xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สงครามในนามของสิ่งใด: ถอดรหัสเหตุผลและอุดมการณ์ที่ทำให้มนุษย์ผลิตและยอมรับสงคราม / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 สงครามเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองที่ฝังรากลึกที่สุดและดำรงอยู่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้โลกสมัยใหม่จะอวดอ้างถึงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พัฒนาเครื่องมือการทูตที่ซับซ้อน และสร้างสถาบันกฎหมายระหว่างประเทศขึ้นมากมาย แต่สงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกทวีป ทุกศตวรรษ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกลไกสังคมที่ไม่เคยถูกถอดรื้ออย่างแท้จริง หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่า ไม่สามารถถูกถอดรื้อได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจที่ทำให้สังคมมนุษย์ดำเนินไปได้


คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า มนุษย์ทำสงครามได้อย่างไร หรือด้วยเทคโนโลยีใด แต่คือ มนุษย์ทำสงครามในนามของสิ่งใด ด้วยเหตุผลใด และกลไกใดที่ทำให้ความรุนแรงระดับมหภาคเช่นนี้ได้รับการยอมรับ ได้รับความชอบธรรม และถูกทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละยุคสมัย นี่คือคำถามที่ต้องการคำตอบที่ซับซ้อนกว่าการอ้างถึงสัญชาตญาณความรุนแรงของมนุษย์เพียงอย่างเดียว เพราะหากสงครามเป็นเพียงเรื่องของสัญชาตญาณ คงไม่ต้องการเหตุผล ไม่ต้องการการสร้างความชอบธรรม และไม่ต้องการระบบอุดมการณ์ที่ซับซ้อนเพื่อค้ำจุน

บทความนี้มุ่งอธิบายชุดเหตุผลและกลไกทางอุดมการณ์ที่ผลักดันให้มนุษย์ทำสงคราม โดยใช้กรอบวิเคราะห์แบบหลายมิติที่ผสมผสานระหว่างมุมมองเชิงโครงสร้าง เชิงอุดมการณ์ เชิงจิตวิทยา และเชิงวาทกรรม มาประกอบการวิเคราะห์ เพื่อทำให้เห็นว่า “สงคราม” ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้าหรือการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลผลิตของระบบการผลิตความหมาย การสร้างความจริง และการจัดวางอำนาจในสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบและซับซ้อน

 1. มิติโครงสร้าง: ระบบรัฐชาติ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านความมั่นคง และตรรกะของอำนาจ

โลกสมัยใหม่ตั้งแต่สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย ในปี ค.ศ. 1648 ถูกครอบงำและจัดระเบียบด้วยระบบรัฐชาติ ที่กำหนดให้รัฐแต่ละรัฐเป็นหน่วยอธิปไตยที่มีสิทธิผูกขาดการใช้กำลังที่ชอบด้วยกฎหมายภายในดินแดนของตน ระบบนี้ไม่มีอำนาจสูงสุดระดับโลก ที่สามารถบังคับใช้กฎเกณฑ์ได้อย่างแท้จริง ผลที่ตามมาคือสภาพของ “อนาธิปไตย” ในความหมายทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้หมายถึงความวุ่นวาย แต่หมายถึงการขาดอำนาจกลางที่คอยกำกับและคุ้มครอง ภายใต้ตรรกะของสัจนิยม (realism) รัฐทำสงครามเพราะต้องรักษาอำนาจและความอยู่รอดของตนในระบบที่ไร้ผู้พิทักษ์ รัฐแต่ละรัฐต้องพึ่งพาตนเองในการรักษาความมั่นคง และเมื่อไม่มีใครรับประกันว่ารัฐอื่นจะไม่โจมตี การเตรียมพร้อมทางทหารจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ารัฐนั้นจะไม่มีเจตนาร้ายต่อใครก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างเช่นนี้คือ “ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านความมั่นคง” ซึ่งหมายความว่า เมื่อรัฐหนึ่งเพิ่มขีดความสามารถทางทหารเพื่อป้องกันตนเอง รัฐอื่นที่เห็นการกระทำนี้จะตีความว่าเป็นภัยคุกคาม และตอบโต้ด้วยการเพิ่มกำลังทหารของตนเช่นกัน ผลสุดท้ายคือทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าเจตนาเริ่มต้นของทั้งสองฝ่ายจะเป็นเพียงการป้องกันตนเอง วงจรนี้สามารถนำไปสู่สงครามได้โดยที่ไม่มีฝ่ายใดต้องการสงครามอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ การครอบครองทรัพยากรยุทธศาสตร์ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งพลังงานเช่น น้ำมัน แหล่งน้ำจืด แร่ธาตุหายาก ช่องแคบทางทะเลที่เป็นเส้นทางการค้าสำคัญ หรือพื้นที่ชายแดนที่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่กันชน ทรัพยากรเหล่านี้ไม่เพียงมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นองค์ประกอบของอำนาจเชิงโครงสร้างที่กำหนดตำแหน่งของรัฐในระบบโลก การควบคุมทรัพยากรเหล่านี้จึงกลายเป็นเป้าหมายที่รัฐพร้อมจะใช้กำลังเพื่อให้ได้มา

