ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ยุคกี่สมัย หรือกี่รัฐบาล ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ตรงกันก็คือ รัฐบาลไทยทำได้เพียงตั้งรับฤดูฝุ่นพิษส่งท้ายปี 2568 จากสภาวะอุณหภูมิผกผันนำสู่การเกิด “ภาวะฝาชีครอบ” กระทั่งดันค่า “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5” ครอบคลุม 50 เขตในพื้นที่กรุงเทพฯ ตลอดจนหลายจังหวัดทั่วประเทศ และยังมองไม่เห็นอนาคตว่า จะจัดการปัญหาให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืนได้อย่างไร
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร ส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ (ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2568) โดยรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 07:00 น. พบว่า ค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอยู่ที่ 43.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. ภาพรวมคุณภาพอากาศทุกพื้นที่จัดอยู่ในเกณฑ์ “เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ” (ระดับสีส้ม) แม้จะมีรายงานว่าฝุ่นละอองมีแนวโน้มลดลง
สำหรับแนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่น PM2.5 ระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2568 พบว่าการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “อ่อน/ไม่ดี” ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นมีลักษณะเปิดสลับปิดกับมีลมแรงขึ้น มีแนวโน้มความเข้มข้นของฝุ่นละอองจะมีค่าลดลงได้บ้าง และวันที่ 7 – 12 ธันวาคม 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “อ่อน” ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นมีลักษณะปิด คาดว่าแนวโน้มความเข้มข้นของฝุ่นละอองจะมีค่าสูงขึ้น
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากสภาวะอุณหภูมิผกผันนำสู่การเกิด “ภาวะฝาชีครอบ” ดันค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ทะลุเกณฑ์ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งลักษณะของอุณหภูมิผกผันคือ ชั้นบรรยากาศทำงานเหมือน “ฝาชีครอบ” กักมลพิษไว้ใกล้พื้นดิน ส่งผลให้ฝุ่นสะสมมากผิดปกติต่อเนื่องหลายวันและมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ทั้งนี้ เขตที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงสุดในกรุงเทพมหานคร 10 อันดับแรก อาทิ 1. เขตบางรัก : 63 มคก./ลบ.ม. (ค่าสูงสุด), 2. เขตสาทร และ เขตบางคอแหลม : 52.6 มคก./ลบ.ม., 3. เขตปทุมวัน : 50.8 มคก./ลบ.ม., 4. เขตหนองแขม : 50.5 มคก./ลบ.ม., 5. เขตคลองสามวา : 50 มคก./ลบ.ม., 6. เขตลาดกระบัง : 49.9 มคก./ลบ.ม., 7. เขตธนบุรี : 49.8 มคก./ลบ.ม., 8. เขตภาษีเจริญ : 48.2 มคก./ลบ.ม., 9. เขตมีนบุรี และ เขตสัมพันธวงศ์ : 47.9 มคก./ลบ.ม., และ10. เขตคลองสาน : 47.8 มคก./ลบ.ม.
