ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เรียกว่า กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขั้นสุด เมื่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปร่วมแถลงข่าวกรณีการอายัดและยึดทรัพย์สแกมเมอร์ข้ามชาติมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ใน 4 คดีสำคัญคือ คดีนายเฉิน จื้อกับพวก คดีนายก๊ก อาน กับพวก คดีนางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ที่เชื่อมโยงไปถึงยิม เลียกและเบน สมิธ และคดีนายเอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน กับพวก
เพราะหลังจากนั้นก็มีการปล่อย “ภาพชุดใหญ่” ออกมา โดยมีรูปคนสำคัญในบ้านเมืองนี้ไปปรากฏร่วมกับเบน สมิธหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็นตัวนายอนุทิน ตามต่อด้วยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น
งานนี้ จึงถูกตีความว่า มีเบื้องหน้า เบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เพราะเหมือนเป็นการตั้งใจที่จะลากโยง “คนเหล่านั้น” ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ความน่าสนใจของเรื่องจึงจบอยู่ตรงที่ “คนเหล่านั้น” ไปรู้จักมักจี่กับ เบน สมิธ ได้อย่างไร
คนแรกสุดที่ใคร ๆ ก็อยากฟังคำชี้แจงแถลงไขคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เมื่อนักข่าวยิงคำถามรู้จักกับ นายเบน สมิธ เป็นการส่วนตัวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า “รู้จักแต่ไม่สนิท” พร้อมกับย้อนถามว่า “ปีนั้นปีอะไร นั่นแหละแค่เจอครั้งแรก” ปกติไม่ได้ติดต่อมีธุรกิจธุรกรรมอะไรด้วยอยู่แล้ว พร้อมย้อนถามสื่อกลับว่า “จำไม่ได้หรือว่าทำไมเขาถึงไม่ได้สัญชาติ” เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้ตนเองโดนปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ไม่เอา และขอถอนตัวจากรัฐบาล ต้องพูดกันให้แฟร์ ๆ
ต่อคำถามที่ว่า รู้หรือไม่ใครเป็นคนปล่อยภาพ นายอนุทิน ตอบว่า “ “รู้หมดแหละ นักข่าวก็รู้ ใครก็รู้ทั้งนั้น”
เมื่อถามอีกว่าตอนนั้นที่นายเบน สมิธ มาทำธุรกิจอะไร นายกรัฐมนตรี ตอบว่า ตอนที่ตนคุยกับเขาก็เป็นความสัมพันธ์ที่รู้จักกันในฐานะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน หากถามว่ารู้จักหรือไม่ ตนรู้จัก เจอกันตามงานก็ทักทาย
แล้วเจอกันกี่ครั้ง นายกรัฐมนตรี ถามกลับว่า เจอกี่ครั้งหมายความว่าอย่างไร เขาก็มีแวดวงมีอะไรอยู่ เจอในงานประมาณ 5-6 ครั้ง
ต่อคำถามนายเบน สมิธ รู้จักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราดีใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี หัวเราะก่อนบอกว่า “พวกคุณก็เห็นรูปแล้ว จะมาเอาเรื่องอะไรจากรูปที่ถ่ายเป็น 10 ปีที่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกครั้งว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลไม่กล้าปราบปรามพวกของ นายเบน สมิธ อย่างจริงจังใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบกลับว่า “ผมนะหรือไม่กล้าแตะ ปัดโธ่ You know me little go รู้หรือเปล่าแปลว่าอะไร คุณรู้จักผมน้อยไป” ก่อนเดินเข้าประชุมทันที
ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ภาพที่ปรากฏเป็นภาพจากงานของหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รวมมิตร) เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว มีผู้เข้าร่วมในวันนั้น 60-70 คน มีผู้บริหารระดับประเทศจากทั้งภาครัฐ และเอกชนหลากหลายวงการ และตนเองเข้าร่วมในนามที่ปรึกษา และอาจารย์หลักสูตรฯ ถือว่าเป็นเพียงหนึ่งในผู้ร่วมงาน เช่นเดียวกับแขกท่านอื่น ๆ ที่ไปร่วม ซึ่งการพบปะพูดคุยกับคนในงาน แม้ไม่ได้มีความรู้จักหรือสนิทสนมเป็นการส่วนตัว ก็เกิดขึ้นได้ในโอกาสไปร่วมงานสังคมทั่วไป โดยหลังจบการบรรยาย ได้มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนหนึ่งเข้ามาพูดคุยและขอแลกนามบัตร รวมถึงเบน สมิธ แต่หลังจากนั้นไม่เคยมีการติดต่อหรือคบหากันอีก
นายเอกนิติ ย้ำชัดว่า ภาพที่ปรากฏไม่ใช่สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์หรือการเกี่ยวข้องใดๆ พร้อมกล่าวว่า “ผมเป็นเพียงผู้ร่วมงานในกิจกรรมสาธารณะตามธรรมเนียม ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวพันกับการกระทำผิดของบุคคลที่อยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนทางกฎหมาย และผมสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำผิดทุกคน”
ส่วน “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์นั้น มีข้อมูลจากนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้จัดรายการ ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ว่า พล.อ.อภิรัชต์ ส่งข้อความมาถึง โดยระบุว่า “ผมได้เห็นภาพและขอชี้แจงตามนี้ว่า ภาพแรกเป็นภาพปี 2557 ขณะเรียนหลักสูตร วปอ. และเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ มีเพื่อนแนะนำให้รู้จัก เบน สมิธ เป็นนักธุรกิจและมารับประทานอาหาร ซึ่งยังจำได้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล พูดในตอนนั้นว่า อเมริกันแชร์ คือทุกคนจ่ายค่าอาหารทุกคน ไม่มีใครเลี้ยง”
“ภาพอีกภาพเป็นรูปงานแต่งของลูกสาว และคนมาร่วมงานเยอะ ยืนยันส่วนตัวไม่ได้สนิทหรือคบหากับ เบน สมิธ เป็นการรู้จักแบบผิวเผินกับ เบน สมิธ”
ขณะที่ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ชี้แจงว่าเป็นภาพมาจากงานที่สิงคโปร์เมื่อปี 2557 และไม่มีความสนิทสนมหรือความเกี่ยวข้องใดกับนายเบน สมิธ
แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ ก่อนหน้านี้ก็ปรากฏภาพนายเบน สมิธ ร่วมวงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริงเสียงจริง เผยแพร่ออกสู่สาธารณะมาแล้วเช่นกัน
นั่นหมายความว่า “ใครๆ ก็รู้จักเบน สมิธ” ส่วนจะสนิทกันขั้นไหน หรือเกี่ยวข้องกันในการทำธุรกิจสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ต่อไป


