ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ดังได้กล่าวไปแล้วว่า ความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่จีนยกย่องเชิดชูจนมีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย เพื่อใช้อบรมสั่งสอนอนุชนรุ่นหลังเรื่อยมานั้น เรื่อง ความกตัญญูของซุ่น ตามที่ยกมาเล่าจึงเป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่อง
ที่ยกเรื่องดังกล่าวมาเล่าก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า แม้ความกตัญญูจะถูกยกย่องเชิดชูหรือให้ความสำคัญอย่างไร เวลาปฏิบัติก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความสมเหตุสมผลและความพอดีอีกด้วย จะทำตะพึดตะพือแบบสุดโต่งหรือหลับหูหลับตาหาได้ไม่
แต่ก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้วเช่นกันว่า การที่ความกตัญญูได้รับความสำคัญเช่นนั้นส่วนหนึ่งมีที่มาจากอดีต ที่มีเรื่องราวของความอกตัญญูเกิดขึ้นจนสร้างความเสื่อมถอยให้แก่บ้านเมือง ในที่นี้จึงขอหยิบยกเรื่องทำนองดังกล่าวมาเล่าเป็นตัวอย่าง โดยเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้จะเชื่อมโยงกับเรื่องของซุ่นที่ได้เล่าไปแล้ว
กล่าวคือ การที่ซุ่นได้รับการยกย่องในเรื่องความกตัญญูนั้น ต่อมาได้ทำให้ เหยา (尧) ที่เป็นผู้ปกครองของชนชาติจีนในขณะนั้นเลือกซุ่นให้เป็นสืบทอดตนต่อไป ดังนั้น หลังจากเหยาสิ้นชีพไปแล้ว ซุ่นก็ก้าวขึ้นเป็นผู้ปกครองคนต่อไป ซึ่งก็ปกครองด้วยดี ครั้นซุ่นสิ้นชีพไปอีก ผู้ที่ถูกเลือกคนต่อมาคือ อี่ว์ (禹) ด้วยมีผลงานจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมใหญ่เป็นเวลายาวนานถึง 13 ปีจนสำเร็จ
ครั้นอี่ว์สิ้นชีพ บุตรของเขาที่ชื่อ ฉี่ (启) ก็เป็นผู้ปกครองสืบต่อ แต่ฉี่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกดังที่ผ่านมา โดยฉี่ได้อ้างว่าสมบัติพัสถานที่บิดาเขาสร้างขึ้นนั้นควรตกเป็นของเขา อีกทั้งเขายังเสแสร้งใช้ชีวิตอย่างสมถะจนหัวหน้าเผ่าอื่นๆ ต่างเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ปกครองจนได้
ฉี่นี้เองที่เป็นผู้ทำลายระบบการเลือกผู้นำของจีนในประวัติศาสตร์ยุคตำนาน
เมื่อได้เป็นผู้ปกครองแล้วฉี่ก็ตั้ง ราชวงศ์เซี่ย (夏, ประมาณ ก.ค.ศ.2070-1600) ขึ้น แล้วยกให้อี่ว์ผู้เป็นบิดาเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ นัยว่าเพื่อแสดงความกตัญญู แต่หลังจากได้เป็นกษัตริย์แล้ว ฉี่ก็ประพฤติตนเหลวแหลกด้วยการเสพสุขไปกับการร่ำสุรา ล่าสัตว์ และร้องรำทำเพลง การใช้ชีวิตสมถะเมื่อก่อนหน้านี้จึงเป็นการเล่นละครตบตาผู้คน เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำเท่านั้น หาได้มีความจริงใจที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดีไม่
