"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
รัฐบาลที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นานมักได้รับช่วงเวลาแห่ง “ความหวังและความคาดหวัง” จากสังคม ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่มีค่ามากที่สุดในระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ช่วงเวลานี้เรียกว่า “honeymoon period” ในวรรณกรรมทางการเมือง เป็นช่วงที่สังคมยินดีให้อภัยความผิดพลาดเล็กน้อย พร้อมที่จะรอคอยนโยบายสาธารณะที่สร้างสรรค์ และเปิดใจรับฟังคำอธิบายจากผู้นำใหม่ด้วยท่าทีที่เอื้อเฟื้อ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล พลวัตทางการเมืองในช่วงเริ่มต้นของอำนาจกลับบ่งชี้ถึง “การเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว” ทั้งในมิติความเชื่อมั่นของประชาชน วาทกรรมสาธารณะ และความสัมพันธ์ภายในเครือข่ายชนชั้นนำ ทุนทางการเมืองที่ควรจะค่อย ๆ ลดลงตามวาระการดำรงตำแหน่ง กลับถูกใช้จนหมดไปภายในไม่กี่สัปดาห์แรก สร้างสถานการณ์ที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
ตามแนวคิดของ แม็ก เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ความชอบธรรมของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ขึ้นอยู่กับสามฐานหลัก ซึ่งต่างทำงานเสริมกันและกันเป็นระบบ ได้แก่ ผลงาน (performance legitimacy) หรือความสามารถในการจัดการปัญหาและส่งมอบสินค้าสาธารณะ กระบวนการ (procedural legitimacy) ซึ่งหมายถึง การดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับหลักนิติธรรม และ ความเชื่อมั่นส่วนบุคคลของผู้นำ (personal legitimacy) ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางอารมณ์และจริยธรรมของผู้นำที่สังคมยอมรับ
กรณีของรัฐบาลอนุทินพบการสั่นคลอนพร้อมกันทั้งสามด้าน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่หาได้ยากในวงการวิชาการเรื่องวิกฤตความชอบธรรม โดยปกติ รัฐบาลที่อ่อนแอมักจะสั่นคลอนในด้านใดด้านหนึ่งก่อน แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปสู่ฐานอื่น ๆ แต่ในกรณีนี้ ความชอบธรรมทั้งสามมิติดูเหมือนจะถูกโจมตีพร้อมกัน สร้างภาวะที่เรียกได้ว่า “วิกฤตความชอบธรรมแบบรอบด้าน” (comprehensive legitimation crisis)
1. ผลงานที่ถูกตั้งคำถาม: บทเรียนจากวิกฤตภัยพิบัติ
วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ปี 2568 เปิดให้เห็นการจัดการที่สังคมมองว่า “ล่าช้า–สับสน–ไร้ระบบ” ทำให้รัฐบาลสูญเสียพื้นที่ความเชื่อมั่นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่น่าสังเกตคือความเร็วของการสูญเสียความเชื่อมั่นนี้ รัฐบาลที่ล้มเหลวในวิกฤตภัยพิบัติธรรมชาติจะเผชิญความเสื่อมอำนาจรวดเร็วกว่าวิกฤตประเภทอื่น เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ “ความล้มเหลวมองเห็นได้ชัดเจนและทันที”
ประการแรก ภัยพิบัติสร้างความทุกข์ทรมานที่จับต้องได้ มองเห็นได้ผ่านภาพถ่ายและวิดีโอที่แพร่กระจายในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สังคมเห็นผลกระทบโดยตรงและรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ประสบภัยอย่างทันที ประการที่สอง ภัยพิบัติไม่มี "ความคลุมเครือทางเทคนิค" เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจหรือนโยบายสาธารณะที่ซับซ้อน ประชาชนสามารถตัดสินได้ทันทีว่ารัฐบาลทำงานเร็วหรือช้า มีประสิทธิภาพหรือไม่ ประการที่สาม ภัยพิบัติไม่สามารถ “โยนความผิดให้รัฐบาลก่อน” ได้ เพราะทุกคนเข้าใจว่าธรรมชาติไม่อยู่ในการควบคุมของมนุษย์ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะถูกตัดสินคือ “การตอบสนอง” ไม่ใช่ “สาเหตุ”
ในกรณีของรัฐบาลอนุทิน ความล้มเหลวในการประสานงาน ความล่าช้าในการระดมทรัพยากร การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและขัดแย้งกัน และที่สำคัญที่สุดคือ “ขาดความรู้สึกเร่งด่วน” (sense of urgency) ในช่วงแรกของวิกฤต ล้วนสร้างภาพลักษณ์ของรัฐที่ไม่พร้อมรับมือกับความท้าทาย การเปรียบเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่จัดการวิกฤตคล้าย ๆ กันได้ดีกว่า หรือการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีระบบการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งทำให้ความล้มเหลวครั้งนี้ดูชัดเจนและรุนแรงขึ้น
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ วิกฤตน้ำท่วมเกิดขึ้นในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมกำลังสังเกตและประเมินความสามารถของรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด ความล้มเหลวในช่วงนี้จึงไม่เพียงสร้างความเสียหายในระยะสั้น แต่ยังสร้าง “ภาพจำที่ติดค้าง” ที่จะส่งผลต่อการรับรู้ของสังคมในทุกนโยบายที่ตามมา นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาสังคมเรียกว่า “อิทธิพลของความประทับใจแรกเริ่ม” (primacy effect) หรือประสบการณ์แรกมีอิทธิพลต่อการตัดสินครั้งต่อ ๆ ไปอย่างลึกซึ้ง
