คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 จะไม่ได้เจาะจงลงไปแต่เพียงการป้องกันไม่ได้เกิดการปกครองแบบอัตตาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ (royal autocracy) เท่านั้น
แต่กระนั้นก็ตาม ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และในคำสัตย์ปฏิญาณของพระมหากษัตริย์ในปี ค.ศ. 1720, 1751, และ 1772 ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชดำรัสต่อสาธารณะว่าเป็นสิ่งที่ “ชอบธรรมและเป็นธรรมที่จะปฏิเสธและรังเกียจการปกครองอัตตาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ที่พระราชอำนาจไม่จำกัด” (unlimited royal autocracy or the so-called sovereignty) (et rattvist misshag och en billig avsky for thet oinskranckte konungslige envaldet eller den sa kallade souverainiteten)
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการกล่าวสัตย์ปฏิญาณของ Frederick I ในปี ค.ศ. 1720 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า หากเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงยอมรับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolutism) พระองค์จะต้องทรงถูกถอดถอน
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดไว้ว่า การสร้างแรงจูงใจต่อการประกาศให้อัตตาธิปไตย (autocracy) เป็นสิ่งต้องห้ามคือ การอธิบายว่า การปกครองดังกล่าวนี้ “อันตราย” (harmful) และ “ขัดต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ที่ดีของปิตุภูมิ” (the fatherland) และในหลายๆ ด้าน “ได้สร้างความเสียหาย ลดทอนความเข้มแข็งและทำให้ประเทศอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเจน” และใครก็ตามที่ส่งเสริมสนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะถือว่าเป็นศัตรูต่อองค์พระมหากษัตริย์และปิตุภูมิและถือว่าเป็นคนทรยศต่อชาติบ้านเมือง
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงปกครองประเทศโดยลำพังพระองค์เอง แต่ทรงบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับสภาบริหารที่รับผิดชอบต่อสภาฐานันดร (the Estates) แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาสมัยใหม่ ตรงที่ไม่ได้กำหนดให้รัฐมนตรีจะต้องได้รับความไว้วางใจจากเสียงข้างมากในสภา แต่ถ้าสภาฐานันดรพิจารณาว่าสมาชิสภาบริหารคนใดไม่สมควรได้รับความไว้วางใจ ก็จะถูกถอดถอนโดยกระบวนการที่รู้จักกันในนามของ licentiering หรือ “กระบวนการถอดถอน” นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ให้สภาฐานันดรเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง สภาฐานันดรจะประชุมทุกๆ สามปี และกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่แทรกแซงกิจการของสภาฐานันดร พระองค์ทรงถูกผูกมัดโดยรัฐธรรมนูญและคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน (the fundamental laws) ของแผ่นดิน หากพระองค์ทรงฝ่าฝืน สภาฐานันดรแห่งอาณาจักรจะไม่ถูกผูกมัดต่อคำสัตย์ปฏิญาณที่ว่าจะจงรักภักดีและสนับสนุนพระองค์อีกต่อไป ด้วยถือว่าพระมหากษัตริย์ทรง “ผิดสัญญา” และสภาฐานันดรจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดตามสัญญาที่ทำไว้อีกต่อไป
ดังนั้น โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว บทบาทของพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองภายใต้ยุคแห่งเสรีภาพจึงมีสถานะเป็นเพียงตัวแทน (representative one) ในแบบพิธีกรรม และจากการที่พระองค์ทรงไม่มีพระราชอำนาจโดยลำพังพระองค์ พระองค์จึงไม่ต้องทรงต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด ไม่ว่าจะต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือต่อสภาฐานันดร
แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าความไม่ต้องรับผิดชอบของพระมหากษัตริย์จะไม่มีปัญหา เพราะทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ควบคุมการใช้อำนาจของพระองค์ในทางปฏิบัติ เพราะในทางกฎหมาย พระองค์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจ แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงสามารถบริหารอาณาจักรผ่านสภาบริหารที่ตั้งไว้สิบหกคนจากรายชื่อที่เสนอโดยสภาฐานันดร ในที่ประชุมสภาบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงสามารถมีสองเสียงในกรณีที่เสียงแตก แต่กระนั้น พระองค์ก็ผูกพันกับการตัดสินของเสียงส่วนใหญ่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น จึงเป็นการยากที่พระมหากษัตริย์จะทรงมีบทบาทที่เป็นอิสระได้
กฎหมายพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ (the basic constitutional law) ได้ให้อำนาจเกือบจะสูงสุดทั้งหมดแก่สภาฐานันดร (riksdag of the Estates) นั่นคือ
-อำนาจนิติบัญญัติ ในทางทฤษฎี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการตรากฎหมายของสภาฐานันดร แต่ในทางปฏิบัติ พระองค์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจอันใด -อำนาจในการคลัง สภาฐานันดรเท่านั้นที่มีอำนาจในการเก็บภาษี อากรและค่าบรรณาการต่างๆ (tributes)
-อำนาจบริหาร สภาฐานันดรที่มีอำนาจในควบคุมการทำงานของสภาบริหารและกระทรวงทบวงกรมต่างๆในรัฐบาล โดยการตรวจสอบระบบและกระบวนการการทำงานในช่วงเวลาระหว่างสมัยประชุมสภา
-อำนาจในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ สภาฐานันดรยังมีอำนาจในการกำหนดทั้งวัตถุประสงค์ทั้งที่เป็นเรื่องทั่วไปและที่เฉพาะเจาะจงในนโยบายต่างประเทศ
-อำนาจในทางตุลาการ สภาฐานันดรมีอำนาจในการแต่งตั้งศาลสถิตยุติธรรมในการพิจารณาคดีพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นกรณีประเด็นทางการเมือง อีกทั้งสภาฐานันดรยังสามารถเข้าแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมปรกติได้ด้วย
-อำนาจในการกำหนดนโยบายภายในประเทศ สภาฐานันดรควบคุมนโยบายทั้งหมดของประเทศผ่านสภาบริหารและโดยการให้คำแนะนำในช่วงเวลาของการประชุมสภาฐานันดร
ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า สภาบริหารเป็นแค่คณะกรรมาธิการบริหารของฐานันดรทั้งสี่เท่านั้น (the four estates) และหากพระมหากษัตริย์ดึงดันที่จะไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยต่อร่างกฎหมาย ก็จะไม่มีผลใดๆ เพราะพระองค์จะทรงต้องยอมต่อเสียงส่วนใหญ่
ในความเห็นของ Cronholm รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และรูปแบบการปกครองใหม่ที่เกิดขี้นเป็นผลมาจากความหายนะของสงครามที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้การนำของ Charles XII ผู้คนตระหนักถึงการใช้พระราชอำนาจที่นำมาซึ่งความล้มเหลวของประเทศ และไม่สามารถไว้วางใจกับพระราชอำนาจอันไม่จำกัดได้อีกต่อไป รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ทำให้สวีเดนเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบผสมระหว่าง “คณาธิปไตยกับประชาธิปไตย” (democracy-oligarchy) โดยพระมหากษัตริย์ทรงถูกบังคับให้ต้องทำสัตย์ปฏิญาณที่จะยอมต่อสภาบริหารและปกครองตามเจตจำนงของสภาฐานันดร และหากพระองค์ทรงผิดคำสัตย์ปฏิญาณ พระองค์จะทรงยอมรับให้สภาฐานันดรยุติการจงรักภักดีต่อพระองค์ และจากการที่พระองค์ทรงทำสัตย์ปฏิญาณดังกล่าวนี้ พระองค์ได้ทรงสูญเสียพระราชอำนาจนิติบัญญัติทั้งหมดไป และอำนาจนิติบัญญัติจึงเป็นของสภาฐานันดรเท่านั้น