สงครามในกรอบโครงสร้างนี้จึงถูกมองว่า “จำเป็น” หรือ “ไม่อาจหลีกเลี่ยง” แม้ว่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประชาชนและเศรษฐกิจก็ตาม เพราะมันถูกนำเสนอในฐานะเป็นเงื่อนไขของการอยู่รอดในโลกที่ไร้ผู้พิทักษ์ นี่คือตรรกะที่ทำให้สงครามดูเหมือนเป็น “ธรรมชาติ” ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แม้ว่าความจริงแล้วมันเป็นผลผลิตของระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง

 2. มิติเศรษฐกิจ: ทุนนิยม ผลประโยชน์ และสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวาทกรรมความมั่นคง

หากมิติโครงสร้างอธิบายว่าทำไมรัฐจึงต้องเตรียมพร้อมทำสงคราม มิติเศรษฐกิจจะอธิบายว่าใครได้ประโยชน์จากสงคราม และเหตุใดสงครามจึงไม่เคยหายไปแม้จะมีราคาแพง สงครามสามารถถูกอธิบายผ่านกรอบของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่าสูง การเปิดตลาดใหม่สำหรับสินค้าและการลงทุน หรือการขยายพื้นที่ผลิตและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมของยุโรปเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้สงครามเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยตรง ส่วนในยุคร่วมสมัย ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีน้ำมันเป็นตัวแปรสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ แม้จะถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หรือการต่อต้านการก่อการร้าย

ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ของ ซี ไรท์ มิลส์ ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของ “ชนชั้นนำทางอำนาจ” อันได้แก่ นักการเมือง ผู้นำทางทหาร และนายทุนอุตสาหกรรมการทหาร ในการสร้างระบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเกื้อกูลกันในสิ่งที่เรียกว่า “อุตสาหกรรมสงคราม” ระบบนี้ทำให้สงครามกลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีคนจำนวนหนึ่งได้กำไรมหาศาลจากการขายอาวุธ การให้บริการทางทหาร การก่อสร้างและฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม และการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ที่ถูกทำลาย

เมื่อสงครามกลายเป็นตลาดที่ทำกำไรได้สูง มีผู้มีอิทธิพลที่มีผลประโยชน์ในการดำรงสงครามให้ยืดเยื้อหรือสร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา เหตุผลทางเศรษฐกิจจึงซ้อนทับกับเหตุผลทางการเมืองอย่างแยกไม่ออก และที่สำคัญ กลุ่มอำนาจเหล่านี้มีความสามารถในการผลิตวาทกรรมและควบคุมสื่อเพื่อชี้นำความคิดของสาธารณชนให้เห็นว่าสงครามนั้น “จำเป็น” หรือ “ชอบธรรม” แม้ว่าเบื้องหลังจะมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเป็นหลักก็ตาม