2 ความคลุมเครือของข้อมูลรัฐ: วิกฤตความเชื่อถือในยุคข้อมูลข่าวสาร
การแถลงของรัฐบาลในหลายครั้งมีความไม่สอดคล้องกัน ทั้งในแง่ตัวเลข การประเมินสถานการณ์ และแนวทางการแก้ไข ทำให้เกิดการรับรู้ในสังคมว่า “รัฐไม่พูดความจริง” หรือในกรณีที่ดีที่สุดก็คือ “รัฐไม่รู้ความจริง” ทั้งสองกรณีล้วนสร้างความเสียหายต่อความเชื่อถือในรัฐบาล
ปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคสมัยที่สื่อสังคมออนไลน์ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งพร้อมกัน และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อข้อมูลจากรัฐบาลขัดแย้งกับข้อมูลจากชุมชนท้องถิ่น สื่อมวลชน หรือองค์กรอิสระ ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจะถูกทำลายทันที และที่สำคัญกว่านั้น การพยายามแก้ไขข้อมูลภายหลังมักจะไม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อถือได้ เพราะความเสียหายเกิดขึ้นที่ระดับการรับรู้และอารมณ์มากกว่าระดับเหตุผล
นอกจากนี้ ความไม่สอดคล้องของข้อมูลยังสร้างความสับสนในการดำเนินงานภาคพื้น หน่วยงานท้องถิ่นไม่แน่ใจว่าควรปฏิบัติตามคำสั่งใด ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ต้องการช่วยเหลือไม่ทราบว่าควรประสานงานกับใคร และประชาชนเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อข้อมูลจากช่องทางใด ความสับสนนี้ไม่เพียงส่งผลเสียต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง แต่ยังสร้างความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่มีการเตรียมพร้อมและไม่มีแผนการจัดการที่ชัดเจน
3 ภาพลักษณ์ส่วนบุคคลที่เริ่มเสื่อมถอย: วิกฤตของผู้นำในสายตาสาธารณะ
รูปแบบการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะ “อารมณ์ขึ้น–ถอยหลัง–ขอโทษ–โทษระบบ” ทำให้เกิดภาพของผู้นำที่ “ขาดความมั่นคงทางอารมณ์” (emotional instability) ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ผู้นำอย่างสูง เช่นสังคมไทย
ในสังคมไทย ผู้นำที่ได้รับการยอมรับมักจะต้องแสดงคุณสมบัติบางประการที่ฝังลึกในวัฒนธรรมการเมือง ได้แก่ ความสงบเสงี่ยม ความมั่นใจที่ไม่หยิ่งยโส และความสามารถในการรับผิดชอบโดยไม่แสดงความอ่อนแอ เมื่อผู้นำแสดงพฤติกรรมที่ขัดกับคุณสมบัติเหล่านี้ โดยเฉพาะในเวทีสาธารณะที่มีการถ่ายทอดสดหรือถูกบันทึกไว้ ภาพลักษณ์ของผู้นำจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ การทำลายนี้มักจะเป็นการถาวร
การตอบโต้แบบอารมณ์ขึ้นทำให้ผู้นำดูเหมือน “ไม่อยู่เหนือเหตุการณ์” การถอยหลังและขอโทษทำให้ดูเหมือน “ไม่มั่นใจในการตัดสินใจ” และการโทษระบบหรือผู้อื่นทำให้ดูเหมือน “ไม่กล้ารับผิดชอบ” ทั้งสามพฤติกรรมนี้ล้วนขัดกับภาพของ “ผู้นำที่เข้มแข็ง” ที่สังคมไทยคาดหวัง และเมื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะกลายเป็น “ลักษณะประจำตัว” ที่สังคมจดจำและใช้ตัดสินผู้นำคนนั้นในทุกสถานการณ์ที่ตามมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ ช่วงเวลาของความล้มเหลวทางภาพลักษณ์เหล่านี้จะถูกตัดต่อ แชร์ ล้อเลียน และทำเป็นมีม ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์เชิงลบแพร่กระจายไปยังกลุ่มคนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวสารการเมืองอย่างใกล้ชิด การล้อเลียนเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ แต่ยังทำให้ผู้นำกลายเป็น “สัญลักษณ์ของความล้มเหลว” ในจินตนาการทางวัฒนธรรม
ครั้นเมื่อรัฐบาลแถลงการอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายสแกมเมอร์เพื่อกอบกู้ความชอบธรรมในบ่ายวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา สถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปอีก เพราะในไม่กี่ชั่วโมงของวันเดียวกันภาพของนายอนุทินดื่มไวน์กับบุคคลที่สื่อมวลชนและสังคมเชื่อมโยงกับทุนต่างชาติหรือทุนสีเทาก็ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลในภาพมีธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่การที่ผู้นำรัฐบาลปรากฏตัวในลักษณะที่ดูเป็นกันเองและเป็นส่วนตัวกับบุคคลเหล่านั้น ก็เพียงพอที่จะสร้างการรับรู้ว่ามี “ความสัมพันธ์พิเศษ” ระหว่างอำนาจรัฐกับอำนาจทุน ในขณะที่รัฐบาลประกาศนโยบายปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทุนต่างชาติในลักษณะที่ไม่โปร่งใส ภาพนี้กลับสร้างความรู้สึกว่าผู้นำเองกลับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มที่อยู่ในความสงสัยนั้น
