ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบ ริหารประเทศนั้น ผมอยากจะนามสกุล หลีกภัย แต่ผมกลายเป็นนามสกุลเจอภัย เจอเข้าไป 4 ภัยเลยนะครับ คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ”
นั่นคือคำกล่าวของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระหว่างเป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2570 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 หลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความเป็น “นายกฯ ล้มเหลว” ในการรับมือกับวิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ที่ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน ไม่นับรวมถึงความสูญเสียทางเศรษฐกิจและจิตใจซึ่งไม่อาจประเมินค่าได้
ทันทีที่ข้อความดังกล่าวเผยแพร่ต่อสาธารณชน นายอนุทินก็กลายเป็นตำบลกระสุนตกทางการเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนมีการเหน็บแนมแบบเจ็บแสบว่า “อ้าว นายกฯ นามสกุล หลีกภัยหรือนี่ ที่ผ่านมานึกว่านามสกุล ชิดชอบ มาโดยตลด” ซึ่งถือเป็น “ตลกการเมือง” ที่เจ็บแสบราวกับถูกเฆี่ยนด้วยหวายแล้วเอาน้ำเกลือราดซ้ำเลยทีเดียว
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า การที่นายอนุทินประสบความสำเร็จทางการเมือง การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และการเป็นนายกรัฐมนตรีในทุกวันนี้ ก็เพราะได้รับการปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งจาก “พ่อหมอเมืองบุรีรัมย์” ที่ชื่อ “เนวิด ชิดชอบ”
ทว่า การที่นายอนุทินถึงกับเอ่ยปากว่าเปลี่ยนนามสกุลเป็น “หลีกภัย” นั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ตามประสาคนปากเบาอย่างที่นายอนุทินชอบสำแดงออกมาให้เห็นเสมอๆ หากแต่ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า เขาคาดหวังว่าอะไรกับการเป็น “นายกรัฐมนตรีส้มหล่น” ในครั้งนี้
นายอนุทินมุ่งหวังเพียงแค่การได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” เพื่อเกียรติประวัติของตนเองและครอบครัวกระนั้นหรือ
นายอนุทินมุ่งหวังเพียงแต่การเข้ามาสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง มุ่งหวังเพียงแค่การจัดวาง “คนของตนเอง” ในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ โดยเฉพาะ “กระทรวงมหาดไทย” เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 กระนั้นหรือ
นายอนุทินมุ่งหวังแค่เพียงการเข้ามาจัดการกับคดีฮั้ว สว.ที่กำลังเขม็งเกลียวเข้าทุกที รวมถึงคดีที่ดินเขากระโดงอันอื้อฉาว กระนั้นหรือ
สังคมมองว่า ท่าทีดังกล่าวของนายอนุทินคือ “ภาวะช็อกน้ำ” จากภาวะ “นายกฯ ล้มเหลว” ในการจัดการกับมหาอุทกภัยหาดใหญ่ ที่สำคัญคือ ทำให้สังคมหวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่นายอนุทินเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับวลี “โควิดกระจอก” ในขณะที่สถานการณ์ของโรคกำลังระบาดและคร่าชีวิตประชาชนคนไทยไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนและทำให้อดคิดไม่ได้ว่า นายอนุทินเป็นคนดูเบาในทุกๆ ปัญหาเช่นนั้นหรือ และความดูเบานั้นก็ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินของเขาราวกับเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ใช่หรือไม่
“การที่นายกรัฐมนตรีอยากหลีกภัย เป็นการเมืองเชิงสัญลักษณ์ที่โดนแทงกลางใจที่สุดของสังคมไทย เพราะประชาชนไม่สามารถหลีกภัยได้ ผู้สูงอายุที่ติดอยู่ในบ้าน แม่ที่อุ้มลูกลุยน้ำ อาสาสมัครที่ไม่มีน้ำดื่ม คนจนที่ไม่สามารถย้ายรถ ไม่สามารถย้ายบ้าน ไม่สามารถย้ายชีวิตมีเพียงผู้นำเท่านั้นที่มีสิทธิจะหลีก” เพราะเขาไม่เคยต้องเจออย่างที่ประชาชนเจอ ประโยคผมเจอภัย จึงไม่ใช่เสียงครวญของผู้เสียสละ แต่มันคือการทำให้ความทุกข์ของประชาชนกลายเป็นเรื่องตลกของอำนาจ คือการยอมรับโดยปริยายว่า ผู้นำไม่ได้เตรียมพร้อมไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้ตระหนัก แต่ยังคงบริหารประเทศอยู่บนความเข้าใจผิดว่าบทบาทผู้นำคือการเอาตัวรอดทางวาทกรรมไม่ใช่การรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชน ที่สำคัญคือท่าทีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ 2568 เป็นตัวอย่างคลาสสิกของปรากฏการณ์ที่มักเกิดขึ้นในการเมืองไทย นั่นคือ การปฏิเสธก่อน–รับผิดทีหลัง (deny first, apologize later) ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามปกป้องภาพลักษณ์ของรัฐบาลมากกว่าการยอมรับความจริงตามข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์” พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือนิด้า วิพากษ์วาทกรรมดังกล่าวของนายอนุทินเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว
อย่างไรก็ดี ถ้าหากติดตามปฏิกิริยาของนายอนุทินในการจัดการกับปัญหาน้ำท่วมก็จะพบว่า เต็มไปด้วยปัญหาการสั่งการที่ติดขัดไปหมด ราวกับว่าเป็น “นายกฯ ฝึกหัด” อย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่นายอนุทินอยู่ในอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินในกระทรวงต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในกระทรวงมหาดไทยด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องรู้ เพราะมีคนของ “สายสีน้ำเงิน” เกลื่อนไปหมด ตั้งแต่ระดับปลัด อธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ เว้นเสียแต่ว่า นายอนุทินจะเป็นเพียง “นายกฯ เงา” หรือ “รัฐมนตรีเงา” ที่ไม่ได้บริหารอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยมี “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” กุมบังเหียนอยู่อีกชั้นหนึ่ง
“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นเนติบริกรของรัฐบาล เอ่ยปากในการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ในเชิงตำหนิติเตียนหน่วยงานต่างๆ ว่า “ประเทศไทยมีกฎหมายดีๆ มีกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน กฎหมายป้องกันภัยพลเรือน กฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กฎหมายทรัพยากรน้ำ มีหมด มีหน่วยงานเต็มไปหมด แต่เวลาเกิดภัยพิบัติฉับพลันทันด่วนอย่างนี้โครงสร้างอำนาจและการวินิจฉัยสั่งการมันไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น”
คำถามก็คือ นายบวรศักดิ์ย่อมรู้ข้อมูลเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว ใช่หรือไม่ เพราะเป็นข้อมูลที่ใครๆ ก็รู้ เช่นเดียวกับนายอนุทินที่ก็ย่อมต้องรู้เช่นกัน
ที่สำคัญคือ ทั้งนายบวรศักดิ์และนายอนุทินก็ย่อมต้องรู้เช่นกันว่า คนที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างอำนาจและการวินิจฉัยสั่งการตามที่นายบวรศักดิ์วิพากษ์เอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดคือ “นายกรัฐมนตรีที่ชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่ใช่แต่งตั้งคนนั้นที คนนี้ที จนหน่วยปฏิบัติงานสับสนอลหม่าน แล้วตัวเอง “หลีกภัย” ไปจากภาระความรับผิดชอบเสียอย่างนั้น
ขณะที่ในการ “เยียวยา” นายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ย่อมต้องรู้ดีว่า กลไกของมหาดไทย กลไกของผู้ว่าราชการจังหวัด กลไกลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะฟังก์ชั่นได้อย่างไร ดังนั้น จึงไม่อาจโทษความล่าช้าในการปฏิบัติงานของพวกเขาที่ยึดโยงกับระเบียบราชการเป็นหลักได้เต็มปากเต็มคำนัก หากแต่ต้องทะลุทะลวงทุกข้อจำกัดเอาไว้ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะเงินเยียวยาหรือเงินชดเชยสำหรับผู้เสียชีวิตที่ไม่น่าจะมีปัญหาให้ประชาชนก่นด่าเลย
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” พยามยามโยนบาปไปที่ “นายกแป้น”-นายณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ว่า เป็นต้นเหตุของมหาอุทกภัยดังกล่าว ดังกรณี “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ร่วมประชุมกับนายเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ พร้อมพูดอย่างมีอารมณ์ว่า ลงพื้นที่ไปดูหน้างานพบว่า น้ำไม่มี ไฟไม่มี สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี วันนี้จะแก้ปัญหาในโลกยุคใหม่ มันไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อน ถุงยังชีพไม่ต้องแจก วันนี้ต้องหาที่นอนและเสื้อผ้าให้เขาก่อน และได้บอก “นายกแป้น” ว่า ทำให้จบ ทำให้เสร็จ แล้วลาออกไปเลย ขอโทษประชาชน แล้วลาออกไป มันมีคนจะต้องลาออกตามนายกแป้น ไปด้วย!