 3. มิติอุดมการณ์: เมื่อสงครามถูกทำให้สูงส่งด้วยศาสนา ชาติ และอุดมคติ

หากมิติโครงสร้างและเศรษฐกิจอธิบายว่าทำไมรัฐและกลุ่มอำนาจต้องการสงคราม มิติอุดมการณ์จะอธิบายว่าทำไมประชาชนธรรมดาจึงยอมสู้ยอมตายในสงครามที่พวกเขาอาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง

มนุษย์ทำสงครามในนามของสิ่งที่ถือว่า “สูงส่ง” หรือ “ศักดิ์สิทธิ์” เช่น ศาสนา ชาติ เกียรติยศ เสรีภาพ หรืออุดมการณ์ทางการเมือง เพราะอุดมการณ์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ความชอบธรรมกับความรุนแรง พวกมันแปลงการฆ่าฟันซึ่งกันและกันให้กลายเป็น “การเสียสละ-การต่อสู้เพื่อความถูกต้องหรือหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์”

ตัวอย่างในประวัติศาสตร์มีมากมาย สงครามครูเสดในยุคกลางถูกดำเนินในนามของศาสนาและการกอบกู้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การล่าอาณานิคมของยุโรปในศตวรรษที่ 19 ถูกทำให้ชอบธรรมด้วยวาทกรรมเรื่อง “ภารกิจแห่งอารยธรรม” ที่อ้างว่าเป็นการนำความเจริญและศาสนาคริสต์ไปให้ชนชาติที่ “ล้าหลัง” สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถูกต่อสู้ในนามของเกียรติยศของชาติ สงครามโลกครั้งที่สองถูกนำเสนอเป็นการต่อสู้ระหว่างอารยธรรมกับความป่าเถื่อน และสงครามเย็นถูกทำให้เป็นการต่อสู้ระหว่างเสรีภาพกับเผด็จการ ระหว่างประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์

ลัทธิชาติพันธุ์นิยมเป็นตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดในยุคสมัยใหม่ ที่สร้างเส้นแบ่ง “พวกเรา–พวกเขา” (us versus them) อย่างชัดเจน ทำให้สมาชิกของชาติรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีอัตลักษณ์ร่วม มีประวัติศาสตร์ร่วม และมีศัตรูร่วม เบเนดิก แอนเดอร์สัน นักมานุษยวิทยาการเมืองชื่อดัง อธิบายว่า ชาติเป็น “ชุมชนจินตกรรม” (imagined community) คือชุมชนที่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เคยพบหน้ากัน ไม่รู้จักกัน และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรง แต่พวกเขาถูกทำให้เชื่อว่าทั้งหมดคือ “เรา” เป็นส่วนหนึ่งของชาติเดียวกัน

สิ่งที่น่าทึ่งของชาตินิยมคือมันสามารถปลุกคนให้ยอมตายเพื่อคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เพื่อแนวคิดที่เป็นนามธรรม และเพื่อดินแดนที่บางคนอาจไม่เคยได้ไปเยือน นี่เป็นไปได้เพราะชาตินิยมสร้างความรู้สึกของ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (solidarity) ที่แข็งแกร่งมากจนสามารถเอาชนะสัญชาตญาณการอยู่รอดของปัจเจกบุคคลได้ เมื่ออุดมการณ์ทางชาติถูกผสมผสานกับศาสนา วัฒนธรรม หรือภาษา มันจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น และการใช้กำลังกับ “พวกเขา” ที่อยู่นอกชาติก็จะดูเหมือนชอบธรรมในทางศีลธรรม