สิ่งที่ทำให้วาทกรรมนี้มีพลังอย่างมากคือ มันไม่จำเป็นต้อง “พิสูจน์” ในความหมายทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริง ภาพทำงานในระดับความรู้สึกและการรับรู้ทันที คนที่เห็นภาพจะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ก่อนที่จะมีการไตร่ตรองทางเหตุผล และเมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นแล้ว การโน้มน้าวด้วยเหตุผลจะกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ภาพยังมีคุณสมบัติของการ “สื่อสารข้ามชนชั้น” คือ คนทุกชนชั้นสามารถเข้าใจและตีความภาพนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางการเมืองหรือเศรษฐศาสตร์ เพียงแค่มองเห็นก็สามารถสร้างความหมายและมีความรู้สึกได้ทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมวาทกรรมที่อิงจากภาพมักมีอำนาจมากกว่าวาทกรรมที่อิงจากข้อความหรือข้อโต้แย้งทางตรรกะ
เมื่อรัฐบาลพยายามอธิบาย แก้ต่าง หรือให้เหตุผลเกี่ยวกับภาพนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การทำให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับ แต่เป็นการทำให้ภาพนั้น “ชัดเจนและแพร่หลายยิ่งขึ้น” ตามหลักการที่เรียกว่า “ผลย้อนกลับ” คือ เมื่อคนเรามีความเชื่อหรือความรู้สึกอยู่แล้ว การพยายามโต้แย้งหรืออธิบายเพื่อเปลี่ยนความเชื่อนั้น มักจะทำให้ความเชื่อเดิมแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่อ่อนลง
รัฐบาลยิ่งอธิบายมาก ภาพนั้นก็ยิ่งถูกพูดถึงมาก สื่อมวลชนก็ยิ่งนำเสนอซ้ำ ๆ และประชาชนก็ยิ่งมีโอกาสเห็นและจดจำมากขึ้น การอธิบายแต่ละครั้งกลายเป็นการ “ทวนซ้ำ” ความเสียหายทางภาพลักษณ์ มากกว่าจะเป็นการแก้ไข นอกจากนี้ การอธิบายยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็น “ประเด็นสาธารณะที่สำคัญ” เพราะหากไม่สำคัญ รัฐบาลก็คงไม่ต้องเสียเวลามาอธิบาย
นี่คือจุดที่รัฐบาลเริ่มเสียเสถียรภาพเชิงวาทกรรมอย่างถาวร เมื่อรัฐไม่สามารถกำหนดเรื่องเล่าหรือควบคุมกรอบการพูดคุยสาธารณะได้อีกต่อไป รัฐก็จะอยู่ในฐานะ “ผู้ถูกกำหนด” ไม่ใช่ “ผู้กำหนด” ในวาทกรรมสาธารณะ และเมื่อรัฐกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ มันจะต้องใช้พลังงานและทรัพยากรอันมหาศาลเพียงเพื่อ “ควบคุมความเสียหาย”
รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่หรือไปเพราะประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการประสานประโยชน์และความร่วมมือของ “เครือข่ายชนชั้นนำ” ที่ประกอบด้วยกลุ่มทุน ข้าราชการระดับสูง ทหาร นักการเมืองจากพรรคร่วม สื่อมวลชน และสถาบันสำคัญต่าง ๆ ความมั่นคงของรัฐบาลจึงไม่ได้วัดจากคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความเข้มแข็งของเครือข่ายชนชั้นนำที่คอยค้ำจุนอำนาจอยู่เบื้องหลัง เมื่อเครือข่ายนี้เริ่มสั่นคลอน เริ่มมีการถอนตัว หรือเริ่มมองหาทางเลือกอื่น นั่นคือสัญญาณของวิกฤตที่ลึกซึ้งกว่าวิกฤตความนิยมจากประชาชนมาก
สัญญาณที่สำคัญที่สุดของความสั่นคลอนในเครือข่ายชนชั้นนำคือ “ความเงียบ” ของกลุ่มที่ควรจะออกมาปกป้องหรือสนับสนุนรัฐบาล ในวิกฤตครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่กลุ่มนักธุรกิจที่มักจะออกมาให้กำลังใจหรือแสดงความเชื่อมั่นกลับเลือกที่จะเงียบ หรือกล่าวในลักษณะที่คลุมเครือและระมัดระวัง ความเงียบนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์ แต่บ่งบอกว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้นานพอที่จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงชื่อเสียงของตนเองในการปกป้อง
ในระบบการเมืองไทย ผู้นำที่ถูกมองว่าอ่อนแอจะสูญเสียการสนับสนุนจากชนชั้นนำอย่างรวดเร็ว เพราะชนชั้นนำต้องการความมั่นคงและความสามารถในการคาดการณ์ในการทำงานเบื้องหลัง พวกเขาต้องการผู้นำที่สามารถ “รักษาเสถียรภาพ-ตัดสินใจได้เด็ดขาดและปกป้องพันธมิตรได้”
เมื่อผู้นำแสดงอาการของความอ่อนแอ ไม่ว่าจะผ่านการตอบสนองที่ลังเล การเปลี่ยนใจบ่อย ๆ หรือการไม่สามารถควบคุมเรื่องเล่าสาธารณะได้ ชนชั้นนำจะเริ่มประเมินใหม่ว่าการร่วมมือกับรัฐบาลนี้ต่อไปยังคุ้มค่าหรือไม่ พวกเขาจะเริ่มคำนวณ “ต้นทุนทางการเมือง” ของการยังคงสนับสนุนรัฐบาลที่กำลังสูญเสียความนิยม เทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ
รัฐบาลที่ถูกอ่านว่า “ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” จะถูกปรับบทบาทจาก “ผู้นำ” ไปเป็น “ภาระ” ของโครงสร้างอำนาจ และเมื่อถึงจุดนั้น แรงผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจะมาจากภายในโครงสร้างอำนาจเองมากกว่าจากแรงกดดันจากฝ่ายค้านหรือประชาชน ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลหลายรัฐบาลล่มสลายไม่ใช่เพราะประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้ม แต่เพราะชนชั้นนำตัดสินใจว่า “ได้เวลาเปลี่ยน” แล้ว