แน่นอน “นายกแป้น” สมควรต้องลาออกจริงอย่างที่นายชาดาว่าไว้ แต่ “นายกฯ หนู” เองในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ก็จำเป็นต้องยอมรับความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ของตัวเองด้วย มิใช่หรือ ส่วนจะลาออกตามนายกแป้นไหม นี่เป็นเรื่องของวุฒิภาวะและการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองที่หาได้ยากในประเทศนี้
งานนี้ นักข่าวดักถามภายหลังภายหลังการเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี “เสี่ยหนู” ไม่ตอบคำถามที่ว่าเห็นด้วยกับนายชาดาหรือไม่ ที่จี้ "นายกแป้น" ลาออก รับผิดชอบน้ำท่วมหาดใหญ่ ได้แต่หัวเราะ “หึหึ” ในลำคอ ก่อนจะเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที ก่อนที่ในวันถัดมาจะให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ตนได้บอกให้นายชาดา ใจเย็นๆ ซึ่งนายชาดาอยู่ในพื้นที่หลายวันอาจจะมีอินเนอร์ ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งการทำงานหรือทำอะไรถ้าทุกคนมีเจตนาดี ตนก็มักจะปล่อยให้ระบาย พอระบายเสร็จก็จบ เห็นใจกันและแสวงหาความร่วมมือ
กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า ภาวะช็อกน้ำของนายอนุทินอันเกิดจากความ “ล่าช้า–สับสน–ไร้ระบบ” ทำให้รัฐบาลสูญเสียพื้นที่ความเชื่อมั่นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ได้ทำให้ความหวังจะขี่หลังเสือไปต่อเป็นนายกรัฐมนตรีไปอีก 4 ปี กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ราบรื่นเหมือนอย่างที่ฝันไว้เสียแล้ว โดยเฉพาะกับบรรดา “บ้านใหญ่” ที่หวังจะ “ฝากผีฝากไข้” เนื่องจากทำให้ต้องติดหนักว่า จะได้คุ้มเสียหรือไม่กับกระแส “นายกฯ ล้มเหลว” ที่กระหน่ำนายอนุทินและรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยอย่างหนักในขณะนี้ กระทั่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาในสายตาของประชาชนจากก่อนหน้านี้ที่คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้น กลายเป็นติดลบมากขึ้นเป็นลำดับ
และไม่ใช่แค่การสูญเสียคะแนนเสียงในภาคใต้ที่ พรรคภูมิใจไทยตั้งเป้าว่า จะได้ส.ส.เขต 30 ที่นั่งจากพื้นที่นี้ แต่เชื่อว่าจะลุกลามไปภาคอื่นๆ ด้วย เพราะประชาชนได้เห็นกับตาแล้วว่า “รัฐบาลอนุทิน ไม่มีน้ำยา” ศักยภาพในการบริหารประเทศ ต่ำกว่าที่ประชาชนคาดหวัง
และแน่นอนว่า ทำให้สมการการเมืองของประเทศนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
“You know me little go” นายอนุทินกล่าวหลังถูกสื่อถามเรื่องความจริงจังในการจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะจริงดังที่เขาว่าไว้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ วันนี้ คนไทยรู้จัก “นายกฯ หนู หลีกภัย” แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้รู้จักเพียงผิวเผิน


