ฝีมือจัดการอพยพผู้คนในบริเวณชายแดน 5-7 จังหวัด ที่อยู่ในข่ายจะได้รับผลจากภัยพิบัติการสู้รบกรณีผู้รุกรานเขมร ทั้งวางกับระเบิดและเปิดฉากยิงรุกล้ำดินแดนอธิปไตยไทย-ปรากฏเด่นชัดว่า ได้ผลดีมากเพราะชาวบ้านหลายแสนคนสามารถอพยพโดยการนำและช่วยเหลือจากหน่วยงานกองทัพ และกระทรวงมหาดไทย ไปอยู่ในศูนย์พักพิงที่ปลอดภัย โดยมีอาหาร, น้ำ และระบบสุขอนามัยที่พร้อมเพรียงนักข่าวต่างประเทศก็ประทับใจไปตามๆ กันว่า ชาวบ้านปลอดภัยจริงๆ ศูนย์พักพิงอยู่ห่างจากเขตกระสุนระเบิดซึ่งต้องขอชื่นชมทั้งกองทัพ และผู้ว่าฯ ที่ปฏิบัติการเผชิญภัยพิบัตินี้ได้เป็นอย่างดี
ช่างต่างกับการรับมือที่หาดใหญ่และบริเวณจังหวัดใกล้เคียง ที่สอบตกจนชาวบ้านจำนวนมากต้องเสียชีวิตซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น ถ้าฝีมือการบริหารของกระทรวงมหาดไทย (โดยรัฐมนตรี, ผู้ว่าฯ, นายอำเภอ) จะมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานตามกฎหมาย
หันไปดูเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียที่เจอฝนกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา และน้ำท่วมเช่นเดียวกับหาดใหญ่-ปรากฏมียอดผู้เสียชีวิตแค่ 3 ราย (ใช่ค่ะ-3 ราย) ซึ่งสะท้อนถึงระบบการอพยพผู้คนในเขตภัยพิบัติน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศมาเลเซียที่มีประชากร 36 ล้าน (หรือประมาณครึ่งหนึ่งของไทย) แต่กลับมีที่พักพิงจากภัยพิบัติทุกชนิดถึงเกือบ 1 หมื่นแห่ง ตลอดจากเหนือถึงใต้-ซึ่งเป็นการเตรียมการศูนย์พักพิงไว้มากมายเพื่อเผชิญกับภัยพิบัติ ที่ต้องมีการตระเตรียมอาหาร, น้ำ, ไฟ, ระบบสุขอนามัย (ห้องน้ำ) ไว้พร้อมสรรพล่วงหน้า และมีการฝึกซ้อมการอพยพไปยังที่พักพิงอยู่เป็นประจำ
ตัวเลขศูนย์พักพิงของไทย-ถ้าดูสัดส่วนประชากรเราเป็นสองเท่าของมาเลเซีย-เราก็น่าจะมีศูนย์พักพิงอย่างน้อยๆ ก็เป็นสองเท่าของที่มาเลเซียคือ ประมาณ 2 หมื่นแห่ง-จำนวนนี้ต้องถามที่กระทรวงมหาดไทยที่จะเป็นแม่งาน (ตามกฎหมายภัยพิบัติ) ที่จะต้องประสานกับกระทรวงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, การไฟฟ้าฯ, การประปา หรือแม้แต่กระทรวงศึกษาธิการ-กรณีต้องเปิดโรงเรียนตามศูนย์พักพิง-เพื่อให้การศึกษาต่อเด็กๆ ในช่วงอพยพหนีภัยพิบัติเป็นเวลานานกว่า 3-5 วัน เป็นต้น
ตามข่าวว่า ขณะนี้ตามจังหวัดชายแดนของเราที่ติดกับเขมร ทางการไทยได้ทำการอพยพชาวบ้านหนีภัยการสู้รบที่เขมรรุกรานดินแดนไทยนั้น มีที่พักพิง 100 กว่าแห่งที่มีสภาพถูกสุขลักษณะ ก็น่าชื่นชม...แต่สำหรับในขอบเขตทั่วประเทศนั้น เรามีจำนวนศูนย์พักพิงหนีภัยพิบัติพอเพียงหรือไม่ ก็น่าเป็นห่วงอยู่
ยิ่งในเหตุการณ์ฝนตกหนักน้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ครั้งนี้ ชาวบ้านได้รับการเตือนภัยแบบหน่อมแน้มมากคือ ไม่เน้นว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตเพราะการสื่อสารล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจเป็นเพราะการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการอย่างกะทันหัน เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ซึ่งการโยกย้ายนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฤดูมรสุมทางภาคใต้เสียด้วย-น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ข้าราชการที่เพิ่งถูกโยกย้ายเข้าไปรับหน้าที่ จะไม่เคยชินต่อสภาพภัยพิบัติ จนการบริหารงานช่วงก่อนและระหว่างภัยพิบัตินั้นสอบตกอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
ไม่เพียงการเตือนภัยที่ไม่เน้นความเข้มข้นระดับสูญเสียชีวิต-แต่การแจ้งให้อพยพก็ไม่มีข้อมูลรายละเอียดชี้แนะหรือต้องบังคับว่า ให้อพยพลี้ภัยไปที่ศูนย์อพยพพักพิงที่ไหน? น่าสังเวชยิ่ง...มีบางคน (ส่วนน้อย) ที่ถูกแนะนำ (อย่างไม่หนักแน่นจากทางการ) ให้ไปพักพิงที่บนสะพานสูงๆ แต่ที่สะพานนั้นๆ ไม่มีอาหาร, น้ำ, ห้องน้ำใดๆ ทั้งสิ้น และยามค่ำคืนที่ฝนตกหนักก็มืดมิด ทุกคนยืนกรำฝน-พอๆ กับจำนวนหลายคนทีเดียวต้องไปนั่งพักบนหลังคาบ้านของตน ต้องอดอาหารหลายวันและกลางคืนมืดมิดมาก