นอกจากนี้ ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ ชนชั้นนำก็ต้องคำนึงถึง “ภาพลักษณ์สาธารณะ” ของตนเองด้วย การที่พวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลที่ประชาชนมองว่าล้มเหลว อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและธุรกิจของพวกเขา ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะยังได้ประโยชน์จากรัฐบาลนี้อยู่ แต่พวกเขาก็อาจเลือกที่จะถอนตัวหรือรอคอยโอกาสที่เหมาะสมในการเปลี่ยนข้าง
รัฐบาลอนุทินกำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า “วิกฤตสามชั้น” ซึ่งประกอบด้วย วิกฤตนโยบาย (Policy Crisis) หรือ ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวิกฤตภัยพิบัติที่เป็นการทดสอบความสามารถของรัฐอย่างแท้จริง วิกฤตเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Crisis) ซึ่งเป็นการสูญเสียการควบคุมภาพลักษณ์และเรื่องเล่าสาธารณะ จนกลายเป็นฝ่ายถูกกำหนดความหมายโดยผู้อื่น และวิกฤตความเชื่อมั่น (Trust Crisis) หรือการสูญเสียความเชื่อมั่นจากทั้งประชาชนและชนชั้นนำ ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุด
เมื่อวิกฤตทั้งสามเกิดขึ้นพร้อมกัน รัฐบาลจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “วังวนแห่งการเสื่อม” คือ สถานการณ์ที่ความล้มเหลวในด้านหนึ่งจะทำให้เกิดความล้มเหลวในอีกด้านหนึ่ง และวนซ้ำไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถหยุดได้ตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวในการจัดการวิกฤต (วิกฤตนโยบาย) ทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย (วิกฤตเชิงสัญลักษณ์) ภาพลักษณ์ที่เสียหายทำให้ชนชั้นนำเริ่มถอนตัว (วิกฤตความเชื่อมั่น) การถอนตัวของชนชั้นนำทำให้รัฐบาลมีทรัพยากรน้อยลงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวในนโยบายครั้งต่อไป และวงจรก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่รุนแรงขึ้นทุกรอบ
การเสื่อมอำนาจประเภทนี้มักลงเอยด้วยผลลัพธ์หลายรูปแบบที่สามารถเกิดขึ้นแยกหรือรวมกัน
ประการแรก ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง เมื่อรัฐบาลอ่อนแอลง กระทรวงและรัฐมนตรีแต่ละคนจะเริ่มทำงานเพื่อปกป้องตัวเองมากกว่าเพื่อส่วนรวม จะเกิดการโยนความผิดให้กันและกัน การปฏิเสธความรับผิดชอบ และการแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
ประการที่สองช่อง ว่างให้ฝ่ายค้านรุกได้มากขึ้น ฝ่ายค้านจะมีพื้นที่ในการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอทางเลือกมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีเวลาหรือทรัพยากรในการตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม ภาวะไร้เสถียรภาพทางนโยบาย รัฐบาลจะเริ่มประกาศนโยบายแบบหวือหวา เพื่อพยายามฟื้นฟูความนิยม แต่ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือยิ่งลดลงไปอีก
และประการที่สี่ การเปลี่ยนผู้นำกลางวาระ หรือการยุบสภา ในที่สุด เมื่อสถานการณ์แย่ลงจนไม่สามารถทนได้ ทางออกที่เป็นไปได้คือการเปลี่ยนผู้นำใหม่ภายในพรรคเดิม (เพื่อสร้างภาพการเริ่มต้นใหม่) หรือการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
ชะตากรรมของรัฐบาลอนุทินมีแนวโน้มเผชิญความยากลำบากที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าสู่ “ภาวะเสื่อมอำนาจเร่งตัว” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ความชอบธรรมและทุนทางการเมืองถูกทำลายเร็วกว่าที่รัฐบาลจะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ การเสื่อมอำนาจในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดครั้งเดียว แต่เกิดจากการสะสมของความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เมื่อรวมกันแล้วกลายเป็นวิกฤตโครงสร้าง และที่สำคัญกว่านั้น เมื่อเข้าสู่วังวนแห่งการเสื่อมแล้ว การหยุดหรือกลับทิศทางจะยากยิ่งขึ้นทุกวัน เพราะทุกความพยายามในการแก้ไขอาจกลายเป็นข้อพิสูจน์ของความอ่อนแอมากกว่าจะเป็นการแสดงความเข้มแข็ง
การวิเคราะห์นี้ไม่ได้มุ่งหวังที่จะเป็นคำพยากรณ์ที่แน่นอน แต่เป็นการชี้ให้เห็น “โครงสร้างของวิกฤต” ที่กำลังดำเนินอยู่ และเพื่อเตือนว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรากฐาน ไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนพื้นผิว ชะตากรรมของรัฐบาลนี้อาจจะถูกกำหนดไปแล้ว ไม่ใช่โดยศัตรูจากภายนอก แต่โดยพลวัตภายในของอำนาจที่กำลังสลายตัวเอง