สภาฐานันดรประกอบไปด้วยฐานันดรทั้งสี่ที่มีการประชุมแยกจากกันก่อนที่จะประชุมใหญ่ร่วมกันในฐานะรัฐสภา ที่ประชุมของแต่ละฐานันดรถือว่าเป็นสภา อันได้แก่ สภาฐานันดรอภิชน สภาฐานันดรนักบวช สภาฐานันดรพ่อค้าคนเมืองที่เป็นตัวแทนของเมืองต่างๆ และสภาฐานันดรชาวนาที่เป็นตัวแทนของผู้คนในชนบท อันได้แก่ เจ้าที่ดินหรือชาวนา เส้นแบ่งของฐานันดรคือผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ฐานันดรที่ทรงอำนจสูงสุดคือ ฐานันดรอภิชน และจาก “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719” ทำให้เส้นแบ่งระหว่างอภิชนชั้นสูง (higher nobility) กับอภิชนชั้นรองลงไป (lower nobility) หายไป เพราะบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้อำนาจแก่อภิชนชั้นรองที่มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ในคนกลุ่มนี้มีฐานะยากจนและต้องอาศัยรายได้จากการได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ
ขณะเดียวกัน สภาฐานันดรนักบวชจะมีอิทธิพลทางการเมืองร่วมกกับพวกอภิชน แต่ด้วยผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ทำให้พวกนักบวชและอภิชนไม่สามารถกลมกลืนกันได้เท่าไรนัก
ส่วนฐานันดรชาวนาที่ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงเท่าไรนักภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และด้วยความวิตกและเกรงกลัวการปกครองที่อำนาจอยู่ในมือของพวกอภิชน พวกชาวนายังอยากจะให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากกว่านี้
แต่โดยรวม การปกครองที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1721 ได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นการรื้อฟื้น “เสรีภาพดั้งเดิมของสวีเดน” ให้กลับคืนมา ทำให้มีการเรียกขานช่วงเวลาภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 นี้ว่า “ยุคแห่งเสรีภาพทางการเมือง”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 จะไม่ได้เจาะจงลงไปแต่เพียงการป้องกันไม่ได้เกิดการปกครองแบบอัตตาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ (royal autocracy) เท่านั้น
แต่กระนั้นก็ตาม ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และในคำสัตย์ปฏิญาณของพระมหากษัตริย์ในปี ค.ศ. 1720, 1751, และ 1772 ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชดำรัสต่อสาธารณะว่าเป็นสิ่งที่ “ชอบธรรมและเป็นธรรมที่จะปฏิเสธและรังเกียจการปกครองอัตตาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ที่พระราชอำนาจไม่จำกัด” (unlimited royal autocracy or the so-called sovereignty) (et rattvist misshag och en billig avsky for thet oinskranckte konungslige envaldet eller den sa kallade souverainiteten)
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการกล่าวสัตย์ปฏิญาณของ Frederick I ในปี ค.ศ. 1720 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า หากเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงยอมรับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolutism) พระองค์จะต้องทรงถูกถอดถอน
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดไว้ว่า การสร้างแรงจูงใจต่อการประกาศให้อัตตาธิปไตย (autocracy) เป็นสิ่งต้องห้ามคือ การอธิบายว่า การปกครองดังกล่าวนี้ “อันตราย” (harmful) และ “ขัดต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ที่ดีของปิตุภูมิ” (the fatherland) และในหลายๆ ด้าน “ได้สร้างความเสียหาย ลดทอนความเข้มแข็งและทำให้ประเทศอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเจน” และใครก็ตามที่ส่งเสริมสนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะถือว่าเป็นศัตรูต่อองค์พระมหากษัตริย์และปิตุภูมิและถือว่าเป็นคนทรยศต่อชาติบ้านเมือง