ฝีมือการบริหารภัยพิบัติน้ำท่วม, ถ้ำขุนน้ำนางนอนของ “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ได้พิสูจน์ว่า คนไทยหรือข้าราชการไทยมีความสามารถจัดการบริหารภัยพิบัติในยามวิกฤตได้อย่างดีเยี่ยม จนสร้างชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ปีนี้เป็นปีที่ 20 หลังเหตุการณ์เฮอริเคนแคทรีนาถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา และรัฐใกล้ๆ เคียงอีก 2-3 รัฐ ครั้งนั้นได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,800 กว่าคน และยังสูญหายเป็นร้อย รวมทั้งที่บาดเจ็บเป็นหมื่นคน
เฮอริเคนแคทรีนามีระดับความรุนแรงขั้นที่ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และเริ่มพัดเข้าหาฝั่งตะวันออกของอ่าวเม็กซิโกในช่วง 23 สิงหาคม จนถล่มรุนแรง 31 สิงหาคม พ.ศ. 2548
ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ออกคำเตือนตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม จน 50 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนพายุขึ้นฝั่ง ได้มีการเตือนภัยอย่างเข้มข้นเพื่อการอพยพของผู้คนให้ออกจากบริเวณนั้น...จนถึง 40 ชั่วโมง, 30 ชั่วโมงสุดท้ายเกือบ 80% ของประชากรได้อพยพไปยังศูนย์อพยพอย่างปลอดภัย…แต่ 20% ของประชากรบริเวณนั้นเกิดปัญหาไม่ยอมอพยพหนี โดยเฉพาะในถิ่นผู้มีรายได้น้อยซึ่งกำลังรอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในยามสิ้นเดือน
จนถึง 24 ชั่วโมงสุดท้ายที่พายุจะถล่มยังมีผู้คนติดค้างอยู่ และขณะนั้นทางการ (รัฐบาลท้องถิ่น รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลกลาง FEMA-Federal Emergency Management Agency) ก็ล้มเหลวในการจัดรถไปบังคับผู้คนให้อพยพออกจากเขตอันตราย
พวกที่เสียชีวิตคือ ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีเงินพอจะรีบเดินทางออกจากเขตภัยพิบัติ เพราะเป็นช่วงปลายเดือนพอดี...แต่ใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายก็สายเกินไป เพราะเมื่อพายุถล่มแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถเดินทางเข้าไปขนย้ายชาวบ้านออกมาได้...เพราะเจ้าหน้าที่เองก็จะประสบกับความเสี่ยงที่ตัวเองจะเสียชีวิตเช่นกัน
ประกอบกับทั้งผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาก็ล้มเหลวในการจัดรถไปขนย้ายผู้คนออกมาแต่เนิ่นๆ หรือจัดรถเข้าไปน้อยเกินไป
ขณะเดียวกัน ผอ.FEMA เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับปธน.บุช (ผู้ลูก) เพราะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้าไปรับตำแหน่ง ซึ่งมีการบริหารยามฉุกเฉินที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะไม่มีประสบการณ์พอ...ขณะที่ปธน.บุชก็วางใจในผอ.คนนี้
ปธน.บุช เรียกเขาว่า “Brownie” เพราะเขามีนามสกุลว่า “Brown” แสดงถึงความสนิทสนมที่ปธน.บุช ไว้วางใจ...แต่ผลงานแย่มาก จนหลังพายุถล่ม เขารีบชิงลาออกทันที...แต่ก็ไม่พ้นการไต่สวนของกรรมาธิการในวุฒิสภาถึงเหตุการณ์รับมือกับเฮอริเคนแคทรีนาที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ได้มีการยกเครื่องขนานใหญ่ต่อกฎหมายรับมือภัยพิบัติ ด้วยการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ในยามวิกฤตที่ต้องมี Single Command…รวมทั้งการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบที่ต้องมีความสามารถและประสบการณ์มากกว่าเอาแต่พรรคพวกคนสนิทของตน
ที่สำคัญคือ การคาดโทษชาวบ้านในเขตภัยพิบัติที่ดื้อรั้นไม่ยอมอพยพไปยังศูนย์พักพิงปลอดภัย โดยทางการต้องจัดรถรับส่งฟรีให้แต่เนิ่นๆ จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนพายุถล่ม
ถ้าชาวบ้านไม่ยอมอพยพใน 24 ชั่วโมงสุดท้าย เขาบังคับให้เขียนชื่อติดข้อมือเพราะถ้าสูญเสียชีวิต-จะได้รู้ว่าเจ้าของร่างนั้นคือใคร? เป็นการข่มขู่ให้ชาวบ้านรีบอพยพออก