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
รัฐบาลที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นานมักได้รับช่วงเวลาแห่ง “ความหวังและความคาดหวัง” จากสังคม ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่มีค่ามากที่สุดในระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ช่วงเวลานี้เรียกว่า “honeymoon period” ในวรรณกรรมทางการเมือง เป็นช่วงที่สังคมยินดีให้อภัยความผิดพลาดเล็กน้อย พร้อมที่จะรอคอยนโยบายสาธารณะที่สร้างสรรค์ และเปิดใจรับฟังคำอธิบายจากผู้นำใหม่ด้วยท่าทีที่เอื้อเฟื้อ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล พลวัตทางการเมืองในช่วงเริ่มต้นของอำนาจกลับบ่งชี้ถึง “การเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว” ทั้งในมิติความเชื่อมั่นของประชาชน วาทกรรมสาธารณะ และความสัมพันธ์ภายในเครือข่ายชนชั้นนำ ทุนทางการเมืองที่ควรจะค่อย ๆ ลดลงตามวาระการดำรงตำแหน่ง กลับถูกใช้จนหมดไปภายในไม่กี่สัปดาห์แรก สร้างสถานการณ์ที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
ตามแนวคิดของ แม็ก เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ความชอบธรรมของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ขึ้นอยู่กับสามฐานหลัก ซึ่งต่างทำงานเสริมกันและกันเป็นระบบ ได้แก่ ผลงาน (performance legitimacy) หรือความสามารถในการจัดการปัญหาและส่งมอบสินค้าสาธารณะ กระบวนการ (procedural legitimacy) ซึ่งหมายถึง การดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับหลักนิติธรรม และ ความเชื่อมั่นส่วนบุคคลของผู้นำ (personal legitimacy) ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางอารมณ์และจริยธรรมของผู้นำที่สังคมยอมรับ
กรณีของรัฐบาลอนุทินพบการสั่นคลอนพร้อมกันทั้งสามด้าน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่หาได้ยากในวงการวิชาการเรื่องวิกฤตความชอบธรรม โดยปกติ รัฐบาลที่อ่อนแอมักจะสั่นคลอนในด้านใดด้านหนึ่งก่อน แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปสู่ฐานอื่น ๆ แต่ในกรณีนี้ ความชอบธรรมทั้งสามมิติดูเหมือนจะถูกโจมตีพร้อมกัน สร้างภาวะที่เรียกได้ว่า “วิกฤตความชอบธรรมแบบรอบด้าน” (comprehensive legitimation crisis)
1. ผลงานที่ถูกตั้งคำถาม: บทเรียนจากวิกฤตภัยพิบัติ
วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ปี 2568 เปิดให้เห็นการจัดการที่สังคมมองว่า “ล่าช้า–สับสน–ไร้ระบบ” ทำให้รัฐบาลสูญเสียพื้นที่ความเชื่อมั่นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่น่าสังเกตคือความเร็วของการสูญเสียความเชื่อมั่นนี้ รัฐบาลที่ล้มเหลวในวิกฤตภัยพิบัติธรรมชาติจะเผชิญความเสื่อมอำนาจรวดเร็วกว่าวิกฤตประเภทอื่น เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ “ความล้มเหลวมองเห็นได้ชัดเจนและทันที”
ประการแรก ภัยพิบัติสร้างความทุกข์ทรมานที่จับต้องได้ มองเห็นได้ผ่านภาพถ่ายและวิดีโอที่แพร่กระจายในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สังคมเห็นผลกระทบโดยตรงและรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ประสบภัยอย่างทันที ประการที่สอง ภัยพิบัติไม่มี "ความคลุมเครือทางเทคนิค" เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจหรือนโยบายสาธารณะที่ซับซ้อน ประชาชนสามารถตัดสินได้ทันทีว่ารัฐบาลทำงานเร็วหรือช้า มีประสิทธิภาพหรือไม่ ประการที่สาม ภัยพิบัติไม่สามารถ “โยนความผิดให้รัฐบาลก่อน” ได้ เพราะทุกคนเข้าใจว่าธรรมชาติไม่อยู่ในการควบคุมของมนุษย์ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะถูกตัดสินคือ “การตอบสนอง” ไม่ใช่ “สาเหตุ”
ในกรณีของรัฐบาลอนุทิน ความล้มเหลวในการประสานงาน ความล่าช้าในการระดมทรัพยากร การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและขัดแย้งกัน และที่สำคัญที่สุดคือ “ขาดความรู้สึกเร่งด่วน” (sense of urgency) ในช่วงแรกของวิกฤต ล้วนสร้างภาพลักษณ์ของรัฐที่ไม่พร้อมรับมือกับความท้าทาย การเปรียบเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่จัดการวิกฤตคล้าย ๆ กันได้ดีกว่า หรือการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีระบบการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งทำให้ความล้มเหลวครั้งนี้ดูชัดเจนและรุนแรงขึ้น
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ วิกฤตน้ำท่วมเกิดขึ้นในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมกำลังสังเกตและประเมินความสามารถของรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด ความล้มเหลวในช่วงนี้จึงไม่เพียงสร้างความเสียหายในระยะสั้น แต่ยังสร้าง “ภาพจำที่ติดค้าง” ที่จะส่งผลต่อการรับรู้ของสังคมในทุกนโยบายที่ตามมา นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาสังคมเรียกว่า “อิทธิพลของความประทับใจแรกเริ่ม” (primacy effect) หรือประสบการณ์แรกมีอิทธิพลต่อการตัดสินครั้งต่อ ๆ ไปอย่างลึกซึ้ง