เมื่อสิ้นฉี่ไปแล้วบุตรของเขาคือ ไท่คัง (太康) ก็ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ตามระบบสืบทอดที่เขาสร้างขึ้นมา เมื่อได้เป็นกษัตริย์ (อย่างง่ายดาย) แล้วไท่คังก็ทรงใช้ชีวิตเสพสุขดังบิดาด้วยการออกล่าสัตว์ อันเป็นกีฬาที่พระองค์ทรงโปรดปราน การล่าสัตว์แต่ละครั้งจะใช้เวลานานนับหลายเดือน โดยไม่สนใจการปกครองบ้านเมือง
การที่ไท่คังทรงดื่มด่ำกับการล่าสัตว์เช่นนี้จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ราษฎร จนในที่สุดก็ถูกโฮ่วอี้ (后羿) แห่งชนชาติตงอี๋ (东夷) เข้ายึดอำนาจในขณะที่ไท่คังไม่อยู่ในเมือง เมื่อยึดได้แล้วโฮ่วอี้ก็ตั้ง จ้งคัง (仲康) อนุชาของไท่คังเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดของตน ส่วนไท่คังเมื่อสิ้นอำนาจก็หนีเอาตัวรอด หลังจากนั้นอีก 10 ปีต่อมาจึงสิ้นพระชนม์
ครั้นจ้งคังกษัตริย์หุ่นเชิดได้สิ้นพระชนม์ลงในเวลาต่อมา โฮ่วอี้จึงตั้งตนเป็นกษัตริย์อย่างเปิดเผย แต่แทนที่จะใส่ใจในราชกิจ โฮ่วอี้กลับใช้เวลาไปกับการล่าสัตว์เช่นกัน โดยปล่อยให้ราชกิจทั้งปวงอยู่ในมือของขุนนางชื่อ หานจว๋อ (寒浞) แต่ด้วยเหตุที่หานจว๋อมิใช่ขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ในเวลาเพียงไม่นานเขาก็วางแผนฆ่าโฮ่วอี้แล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์แทน
เรื่องโฮ่วอี้นี้มีประเด็นที่ควรกล่าวด้วยว่า โฮ่วอี้ที่มีชีวิตอยู่ในราชวงศ์เซี่ยนี้มีชื่อเดียวกันกับโฮ่วอี้ในยุคตำนานของจีน คนหลังนี้เป็นมือฉมังธนูที่ยิงดวงอาทิตย์ดับไปเก้าดวงจากที่มีอยู่สิบดวง จนเหลือดวงเดียวในทุกวันนี้ (ถ้าโลกเรามีดวงอาทิตย์สิบดวงก็คงไม่มีเราในทุกวันนี้อย่างแน่นอน) นอกจากนี้ ก็ยังเป็นคนรักของเทพธิดาจันทราฉางเอ๋อ (嫦娥) อีกด้วย
ความยุ่งยากทางการเมืองของเซี่ยในช่วงนี้จึงมีสีสันดุจนิยาย ด้วยเมื่อได้อำนาจมาแล้วหานจว๋อก็ทำการกวาดล้างอิทธิพลของเซี่ยครั้งใหญ่ ภารกิจแรกคือ ส่งกองกำลังเข้าโจมตีชนเผ่าเจินกว้านซื่อ (斟灌氏) กับเจินสวินซื่อ (斟寻氏) เพื่อขุดรากถอนโคนชนเผ่าที่เป็นศัตรู
แต่ขณะที่ขุดรากถอนโค่นนั้นได้มีผู้หนีรอดมาได้คนหนึ่งคือ หมิน (缗) บุตรสาวของชนเผ่าโหย่วเหญิงซื่อ (有仍氏) ซึ่งเป็นสะใภ้ของราชวงศ์เซี่ย ซึ่งในขณะนั้นหมินกำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี หมินหนีไปอยู่กับชนเผ่าโหย่วเหญิงซื่ออันเป็นต้นตระกูลของตน จากนั้นไม่นานก็ให้กำเนิดบุตรชายมีชื่อว่า เส้าคัง (少康)
