี้จึงเป็นกรณีศึกษาให้แก่ลูกหลานจีนในไทยเท่านั้น เพื่อให้รู้ว่าเขาทำกันอย่างนี้ มิได้มีเจตนาจะอวดเรื่องราวของตัวเองแต่อย่างไร
เพราะเอาเข้าจริงแล้วจะเห็นได้เองว่า เรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องพื้นๆ มิได้ยิ่งใหญ่หรือสลักสำคัญแต่อย่างไร เป็นเรื่องราวที่อิงกับบุคคลในปกรณัมความเชื่อของชาวจีนมาช้านาน ใช่แต่กับวงศ์ตระกูลของตัวเองเท่านั้น
บางเรื่องเกี่ยวกับแซ่และชื่อของคนจีน
ที่ต้องระบุว่า “บางเรื่อง” ในหัวข้อนี้ก็เพราะว่า เรื่องอันเกี่ยวกับแซ่และชื่อของคนจีนในเอกสารภาษาไทยได้มีผู้เขียนและผู้แปลเอาไว้ดีแล้ว ผู้ที่สนใจเรื่องนี้สามารถอ่านได้จากหนังสือสองเล่มนี้คือ
ถาวร สิกขโกศล. ชื่อแซ่และระบบตระกูลแซ่: อัตลักษณ์สำคัญเบื้องต้นของคนจีน.
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2559.
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์เอเชียแพ็ค เรียบเรียง. ต้นกำเนิดชื่อแซ่จีน. สิวิณี เตรียม
ชาญชูชัย แปล. สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2553.
โดยบางเรื่องที่จะอธิบายความต่อไปนี้ก็นำข้อมูลจากงานสองชิ้นนี้มาใช้ และเป็นการใช้เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่บทความนี้ตั้งใจจะนำเสนอเท่านั้น
เริ่มจากคำว่า แซ่ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี คำคำนี้เป็นคำในภาษาจีนถิ่นแต้จิ๋ว จีนกลางจะออกเสียงว่า ซิ่ง (姓) จากเท่าที่มีการสืบค้นจากผู้รู้ยังไม่พบว่าคำนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าเป็นคำที่ถูกใช้เรียกขานบุคคลในยุคตำนานของจีน อันเป็นยุคที่ไม่มีหลักฐานระบุได้แน่ชัดว่าบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่ชาวจีนก็เชื่อว่ามีอยู่จริงมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว
เมื่อเป็นบุคคลในยุคตำนานและไม่มีหลักฐานยืนยันถึงความมีอยู่จริง บุคคลเหล่านี้จึงมิได้มีคนเดียว หากแต่มีอยู่มากมายหลายคน แต่ละคนล้วนมีคุณูปการต่อสังคมจีนในด้านต่างๆ เช่น สอนให้คนจีนรู้จักทำการเกษตร รู้จักจับปลา รู้จักสมุนไพร รู้จักการสร้างที่อยู่อาศัย หรือรู้จักการจุดไฟ เป็นต้น
การมีเรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ในสังคมจีนนี้โดยที่ไม่มีหลักฐานอันใดนี้ ในด้านหนึ่งจึงเป็นไปเพื่อตอบคำถามที่ว่า คนจีนรู้จักดำรงชีวิตได้อย่างไร และด้วยคุณูปการดังกล่าว บุคคลเหล่านี้จึงถูกยกย่องให้มีฐานะเสมือนเทพผู้บันดาล และได้รับความเคารพนับถือจากชาวจีนมานานหลายพันปี
ยิ่งบางแห่งหากตำนานเล่าว่าเป็นถิ่นกำเนิดของบุคคลเหล่านี้ด้วยแล้ว ชาวจีนก็จะสร้างรูปเคารพตั้งไว้ในอนุสรณ์สถานเพื่อกราบไหว้บูชาจนทุกวันนี้ก็มี
บุคคลเหล่านี้เองที่เป็นที่มาของแซ่ของชาวจีน ส่วนใครมีแซ่ใดก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดก็จะมีแซ่นั้น โดยที่ควรกล่าวด้วยว่า พอเมื่อเวลาผ่านไป การเชื่อมโยงนี้ยังมีการคลี่คลายขยายตัวออกไปยังแซ่อื่นๆ อีกด้วย เป็นเหตุให้เกิดแซ่ใหม่ๆ ตามมา ส่วนจะมีแซ่ใดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมหนึ่งๆ แตกต่างกันไป
จนปัจจุบันนี้แซ่ของคนจีนจึงมีอยู่หลายพันแซ่ แต่ละแซ่ล้วนที่ความเป็นมา แซ่ที่เก่าแก่จะมีอายุหลายพันปี บางแซ่ก็มีอายุนับพันปีหรือหลายร้อยปี แต่ไม่ว่าจะมีอายุเพียงใด ทุกแซ่ต่างก็ล้วนอ้างอิงบรรพชนที่เป็นต้นธารของแซ่ทั้งสิ้น
ซึ่งก็คือ อ้างว่ามีความเกี่ยวพันกับบุคคลใดในยุคตำนาน ยิ่งหากบุคคลนั้นถูกยกให้เป็นเทพด้วยแล้ว ผู้ที่อ้างก็จะเท่ากับมีความเกี่ยวพันกับเทพไปด้วย
พูดง่ายๆ แต่ฟังดูเท่ๆ ก็คือ เป็นตระกูลเทพ