2 ความคลุมเครือของข้อมูลรัฐ: วิกฤตความเชื่อถือในยุคข้อมูลข่าวสาร
การแถลงของรัฐบาลในหลายครั้งมีความไม่สอดคล้องกัน ทั้งในแง่ตัวเลข การประเมินสถานการณ์ และแนวทางการแก้ไข ทำให้เกิดการรับรู้ในสังคมว่า “รัฐไม่พูดความจริง” หรือในกรณีที่ดีที่สุดก็คือ “รัฐไม่รู้ความจริง” ทั้งสองกรณีล้วนสร้างความเสียหายต่อความเชื่อถือในรัฐบาล
ปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคสมัยที่สื่อสังคมออนไลน์ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งพร้อมกัน และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อข้อมูลจากรัฐบาลขัดแย้งกับข้อมูลจากชุมชนท้องถิ่น สื่อมวลชน หรือองค์กรอิสระ ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจะถูกทำลายทันที และที่สำคัญกว่านั้น การพยายามแก้ไขข้อมูลภายหลังมักจะไม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อถือได้ เพราะความเสียหายเกิดขึ้นที่ระดับการรับรู้และอารมณ์มากกว่าระดับเหตุผล
นอกจากนี้ ความไม่สอดคล้องของข้อมูลยังสร้างความสับสนในการดำเนินงานภาคพื้น หน่วยงานท้องถิ่นไม่แน่ใจว่าควรปฏิบัติตามคำสั่งใด ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ต้องการช่วยเหลือไม่ทราบว่าควรประสานงานกับใคร และประชาชนเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อข้อมูลจากช่องทางใด ความสับสนนี้ไม่เพียงส่งผลเสียต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง แต่ยังสร้างความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่มีการเตรียมพร้อมและไม่มีแผนการจัดการที่ชัดเจน
3 ภาพลักษณ์ส่วนบุคคลที่เริ่มเสื่อมถอย: วิกฤตของผู้นำในสายตาสาธารณะ
รูปแบบการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะ “อารมณ์ขึ้น–ถอยหลัง–ขอโทษ–โทษระบบ” ทำให้เกิดภาพของผู้นำที่ “ขาดความมั่นคงทางอารมณ์” (emotional instability) ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ผู้นำอย่างสูง เช่นสังคมไทย
ในสังคมไทย ผู้นำที่ได้รับการยอมรับมักจะต้องแสดงคุณสมบัติบางประการที่ฝังลึกในวัฒนธรรมการเมือง ได้แก่ ความสงบเสงี่ยม ความมั่นใจที่ไม่หยิ่งยโส และความสามารถในการรับผิดชอบโดยไม่แสดงความอ่อนแอ เมื่อผู้นำแสดงพฤติกรรมที่ขัดกับคุณสมบัติเหล่านี้ โดยเฉพาะในเวทีสาธารณะที่มีการถ่ายทอดสดหรือถูกบันทึกไว้ ภาพลักษณ์ของผู้นำจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ การทำลายนี้มักจะเป็นการถาวร
การตอบโต้แบบอารมณ์ขึ้นทำให้ผู้นำดูเหมือน “ไม่อยู่เหนือเหตุการณ์” การถอยหลังและขอโทษทำให้ดูเหมือน “ไม่มั่นใจในการตัดสินใจ” และการโทษระบบหรือผู้อื่นทำให้ดูเหมือน “ไม่กล้ารับผิดชอบ” ทั้งสามพฤติกรรมนี้ล้วนขัดกับภาพของ “ผู้นำที่เข้มแข็ง” ที่สังคมไทยคาดหวัง และเมื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะกลายเป็น “ลักษณะประจำตัว” ที่สังคมจดจำและใช้ตัดสินผู้นำคนนั้นในทุกสถานการณ์ที่ตามมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ ช่วงเวลาของความล้มเหลวทางภาพลักษณ์เหล่านี้จะถูกตัดต่อ แชร์ ล้อเลียน และทำเป็นมีม ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์เชิงลบแพร่กระจายไปยังกลุ่มคนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวสารการเมืองอย่างใกล้ชิด การล้อเลียนเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ แต่ยังทำให้ผู้นำกลายเป็น “สัญลักษณ์ของความล้มเหลว” ในจินตนาการทางวัฒนธรรม
ครั้นเมื่อรัฐบาลแถลงการอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายสแกมเมอร์เพื่อกอบกู้ความชอบธรรมในบ่ายวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา สถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปอีก เพราะในไม่กี่ชั่วโมงของวันเดียวกันภาพของนายอนุทินดื่มไวน์กับบุคคลที่สื่อมวลชนและสังคมเชื่อมโยงกับทุนต่างชาติหรือทุนสีเทาก็ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลในภาพมีธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่การที่ผู้นำรัฐบาลปรากฏตัวในลักษณะที่ดูเป็นกันเองและเป็นส่วนตัวกับบุคคลเหล่านั้น ก็เพียงพอที่จะสร้างการรับรู้ว่ามี “ความสัมพันธ์พิเศษ” ระหว่างอำนาจรัฐกับอำนาจทุน ในขณะที่รัฐบาลประกาศนโยบายปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทุนต่างชาติในลักษณะที่ไม่โปร่งใส ภาพนี้กลับสร้างความรู้สึกว่าผู้นำเองกลับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มที่อยู่ในความสงสัยนั้น