อุดมการณ์ยังทำหน้าที่สร้าง “ศัตรู” ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูทางศาสนา ศัตรูทางชาติพันธุ์ หรือศัตรูทางอุดมการณ์การเมือง การมีศัตรูร่วมทำให้กลุ่มรวมตัวแน่นแฟ้นขึ้น และทำให้การใช้ความรุนแรงกับศัตรูนั้นดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสงครามจำนวนมากจึงมาพร้อมกับการสร้างภาพศัตรูให้เป็น “ปีศาจ” เพื่อทำให้การฆ่าพวกเขาไม่ใช่แค่การฆ่ามนุษย์ด้วยกัน แต่เป็นการกำจัดความชั่วร้าย

 4. มิติจิตวิทยา: อารมณ์มนุษย์ที่ถูกขยายผลเป็นเหตุผลของชาติ

แม้โครงสร้างจะผลักดัน แม้ผลประโยชน์จะดึงดูด และแม้อุดมการณ์จะให้ความชอบธรรม แต่สงครามจำนวนมากในท้ายที่สุดแล้วเกิดจากแรงกระตุ้นทางอารมณ์และจิตวิทยาที่อยู่ภายในมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือประชาชนธรรมดา

ความกลัว เป็นอารมณ์พื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดในการผลักดันสงคราม ความกลัวต่อการถูกทำลาย ความกลัวต่อการสูญเสียอัตลักษณ์ ความกลัวต่อการถูกครอบงำ ล้วนทำให้รัฐและประชาชนพร้อมที่จะโจมตีก่อนในลักษณะของ “การป้องกันเชิงรุก” (preemptive strike) ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของสงครามที่เริ่มต้นจากความกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อการขยายตัวของอำนาจใหม่ ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ หรือความกลัวต่อการสูญเสียความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์

ความแค้น และความต้องการแก้แค้นเป็นอารมณ์อีกประการหนึ่งที่ทำให้วงจรของการตอบโต้ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อชาติหนึ่งรู้สึกว่าถูกทำร้ายหรือถูกเอาเปรียบ ความต้องการที่จะตอบโต้และแก้แค้นจะกลายเป็นแรงผลักดันทางการเมืองที่ทรงพลัง ผู้นำที่ต้องการรักษาความนิยมมักจะใช้วาทกรรมเรื่องความแค้นและศักดิ์ศรีที่ถูกทำลายเพื่อชุมนุมการสนับสนุนสำหรับสงคราม สงครามระหว่างเซอร์เบียและโครเอเชียในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความแค้นทางประวัติศาสตร์ถูกปลุกขึ้นมาใหม่และนำไปสู่ความรุนแรงที่น่าสยดสยอง

 ความปรารถนาอำนาจและความทะเยอทะยานของผู้นำบางประเภทก็เป็นปัจจัยสำคัญ ผู้นำเผด็จการหรือผู้นำที่มีบุคลิกลักษณะแบบหลงตัวเองมักมีความต้องการที่จะพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของตน ต้องการสร้างมรดกทางประวัติศาสตร์ และต้องการเป็นที่เคารพบูชา สงครามกลายเป็นเวทีที่พวกเขาสามารถแสดงความยิ่งใหญ่และความกล้าหาญ ผู้นำเช่น นโปเลียน โบนาปาร์ต หรือ ฮิตเลอร์ ล้วนเป็นตัวอย่างของผู้นำที่ผลักประเทศของตนเข้าสู่สงครามเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานส่วนตัวและความต้องการยืนยันความเป็นผู้นำของตัวเอง

นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาสังคมที่เรียกว่า “การคิดแบบกลุ่ม” (groupthink) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มผู้นำตัดสินใจโดยไม่มีการประเมินทางเลือกอื่นอย่างรอบคอบ เพราะมีแรงกดดันให้เห็นพ้องต้องกันและไม่กล้าคัดค้าน สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การตัดสินใจทำสงครามที่ไม่มีเหตุผล เช่นที่เกิดขึ้นในกรณีการบุกอ่าวหมูของสหรัฐอเมริกาในปี 1961 สงครามจึงไม่ใช่เพียงการปะทะกันของโครงสร้างรัฐหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่คือการปะทะกันของอารมณ์มนุษย์ที่ถูกขยายผล ถูกจัดการ และถูกนำเสนอให้กลายเป็น "เหตุผลของชาติ" โดยผ่านกระบวนการทางการเมืองและวาทกรรมที่ซับซ้อน