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เปิดเผยว่าสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพฯ มีค่าความเข้มข้นในระดับสีส้ม เนื่องจากฤดูฝนเริ่มเข้าสู่ฤดูฝุ่น คือประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์โดยจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ กทม.เท่านั้น ที่มีค่าฝุ่นเป็นสีส้มทั้ง 50 เขต แต่ทั้งภาคกลางได้รับผลกระทบเรื่องฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นนครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี ล้วนมีค่าฝุ่นในระดับสีส้ม
ขณะที่จังหวัดที่มีฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน มี 19 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม ระยอง กรุงเทพฯ ตราด ราชบุรี สุพรรณบุรี นนทบุรี เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา นครปฐม อ่างทอง จันทบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี ประจวบคีรีขันธ์ และพระนครศรีอยุธยา
กล่าวสำหรับสาเหตุที่ทำให้กรุงเทพฯ มีค่าฝุ่นเป็น “สีส้ม” ในห้วงเวลานี้เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1. สภาพอากาศปิด มีมวลอากาศเย็นกดทับทำให้คล้ายฝาชีครอบกรุงเทพฯ ทำให้ฝุ่นในกรุงเทพฯ มีความหนาแน่นขึ้น ถ้าสภาพอากาศเปิด แม้ปริมาณฝุ่นจะเท่าเดิม แต่ความหนาแน่นจะเจือจางลง ซึ่งสภาพดังกล่าวมักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว คือเดือนพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ และมักหนักที่สุดช่วงเดือนธันวาคม–มกราคม
2. การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ใน กทม. มีปริมาณรถยนต์จำนวนมาก ทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์เป็นต้นเหตุสำคัญที่เพิ่มค่าฝุ่น และ 3. การเผาชีวมวล ซึ่งยิ่งมีการเผา จะยิ่งทำให้ค่าฝุ่นหนาแน่นขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้พบจุดความร้อนประมาณ 790 จุด และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในเดือนหน้า
ขณะเดียวกัน กทม. ดำเนินมาตรการฝ่าฝุ่นโดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่สามารถ Work from Home ได้ ปรับรูปแบบการทำงานโดยไม่บังคับ ทั้งนี้ เกณฑ์การประกาศ Work from Home คือ ต้องมีค่าฝุ่น PM2.5 สีส้มครบทั้ง 50 เขต ต่อเนื่อง 2 วัน และมีจุดความร้อนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมประมาณ 170,000 คน เป้าหมายคือ 300,000 คน มีหน่วยงานเข้าร่วม 346 หน่วยงาน
ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดปริมาณการจราจร ลดการปล่อยไอเสีย และป้องกันการสะสมของฝุ่นในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งมรปี 2567 ที่ผ่านมา ทดลองมาตรการ Work from Home พบว่าปริมาณรถลดลงประมาณ 13 % นอกจากนี้ จะดำเนินการการตรวจสอบคุมเข้ม อาทิ ไซต์ก่อสร้าง การตรวจรถควันดำ ส่วนประชาชนช่วยได้ เช่น บำรุงรักษารถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ลดใช้รถดีเซลเก่า ใช้รถสาธารณะ และลดการเผาในที่โล่ง เป็นต้น
ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ว่ากรมควบคุมมลพิษได้เฝ้าติดตามและดูทิศทางของฝุ่น PM 2.5 ที่เข้ามาในพื้นที่ กทม. ซึ่งขณะนี้การเผาลดลง เพราะมีมาตรการเกี่ยวกับการนำฟางข้าวมาแลกปุ๋ย เพื่อลดการเผา ซึ่งปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 30% และในปี 2568 ได้ตั้งเป้าให้มากกว่าเดิม
ถึงกระนั้น สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังคงรุนแรงค้านสายตาประชาชน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISDA เผยรายงานพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินค่ามาตรฐานและเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย สัญญาณเตือนอันตราย
กล่าวสำหรับฝุ่นพิษ PM2.5 สามารถแทรกซึมลึกเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและหัวใจ เช่น หอบหืด, หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน, หัวใจขาดเลือด, มะเร็งปอด ฯลฯ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก ประเมินมลพิษทางอากาศภายนอก (ambient air pollution) เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรทั่วโลก
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปีต่อเนื่องจนถึงต้นปี โดยการปฏิบัติตัวเมื่อค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม ขอกลุ่มเสี่ยงให้จำกัดระยะเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายที่ใช้แรงมาก หากจำเป็นต้องออกนอกอาคารให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นทุกครั้ง รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติ โดยประเมินอาการและรับคำแนะนำเบื้องต้นผ่าน 4HealthPM2.5 หรือคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินมาตรการรองรับสถานการณ์ 4 ประการ คือ 1.การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยติดตามสถานการณ์และประชาสัมพันธ์เชิงรุก เน้นการสื่อสารและแจ้งเตือนผ่านระบบดิจิทัล เช่น Platform หมอพร้อม, SMART อสม.
2. การลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โดยเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจาก PM2.5 จัดทำห้องปลอดฝุ่นในสถานบริการและพื้นที่เสี่ยง และสนับสนุน “มุ้งสู้ฝุ่น” รวมถึงพิจารณาใช้มาตรการ Work From Home สำหรับกลุ่มเปราะบางเมื่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
3. การจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยขยายเครือข่ายบริการดูแลสุขภาพให้ครอบคลุม ทั้งคลินิกมลพิษทางอากาศ คลินิกเวชกรรมสิ่งแวดล้อม ให้คำปรึกษาคลินิกมลพิษออนไลน์ จัดระบบนัดหมายคลินิกมลพิษผ่านระบบหมอพร้อม และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่/ทีมปฏิบัติการดูแลสุขภาพกลุ่มเปราะบาง เช่น ชุมชน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงเรียนประจำ เป็นต้น
และ 4.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โดยหากสถานการณ์รุนแรงให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในทุกระดับ และส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้ พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ในการควบคุมต้นกำเนิดฝุ่น
ขณะที่สภาผู้บริโภคร่วมกับกว่า 60 องค์กรเครือข่ายอากาศสะอาด แถลงการณ์และเรียกร้องให้วุฒิสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาและผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (พ.ร.บ.อากาศสะอาด) ให้ผ่านกระบวนการพิจารณาโดยเร็ว เพื่อสร้างกรอบการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษที่ชัดเจนและมีมาตรการคุ้มครองสุขภาพประชาชน และหากไม่รีบดำเนินการ จะเกิดผลกระทบด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้บริโภคโดยตรง เพราะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เป็นภัยต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงประชาชน และเป็นหน้าที่ของรัฐต้องสร้างมาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อลดความเสี่ยงในระยะยาว
โดยสภาผู้บริโภคเสนอแนะให้เร่งรัดการพิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาด ให้มีกรอบหน้าที่ชัดเจนของหน่วยงานควบคุมและบทลงโทษต่อผู้ปล่อยมลพิษ และมาตรการเชิงป้องกันและลดแหล่งกำเนิด เช่น ควบคุมการเผาในที่โล่ง การจัดการฝุ่นจากไซต์ก่อสร้าง การปรับมาตรฐานไอเสียยานยนต์ และมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมผ่านการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR) (พ.ร.บ. PRTR)
ตลอดจนระบบเตือนและการป้องกันผู้บริโภค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศเรียลไทม์ แจกหน้ากากกรองฝุ่นให้กลุ่มเสี่ยง และแนวทางลดการสัมผัสฝุ่นในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น การประกาศทำงานจากบ้าน (Work from Home: WFH) และการเรียนด้วยตัวเอง/การเรียนออนไลน์ (Self-learning/ E-learning) เพื่อลดการปล่อยฝุ่นจากภาคขนส่งและคมนาคม ในช่วงเวลาที่จะมีการปล่อยฝุ่นสูงสุดตามสถิติ เป็นต้น
การส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานชองประชาชน เพื่อลดการปล่อยฝุ่นจากภาคพลังงาน และสนับสนุนการทำงาน/การเรียนที่บ้าน โดยส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของภาคครัวเรือนด้วยมาตรการจูงใจให้ฝากไฟฟ้าในระบบผ่านการหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า (เน็ตมิเตอร์ริ่ง) และมีมาตรการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากภาคธุรกิจ (เน็ตบิลลิง) ในสัดส่วนเดียวกันกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของโรงไฟฟ้าเอกชน และมาตรการระยะยาวทางสาธารณสุขและการเงิน บูรณาการนโยบายด้านสุขภาพกับมาตรการลดมลพิษ เช่น การลงทุนระบบขนส่งสาธารณะสะอาด และมาตรการสนับสนุนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ การแก้ปัญหา PM 2.5 นับเป็นความท้าทาย โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยรัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่จะเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายและมาตรการปฏิบัติที่ชัดเจนในการป้องกันและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทันทีและในระยะยาว ซึ่งเวลานี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภาและมองไม่เห็นอนาคตว่า จะสามารถผลักดันออกมาบังคับใช้ได้สำเร็จเมื่อไหร่กันแน่