ส่วนหานจว๋อนั้นมิได้กุมอำนาจอย่างราบรื่น ด้วยต่อมาเขาถูกเจียว (浇) ผู้เป็นบุตรชายฆ่าตาย แล้วเจียวก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนอีก เจียวยังไม่ลดราวาศอกในการกวาดล้างสายเลือดราชวงศ์เซี่ย โดยเมื่อทราบว่าเส้าคังคือสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ เขาก็ส่งกองกำลังไปกวาดล้างอีก คราวนี้เส้าคังได้หลบหนีไปอาศัยอยู่กับชนเผ่าโหย่วอี๋ว์ซื่อ (有虞氏) ชนเผ่านี้มีกำลังที่กล้าแข็งยากแก่การเข้าตีของเจียว เส้าคังจึงอาศัยอยู่กับโหย่วอี๋ว์ซื่อด้วยความปลอดภัยจนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม
เส้าคังในวัยหนุ่มเป็นที่ยกย่องชื่นชมของสมาชิกชนเผ่าอย่างมาก จากเหตุนี้ หัวหน้าชนเผ่าจึงยกบุตรสาวสองคนของตนให้เป็นภรรยาของเส้าคัง อย่างไรก็ตาม ตลอดห้วงที่เส้าคังหลบภัยอยู่กับชนเผ่าโหย่วอี๋ว์ซื่อนี้ เขารู้ภูมิหลังของตัวเองมาโดยตลอด เส้าคังจึงสะสมกำลังเพื่อที่จะฟื้นฟูราชวงศ์เซี่ยขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง
จนเมื่อมีกำลังกล้าแข็งแล้ว เส้าคังพร้อมด้วยชนเผ่าที่ยังเลื่อมใสศรัทธาในคุณูปการของอี่ว์และให้การสนับสนุนแก่เขา จึงได้กรีธาทัพเข้าโจมตีขุมกำลังของเจียวจนได้รับชัยชนะ ในที่สุดราชวงศ์เซี่ยก็ถูกเส้าคังกอบกู้ขึ้นมาได้สำเร็จ
แน่นอนว่า ตำแหน่งกษัตริย์ย่อมตกเป็นของเส้าคังโดยความเห็นชอบของชนเผ่าอื่น ซึ่งในเวลานั้นได้ยอมรับระบบผู้นำแบบสืบทอดทางสายเลือดแล้ว และเพื่อเป็นหลักประกันว่าเซี่ยจะไม่เสื่อมถอยดังที่เคย เส้าคังจึงประพฤติตนเป็นกษัตริย์ที่ดี และนำพาเซี่ยให้เจริญรุ่งเรืองเป็นที่ยอมรับของราษฎรในที่สุด
เรื่องที่ยกมาเล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของบุญคุณความแค้น จะว่าเหมือนนิยายก็คงจะว่าได้ เอาเข้าจริงแล้วนิยายต่างหากที่เอาโครงเรื่องดังกล่าวมาแต่ง แต่บุญคุณความแค้นที่ว่าก็มีเนื้อแท้อยู่ที่ความกตัญญูกับความอกตัญญูอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนใครกตัญญูและใครอกตัญญูนั้นคงดูกันออก แต่ก็ควรกล่าวด้วยว่า นอกจากเรื่องเล่านี้แล้ว จีนก็ยังมีเรื่องของบุญคุณความแค้นดังเรื่องที่ยกมาเล่าเกิดขึ้นอยู่เสมอ บางเรื่องก็เบากว่าเรื่องนี้ บางเรื่องก็หนักกว่า สุดแท้แต่ยุคสมัย
แต่เรื่องที่ยกมาเล่านั้น เรื่องของเส้าคังจะเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด ในฐานะต้นแบบของผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความกตัญญู โดยเริ่มจากชีวิตที่ยากลำบากตั้งแต่ยังไม่เกิด ครั้นเกิดแล้วก็ยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากการถูกตามฆ่า และเมื่อหนีไปหลบอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้วก็วางตัวดีจนเป็นที่ยอมรับของผู้คน สุดท้ายคือ การกอบกู้ราชวงศ์เซี่ย ซึ่งเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และส่งผลให้เขาได้เป็นกษัตริย์
กล่าวอีกอย่าง ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ได้นั้น ในด้านหนึ่งจะต้องผู้ที่มีความกตัญญูอยู่ด้วย


