ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ว่าด้วยเรื่องแมวๆ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ “แมวไทยแท้ 5 สายพันธุ์” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ประกอบด้วย แมวศุภลักษณ์ แมวโคราช แมววิเชียรมาศ แมวโกญจา และแมวขาวมณี จับตาเทรนด์ Adopt Don’t Shop “รับเลี้ยงแมวจร” ทาสสายเปย์ดันตลาดสัตว์เลี้ยงพุ่ง 75,000 ล้านบาท
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการกำหนดให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ตามที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (กอช.) เสนอ โดยเผยว่าจากผลการศึกษาทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทางพันธุกรรมของแมวไทยนั้น พบว่าแมวไทยเป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ทั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยที่มีความโดดเด่น มีความแตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน แมวไทยเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน โดยปรากฏหลักฐานการมีอยู่ของแมวไทยมาตั้งแต่ในอดีต อีกทั้งยังมีความเกี่ยวพันในด้านต่างๆ ทั้งความเชื่อ วิถีชีวิต สังคม ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของคนไทย
ดังนั้น แมวไทย จัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวที่ได้รับการยอมรับถึงความพิเศษในระดับสากลและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทำให้ชาวต่างชาติมีความพยายามที่จะนำแมวไทยพันธุ์แท้ไปจดทะเบียน กำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ โดยปัจจุบันมีแมวไทยพันธุ์แท้เหลืออยู่ 5 สายพันธุ์ ได้แก่ แมวศุภลักษณ์ แมวโคราช แมววิเชียรมาศ แมวโกญจา หรือโกนจา และแมวขาวมณี
นำสู่การพิจารณาให้ความสำคัญกับการประกาศให้แมวไทย 5 สายพันธุ์เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่านำไปสู่การอนุรักษ์และร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานของแมวไทยพันธุ์แท้ในแนวทางเดียวกัน ส่งเสริมการเลี้ยงแมวไทยพันธุ์แท้ให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสายพันธุ์แมวไทยและป้องกันการนำไปจดทะเบียนโดยชาวต่างชาติ รวมทั้ง ยังเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เกี่ยวเนื่องกับแมวไทย
“แมวศุภลักษณ์” หรือ “แมวทองแดง (Copper)” - เพราะมีขนสีน้ำตาลเข้มเหมือนสีทองแดงทั้งตัว ตามีสีเหลืองเป็นประกาย ยังมีแมวอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแมวศุภลักษณ์ของไทย ที่หลงเข้าไปอยู่ในประเทศพม่า เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดย ดร.โจเซฟ ซีทอมสัน ชาวอเมริกัน ได้นำลูกแมวจากพม่าไปพัฒนาสายพันธุ์ และจดทะเบียนที่อังกฤษ ด้วยเห็นว่ามีรูปร่างลักษณะดี ในชื่อ แมวพม่า (Burmese Cat) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแมวศุภลักษณ์ของไทย
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา “แมวศุภลักษณ์” แมวสายพันธุ์ไทยโบราณได้รับการรับรองสายพันธุ์จากสหพันธ์แมวโลก (WCF) อย่างเป็นทางการ หลังมีการยื่นขออนุมัติรับรองสายพันธุ์ โดยเงื่อนไขต้องมีการรวบรวมข้อมูลของสายพันธุ์นั้นๆ โดยละเอียด ทั้งในด้านประวัติความเป็นมา ลักษณะของสายพันธุ์ และข้อมูลทางพันธุกรรม เพื่อกำหนดเป็นมาตรฐานของสายพันธุ์ (Breed Standard) ตลอดจนมีการจัดการประกวดที่เรียกว่า Pre-Recognition Show
“แมวสีสวาด” หรือ “แมวโคราช (Silver Blue)” - โบราณเรียกว่า แมวมาเลศ หรือแมวดอกเลา ที่เรียกว่าแมวโคราช เพราะเรียกตามถิ่นกำเนิดคือพบที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เชื่อว่าเป็นแมวแห่งโชคลาภ เพราะมีสีขนคล้ายสีเมฆ ตามีสีเหลืองอมเขียวเปรียบประดุจข้าวกล้า จึงถูกใช้ในพิธีแห่นางแมวขอฝนในสมัยโบราณ
“แมววิเชียรมาศ (Siamese)” - เป็นแมวที่เลี้ยงไว้ในพระราชสำนัก เพราะถือว่าเป็นแมวนำโชคลาภ ชาวบ้านธรรมดาไม่มีโอกาสได้เลี้ยง มีลักษณะเด่นคือ มีตาสีฟ้าสดใสเหมือนตาฝรั่ง ส่วนสีขนลำตัวนั้นเป็นสีครีม และมีแต้มสีเข้ม ที่เรียกว่า แต้มสีครั่ง (SEAL POINT) ได้แก่ ที่บริเวณหน้า หูทั้งสองข้าง ขาทั้งสี่ข้าง หาง และที่อวัยวะเพศ รวม 9 ตำแหน่ง