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงปกครองประเทศโดยลำพังพระองค์เอง แต่ทรงบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับสภาบริหารที่รับผิดชอบต่อสภาฐานันดร (the Estates) แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาสมัยใหม่ ตรงที่ไม่ได้กำหนดให้รัฐมนตรีจะต้องได้รับความไว้วางใจจากเสียงข้างมากในสภา แต่ถ้าสภาฐานันดรพิจารณาว่าสมาชิสภาบริหารคนใดไม่สมควรได้รับความไว้วางใจ ก็จะถูกถอดถอนโดยกระบวนการที่รู้จักกันในนามของ licentiering หรือ “กระบวนการถอดถอน” นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ให้สภาฐานันดรเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง สภาฐานันดรจะประชุมทุกๆ สามปี และกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่แทรกแซงกิจการของสภาฐานันดร พระองค์ทรงถูกผูกมัดโดยรัฐธรรมนูญและคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน (the fundamental laws) ของแผ่นดิน หากพระองค์ทรงฝ่าฝืน สภาฐานันดรแห่งอาณาจักรจะไม่ถูกผูกมัดต่อคำสัตย์ปฏิญาณที่ว่าจะจงรักภักดีและสนับสนุนพระองค์อีกต่อไป ด้วยถือว่าพระมหากษัตริย์ทรง “ผิดสัญญา” และสภาฐานันดรจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดตามสัญญาที่ทำไว้อีกต่อไป
ดังนั้น โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว บทบาทของพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองภายใต้ยุคแห่งเสรีภาพจึงมีสถานะเป็นเพียงตัวแทน (representative one) ในแบบพิธีกรรม และจากการที่พระองค์ทรงไม่มีพระราชอำนาจโดยลำพังพระองค์ พระองค์จึงไม่ต้องทรงต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด ไม่ว่าจะต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือต่อสภาฐานันดร
แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าความไม่ต้องรับผิดชอบของพระมหากษัตริย์จะไม่มีปัญหา เพราะทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ควบคุมการใช้อำนาจของพระองค์ในทางปฏิบัติ เพราะในทางกฎหมาย พระองค์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจ แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงสามารถบริหารอาณาจักรผ่านสภาบริหารที่ตั้งไว้สิบหกคนจากรายชื่อที่เสนอโดยสภาฐานันดร ในที่ประชุมสภาบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงสามารถมีสองเสียงในกรณีที่เสียงแตก แต่กระนั้น พระองค์ก็ผูกพันกับการตัดสินของเสียงส่วนใหญ่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น จึงเป็นการยากที่พระมหากษัตริย์จะทรงมีบทบาทที่เป็นอิสระได้
กฎหมายพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ (the basic constitutional law) ได้ให้อำนาจเกือบจะสูงสุดทั้งหมดแก่สภาฐานันดร (riksdag of the Estates) นั่นคือ
-อำนาจนิติบัญญัติ ในทางทฤษฎี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการตรากฎหมายของสภาฐานันดร แต่ในทางปฏิบัติ พระองค์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจอันใด -อำนาจในการคลัง สภาฐานันดรเท่านั้นที่มีอำนาจในการเก็บภาษี อากรและค่าบรรณาการต่างๆ (tributes)
-อำนาจบริหาร สภาฐานันดรที่มีอำนาจในควบคุมการทำงานของสภาบริหารและกระทรวงทบวงกรมต่างๆในรัฐบาล โดยการตรวจสอบระบบและกระบวนการการทำงานในช่วงเวลาระหว่างสมัยประชุมสภา
-อำนาจในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ สภาฐานันดรยังมีอำนาจในการกำหนดทั้งวัตถุประสงค์ทั้งที่เป็นเรื่องทั่วไปและที่เฉพาะเจาะจงในนโยบายต่างประเทศ