สิ่งที่ทำให้วาทกรรมนี้มีพลังอย่างมากคือ มันไม่จำเป็นต้อง “พิสูจน์” ในความหมายทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริง ภาพทำงานในระดับความรู้สึกและการรับรู้ทันที คนที่เห็นภาพจะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ก่อนที่จะมีการไตร่ตรองทางเหตุผล และเมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นแล้ว การโน้มน้าวด้วยเหตุผลจะกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ภาพยังมีคุณสมบัติของการ “สื่อสารข้ามชนชั้น” คือ คนทุกชนชั้นสามารถเข้าใจและตีความภาพนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางการเมืองหรือเศรษฐศาสตร์ เพียงแค่มองเห็นก็สามารถสร้างความหมายและมีความรู้สึกได้ทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมวาทกรรมที่อิงจากภาพมักมีอำนาจมากกว่าวาทกรรมที่อิงจากข้อความหรือข้อโต้แย้งทางตรรกะ
เมื่อรัฐบาลพยายามอธิบาย แก้ต่าง หรือให้เหตุผลเกี่ยวกับภาพนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การทำให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับ แต่เป็นการทำให้ภาพนั้น “ชัดเจนและแพร่หลายยิ่งขึ้น” ตามหลักการที่เรียกว่า “ผลย้อนกลับ” คือ เมื่อคนเรามีความเชื่อหรือความรู้สึกอยู่แล้ว การพยายามโต้แย้งหรืออธิบายเพื่อเปลี่ยนความเชื่อนั้น มักจะทำให้ความเชื่อเดิมแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่อ่อนลง
รัฐบาลยิ่งอธิบายมาก ภาพนั้นก็ยิ่งถูกพูดถึงมาก สื่อมวลชนก็ยิ่งนำเสนอซ้ำ ๆ และประชาชนก็ยิ่งมีโอกาสเห็นและจดจำมากขึ้น การอธิบายแต่ละครั้งกลายเป็นการ “ทวนซ้ำ” ความเสียหายทางภาพลักษณ์ มากกว่าจะเป็นการแก้ไข นอกจากนี้ การอธิบายยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็น “ประเด็นสาธารณะที่สำคัญ” เพราะหากไม่สำคัญ รัฐบาลก็คงไม่ต้องเสียเวลามาอธิบาย
นี่คือจุดที่รัฐบาลเริ่มเสียเสถียรภาพเชิงวาทกรรมอย่างถาวร เมื่อรัฐไม่สามารถกำหนดเรื่องเล่าหรือควบคุมกรอบการพูดคุยสาธารณะได้อีกต่อไป รัฐก็จะอยู่ในฐานะ “ผู้ถูกกำหนด” ไม่ใช่ “ผู้กำหนด” ในวาทกรรมสาธารณะ และเมื่อรัฐกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ มันจะต้องใช้พลังงานและทรัพยากรอันมหาศาลเพียงเพื่อ “ควบคุมความเสียหาย”
รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่หรือไปเพราะประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการประสานประโยชน์และความร่วมมือของ “เครือข่ายชนชั้นนำ” ที่ประกอบด้วยกลุ่มทุน ข้าราชการระดับสูง ทหาร นักการเมืองจากพรรคร่วม สื่อมวลชน และสถาบันสำคัญต่าง ๆ ความมั่นคงของรัฐบาลจึงไม่ได้วัดจากคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความเข้มแข็งของเครือข่ายชนชั้นนำที่คอยค้ำจุนอำนาจอยู่เบื้องหลัง เมื่อเครือข่ายนี้เริ่มสั่นคลอน เริ่มมีการถอนตัว หรือเริ่มมองหาทางเลือกอื่น นั่นคือสัญญาณของวิกฤตที่ลึกซึ้งกว่าวิกฤตความนิยมจากประชาชนมาก
สัญญาณที่สำคัญที่สุดของความสั่นคลอนในเครือข่ายชนชั้นนำคือ “ความเงียบ” ของกลุ่มที่ควรจะออกมาปกป้องหรือสนับสนุนรัฐบาล ในวิกฤตครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่กลุ่มนักธุรกิจที่มักจะออกมาให้กำลังใจหรือแสดงความเชื่อมั่นกลับเลือกที่จะเงียบ หรือกล่าวในลักษณะที่คลุมเครือและระมัดระวัง ความเงียบนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์ แต่บ่งบอกว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้นานพอที่จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงชื่อเสียงของตนเองในการปกป้อง
ในระบบการเมืองไทย ผู้นำที่ถูกมองว่าอ่อนแอจะสูญเสียการสนับสนุนจากชนชั้นนำอย่างรวดเร็ว เพราะชนชั้นนำต้องการความมั่นคงและความสามารถในการคาดการณ์ในการทำงานเบื้องหลัง พวกเขาต้องการผู้นำที่สามารถ “รักษาเสถียรภาพ-ตัดสินใจได้เด็ดขาดและปกป้องพันธมิตรได้”
เมื่อผู้นำแสดงอาการของความอ่อนแอ ไม่ว่าจะผ่านการตอบสนองที่ลังเล การเปลี่ยนใจบ่อย ๆ หรือการไม่สามารถควบคุมเรื่องเล่าสาธารณะได้ ชนชั้นนำจะเริ่มประเมินใหม่ว่าการร่วมมือกับรัฐบาลนี้ต่อไปยังคุ้มค่าหรือไม่ พวกเขาจะเริ่มคำนวณ “ต้นทุนทางการเมือง” ของการยังคงสนับสนุนรัฐบาลที่กำลังสูญเสียความนิยม เทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ
รัฐบาลที่ถูกอ่านว่า “ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” จะถูกปรับบทบาทจาก “ผู้นำ” ไปเป็น “ภาระ” ของโครงสร้างอำนาจ และเมื่อถึงจุดนั้น แรงผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจะมาจากภายในโครงสร้างอำนาจเองมากกว่าจากแรงกดดันจากฝ่ายค้านหรือประชาชน ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลหลายรัฐบาลล่มสลายไม่ใช่เพราะประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้ม แต่เพราะชนชั้นนำตัดสินใจว่า “ได้เวลาเปลี่ยน” แล้ว