 5. มิติวาทกรรม: การผลิตความจริงและการทำให้สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มิเชล ฟูโกต์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส มองสงครามผ่านกรอบของ “อำนาจ–ความรู้” และ “วาทกรรม” เขาชี้ให้เห็นว่า สงครามไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะมีความจำเป็นอย่างแท้จริง แต่ถูกทำให้เป็นสิ่งที่ “สมเหตุสมผล-จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้” ผ่านวาทกรรมที่รัฐและสถาบันอำนาจผลิตและเผยแพร่

วาทกรรมเหล่านี้รวมถึง “เราถูกคุกคามโดยศัตรูที่ชั่วร้าย-พวกเขาคือภัยต่อวิถีชีวิตของเรา-เราต้องโจมตีก่อนที่จะสายเกินไป-นี่คือสงครามเพื่อปกป้องเสรีภาพและประชาธิปไตยหรือ เราทำเพื่อประชาชน เพื่อความปลอดภัย” วาทกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่เป็นเทคนิคการที่ทำให้ประชาชนยอมรับและสนับสนุนการใช้ความรุนแรง

ฟูโกต์มองว่า รัฐสมัยใหม่ไม่ได้ใช้แค่การบังคับด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว แต่ใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า “การปกครองชีวญาณ” (governmentality) ซึ่งคือการจัดการชีวิตของประชาชนผ่านความรู้ วาทกรรม และการสร้างกฎเกณฑ์ การทำสงครามในสายตาของฟูโกต์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ “ชีวอำนาจ” ซึ่งเป็นอำนาจในการจัดการชีวิตและความตายของประชาชน รัฐมีอำนาจในการตัดสินว่าชีวิตใดควรได้รับการปกป้อง ชีวิตใดควรถูกเสี่ยงหรือถูกสังหาร และทั้งหมดนี้ถูกชอบธรรมผ่านวาทกรรมเรื่องความมั่นคง ชาติ และความจำเป็น

 ตัวอย่างที่ชัดเจนคือวาทกรรมเรื่อง “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ที่สหรัฐอเมริกาใช้หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 วาทกรรมนี้สร้าง “ความจริง” ว่าโลกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายที่รักเสรีภาพและฝ่ายที่เป็นผู้ก่อการร้าย และทำให้การบุกอิรักและอัฟกานิสถานดูเหมือนเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าภายหลังจะพบว่าเหตุผลหลักที่ใช้ชอบธรรมสงคราม เช่น อาวุธทำลายล้างสูงในอิรัก นั้นไม่เป็นความจริงก็ตาม

รัฐจึงไม่เพียงทำสงคราม แต่ยังผลิต “ความจริงเกี่ยวกับสงคราม” ผลิตภาพของศัตรู ผลิตความหมายของการเสียสละ และผลิตความจำเป็นของการใช้กำลัง นี่คือมิติที่ลึกซึ้งของการใช้อำนาจ ไม่ใช่แค่การบังคับให้ทำตาม แต่การทำให้คนเชื่อว่าสิ่งนั้นถูกต้อง จำเป็น และหลีกเลี่ยงไม่ได้

สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วาทกรรมเหล่านี้ ภาพข่าวที่เลือกสรร การใช้ภาษาที่เร้าอารมณ์ การนำเสนอมุมมองฝ่ายเดียว และการทำซ้ำของข้อความบางอย่างจนกลายเป็น “ความจริง” ที่ไม่มีใครตั้งคำถาม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการผลิตความจริงที่ทำให้สงครามได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชน

 6. มิติการเมืองภายใน: เมื่อสงครามกลายเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจ

มิติสุดท้ายที่มักถูกมองข้ามแต่สำคัญไม่แพ้กันคือการใช้สงครามเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองภายใน ผู้นำจำนวนไม่น้อยใช้สงครามหรือความขัดแย้งภายนอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาภายในประเทศ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ อัตราว่างงานสูง คอร์รัปชันระบาด หรือความไม่พอใจทางการเมืองที่กำลังเพิ่มขึ้น

ปรากฏการณ์นี้คือการใช้ “ทฤษฎีสงครามเบี่ยงเบนความสนใจ” ซึ่งหมายถึงการสร้างวิกฤตภายนอกเพื่อกลบปัญหาภายใน เมื่อผู้นำเผชิญกับความกดดันทางการเมือง การสร้างศัตรูภายนอกและปลุกชาตินิยมสามารถทำให้ประชาชนรวมตัวกันสนับสนุนรัฐบาล ลืมปัญหาภายใน และมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในช่วงเวลาวิกฤตเป็นการทรยศ

สงครามในกรอบนี้มีลักษณะเป็น “สงครามเพื่อสร้างความชอบธรรม” มากกว่าจะเป็นสงครามเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง เป้าหมายหลักคือการเพิ่มความนิยมของผู้นำ สร้างภาพลักษณ์ความเข้มแข็ง และกดปัญหาภายในให้จมหายไป ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมากมายของผู้นำที่อยู่ในฐานะอ่อนแอในการเมืองภายใน แต่กลับได้รับความนิยมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มสงครามหรือความขัดแย้งกับประเทศอื่น

นอกจากนี้ สงครามยังเป็นโอกาสในการเพิ่มอำนาจของรัฐ การประกาศภาวะฉุกเฉินในช่วงสงครามทำให้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจพิเศษ จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ควบคุมสื่อ และกดปราบกลุ่มต่อต้านได้อย่างมีความชอบธรรม สงครามจึงอาจกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้นำสร้างอำนาจเผด็จการของตนผ่านการปลุกชาตินิยม การอ้างความจำเป็นทางความมั่นคง และการสร้างภาพว่าเฉพาะตนเท่านั้นที่สามารถปกป้องชาติได้

กล่าวโดยสรุป จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นว่า มนุษย์ทำสงครามด้วยเหตุผลหลายชั้นที่ซ้อนทับและเสริมซึ่งกันและกัน ไม่มีสงครามใดที่เกิดจากเหตุผลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมของโครงสร้างระบบรัฐชาติและภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านความมั่นคง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มอำนาจและระบบอุตสาหกรรมการทหาร อุดมการณ์ทางชาติ ศาสนา และการเมืองที่ทำให้สงครามดูสูงส่ง อารมณ์และแรงกระตุ้นทางจิตวิทยาของผู้นำและประชาชน วาทกรรมและการผลิตความจริงที่ทำให้สงครามดูชอบธรรม และความต้องการรักษาอำนาจทางการเมืองภายใน

 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สงครามไม่ใช่ “ธรรมชาติ” ของมนุษย์ แต่เป็นผลผลิตของระบบสังคม การเมืองและเศรษฐกิจที่เราสร้างขึ้น สงครามต้องการการสร้างความชอบธรรม ต้องการอุดมการณ์ ต้องการวาทกรรม และต้องการระบบความหมายที่ซับซ้อนเพื่อทำให้ความรุนแรงที่น่าสยดสยองกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้

 ดังนั้น การทำสงครามไม่ใช่เพียง “การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์” ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์ของการจัดวางความหมาย การสร้างความจริง การผลิตวาทกรรม และการใช้อำนาจในสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง สงครามดำรงอยู่เพราะมนุษย์มีความสามารถอันน่าอัศจรรย์ในการทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจำเป็น ชอบธรรม และแม้กระทั่งสูงส่ง แม้ว่าท้ายที่สุดผู้ที่สูญเสียมากที่สุดคือประชาชนธรรมดาที่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจ ไม่ได้รับประโยชน์จากสงคราม และมักจะเป็นเหยื่อของกลไกอำนาจที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้


กำลังโหลดความคิดเห็น