-อำนาจในทางตุลาการ สภาฐานันดรมีอำนาจในการแต่งตั้งศาลสถิตยุติธรรมในการพิจารณาคดีพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นกรณีประเด็นทางการเมือง อีกทั้งสภาฐานันดรยังสามารถเข้าแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมปรกติได้ด้วย
-อำนาจในการกำหนดนโยบายภายในประเทศ สภาฐานันดรควบคุมนโยบายทั้งหมดของประเทศผ่านสภาบริหารและโดยการให้คำแนะนำในช่วงเวลาของการประชุมสภาฐานันดร
ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า สภาบริหารเป็นแค่คณะกรรมาธิการบริหารของฐานันดรทั้งสี่เท่านั้น (the four estates) และหากพระมหากษัตริย์ดึงดันที่จะไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยต่อร่างกฎหมาย ก็จะไม่มีผลใดๆ เพราะพระองค์จะทรงต้องยอมต่อเสียงส่วนใหญ่
ในความเห็นของ Cronholm รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และรูปแบบการปกครองใหม่ที่เกิดขี้นเป็นผลมาจากความหายนะของสงครามที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้การนำของ Charles XII ผู้คนตระหนักถึงการใช้พระราชอำนาจที่นำมาซึ่งความล้มเหลวของประเทศ และไม่สามารถไว้วางใจกับพระราชอำนาจอันไม่จำกัดได้อีกต่อไป รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ทำให้สวีเดนเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบผสมระหว่าง “คณาธิปไตยกับประชาธิปไตย” (democracy-oligarchy) โดยพระมหากษัตริย์ทรงถูกบังคับให้ต้องทำสัตย์ปฏิญาณที่จะยอมต่อสภาบริหารและปกครองตามเจตจำนงของสภาฐานันดร และหากพระองค์ทรงผิดคำสัตย์ปฏิญาณ พระองค์จะทรงยอมรับให้สภาฐานันดรยุติการจงรักภักดีต่อพระองค์ และจากการที่พระองค์ทรงทำสัตย์ปฏิญาณดังกล่าวนี้ พระองค์ได้ทรงสูญเสียพระราชอำนาจนิติบัญญัติทั้งหมดไป และอำนาจนิติบัญญัติจึงเป็นของสภาฐานันดรเท่านั้น
สภาฐานันดรประกอบไปด้วยฐานันดรทั้งสี่ที่มีการประชุมแยกจากกันก่อนที่จะประชุมใหญ่ร่วมกันในฐานะรัฐสภา ที่ประชุมของแต่ละฐานันดรถือว่าเป็นสภา อันได้แก่ สภาฐานันดรอภิชน สภาฐานันดรนักบวช สภาฐานันดรพ่อค้าคนเมืองที่เป็นตัวแทนของเมืองต่างๆ และสภาฐานันดรชาวนาที่เป็นตัวแทนของผู้คนในชนบท อันได้แก่ เจ้าที่ดินหรือชาวนา เส้นแบ่งของฐานันดรคือผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ฐานันดรที่ทรงอำนจสูงสุดคือ ฐานันดรอภิชน และจาก “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719” ทำให้เส้นแบ่งระหว่างอภิชนชั้นสูง (higher nobility) กับอภิชนชั้นรองลงไป (lower nobility) หายไป เพราะบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้อำนาจแก่อภิชนชั้นรองที่มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ในคนกลุ่มนี้มีฐานะยากจนและต้องอาศัยรายได้จากการได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ
ขณะเดียวกัน สภาฐานันดรนักบวชจะมีอิทธิพลทางการเมืองร่วมกกับพวกอภิชน แต่ด้วยผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ทำให้พวกนักบวชและอภิชนไม่สามารถกลมกลืนกันได้เท่าไรนัก
ส่วนฐานันดรชาวนาที่ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงเท่าไรนักภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และด้วยความวิตกและเกรงกลัวการปกครองที่อำนาจอยู่ในมือของพวกอภิชน พวกชาวนายังอยากจะให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากกว่านี้
แต่โดยรวม การปกครองที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1721 ได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นการรื้อฟื้น “เสรีภาพดั้งเดิมของสวีเดน” ให้กลับคืนมา ทำให้มีการเรียกขานช่วงเวลาภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 นี้ว่า “ยุคแห่งเสรีภาพทางการเมือง”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