นอกจากนี้ ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ ชนชั้นนำก็ต้องคำนึงถึง “ภาพลักษณ์สาธารณะ” ของตนเองด้วย การที่พวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลที่ประชาชนมองว่าล้มเหลว อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและธุรกิจของพวกเขา ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะยังได้ประโยชน์จากรัฐบาลนี้อยู่ แต่พวกเขาก็อาจเลือกที่จะถอนตัวหรือรอคอยโอกาสที่เหมาะสมในการเปลี่ยนข้าง
รัฐบาลอนุทินกำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า “วิกฤตสามชั้น” ซึ่งประกอบด้วย วิกฤตนโยบาย (Policy Crisis) หรือ ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวิกฤตภัยพิบัติที่เป็นการทดสอบความสามารถของรัฐอย่างแท้จริง วิกฤตเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Crisis) ซึ่งเป็นการสูญเสียการควบคุมภาพลักษณ์และเรื่องเล่าสาธารณะ จนกลายเป็นฝ่ายถูกกำหนดความหมายโดยผู้อื่น และวิกฤตความเชื่อมั่น (Trust Crisis) หรือการสูญเสียความเชื่อมั่นจากทั้งประชาชนและชนชั้นนำ ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุด
เมื่อวิกฤตทั้งสามเกิดขึ้นพร้อมกัน รัฐบาลจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “วังวนแห่งการเสื่อม” คือ สถานการณ์ที่ความล้มเหลวในด้านหนึ่งจะทำให้เกิดความล้มเหลวในอีกด้านหนึ่ง และวนซ้ำไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถหยุดได้ตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวในการจัดการวิกฤต (วิกฤตนโยบาย) ทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย (วิกฤตเชิงสัญลักษณ์) ภาพลักษณ์ที่เสียหายทำให้ชนชั้นนำเริ่มถอนตัว (วิกฤตความเชื่อมั่น) การถอนตัวของชนชั้นนำทำให้รัฐบาลมีทรัพยากรน้อยลงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวในนโยบายครั้งต่อไป และวงจรก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่รุนแรงขึ้นทุกรอบ
การเสื่อมอำนาจประเภทนี้มักลงเอยด้วยผลลัพธ์หลายรูปแบบที่สามารถเกิดขึ้นแยกหรือรวมกัน
ประการแรก ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง เมื่อรัฐบาลอ่อนแอลง กระทรวงและรัฐมนตรีแต่ละคนจะเริ่มทำงานเพื่อปกป้องตัวเองมากกว่าเพื่อส่วนรวม จะเกิดการโยนความผิดให้กันและกัน การปฏิเสธความรับผิดชอบ และการแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
ประการที่สองช่อง ว่างให้ฝ่ายค้านรุกได้มากขึ้น ฝ่ายค้านจะมีพื้นที่ในการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอทางเลือกมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีเวลาหรือทรัพยากรในการตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม ภาวะไร้เสถียรภาพทางนโยบาย รัฐบาลจะเริ่มประกาศนโยบายแบบหวือหวา เพื่อพยายามฟื้นฟูความนิยม แต่ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือยิ่งลดลงไปอีก
และประการที่สี่ การเปลี่ยนผู้นำกลางวาระ หรือการยุบสภา ในที่สุด เมื่อสถานการณ์แย่ลงจนไม่สามารถทนได้ ทางออกที่เป็นไปได้คือการเปลี่ยนผู้นำใหม่ภายในพรรคเดิม (เพื่อสร้างภาพการเริ่มต้นใหม่) หรือการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
ชะตากรรมของรัฐบาลอนุทินมีแนวโน้มเผชิญความยากลำบากที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าสู่ “ภาวะเสื่อมอำนาจเร่งตัว” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ความชอบธรรมและทุนทางการเมืองถูกทำลายเร็วกว่าที่รัฐบาลจะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ การเสื่อมอำนาจในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดครั้งเดียว แต่เกิดจากการสะสมของความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เมื่อรวมกันแล้วกลายเป็นวิกฤตโครงสร้าง และที่สำคัญกว่านั้น เมื่อเข้าสู่วังวนแห่งการเสื่อมแล้ว การหยุดหรือกลับทิศทางจะยากยิ่งขึ้นทุกวัน เพราะทุกความพยายามในการแก้ไขอาจกลายเป็นข้อพิสูจน์ของความอ่อนแอมากกว่าจะเป็นการแสดงความเข้มแข็ง
การวิเคราะห์นี้ไม่ได้มุ่งหวังที่จะเป็นคำพยากรณ์ที่แน่นอน แต่เป็นการชี้ให้เห็น “โครงสร้างของวิกฤต” ที่กำลังดำเนินอยู่ และเพื่อเตือนว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรากฐาน ไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนพื้นผิว ชะตากรรมของรัฐบาลนี้อาจจะถูกกำหนดไปแล้ว ไม่ใช่โดยศัตรูจากภายนอก แต่โดยพลวัตภายในของอำนาจที่กำลังสลายตัวเอง