“แมวโกญจา” หรือ “แมวดำปลอด (Bombay)” - หรือ ดำมงคล เพราะมีสีขนดำทั้งตัวไม่มีขนสีอื่นแซม ตาสีเหลืองดอกบวบแรกแย้ม เดินทอดเท้าเหมือนสิงโต ในสมัยโบราณ มีความเชื่อว่าเป็นแมวมงคล ให้คุณแก่ผู้เลี้ยง ใครเลี้ยงไว้จะมีสมบัติมากมาย
“แมวขาวมณี” หรือ “แมวขาวปลอด (Pure White)” - มีรูปร่างขนาดกลาง ขนสีขาวสั้นแน่น อ่อนนุ่ม ศีรษะคล้ายรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่แบน มีสามลักษณะด้วยกัน คือ มีตาสีฟ้าสองข้าง, ตาสีเหลืองสองข้าง และตาสองสี (ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าอีกข้างหนึ่งเป็นสีเหลือง) เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาก เพราะมีความเชื่องมาก เหมาะกับการเลี้ยงไว้ดูเล่น
กล่าวสำหรับมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยปี 2567 อยู่ที่ 75,000 ล้านบาท หรือ เติบโตขึ้น 12.4% จากปีก่อนหน้า ข้อมูลจากธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) สะท้อนตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง
และที่น่าจับตาเกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยกลุ่มสุนัขแมวอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลช่วงต้นปี 2567 พบว่ากลุ่มคนเลี้ยงสุนัขอัตราการเติบโตที่ 40.4% ขณะที่กลุ่มคนเลี้ยงตลาดแมวเติบโตใกล้เคียงกันที่ 37.1% โดยพบว่าในปี 2568 กลุ่มคนเลี้ยงสุนัขเติบโตที่ 31.6% ขณะที่ตลาดแมวเติบโตขึ้นถึง 32.1%
ข้อมูลจาก บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ ผู้จัดงาน Thailand International Pet Variety Exhibition เปิดเผยให้เห็นว่าตลาดแมวแซงหน้าตลาดสุนัขเป็นครั้งแรก โดยข้อมูลเชิงลึกพบว่าประเทศไทยมีประชากรผู้เลี้ยงแมวมากเป็นอันดับ 8 ของโลก จังหวัดที่มีการเลี้ยงแมวสูงสุด ได้แก่ นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรสงคราม และจำนวนประชากรแมวในประเทศไทยอยู่ที่ 3,337,458 ตัว สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก
และพบว่าทาสแมวในเมืองไทยมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาทต่อปี หรือ ประมาณ 1,183 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนอัตรการเลี้ยงแมวที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มมาจากการรับเลี้ยงแมวจรเพิ่มขึ้นกว่า 14% ตั้งแต่ช่วงปี 2562 อย่างต่อเนื่อง รับเทรนด์ Adopt Don’t Shop รับอุปการะเหล่าสัตว์เลี้ยงอย่างแมวและสุนัขแทนการซื้อขาย โดยคาดว่ามีการขยายตัวต่อเนื่อง
นอกจานี้ Fortune เว็บไซต์วิเคราะห์ข่าวธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเงิน เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับตลาดสัตว์เลี้ยงอย่างแมวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดโลก โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง อีกทั้ง ยังพบว่ากลุ่ม Gen Z แม้ยังไม่มีบ้านหรือครอบครัว แต่กลับให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก
และยังพบว่าทาสสายเปย์เลือกทำประกันสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดสูงถึง 74% ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในกลุ่มแมว นอกจากนี้ ข้อมูลยังบ่งชี้ว่าทาสแมวในระดับนานาชาติมีค่าใช้จ่ายในการดูแลแมวเฉลี่ยสูงถึง 72,624 บาทต่อปี หรือ ประมาณ 6,052 บาทต่อเดือน แบ่งเป็น ค่าอาหารสัตว์เลี้ยง ค่าของเล่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหารเสริมบำรุงสุขภาพ เป็นต้น
ขณะที่ ข้อมูลจาก บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าแม้ผู้คนระวังการใช้จ่าย แต่ค่าใช้จ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงยังโตต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดการใช้จ่ายสินค้าและบริการ “หมวดสัตว์เลี้ยง” ผ่านบัตร KTC ครึ่งปี 2568 ที่ผ่านมาโต 10% สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เรียกได้ว่า “ยอมทุกอย่าง” เพราะเจ้าของเต็มใจซื้ออาหารเสริมเกรดพรีเมียม แพมเพิส รถเข็น เสื้อผ้า ไปจนถึงอุปกรณ์แต่งตัวให้สัตว์ แม้หมาแมวอาจไม่ได้สนุกกับการใส่ชุดน่ารัก แต่ก็กลายเป็นความสุขของทาสแมวที่พร้อมเปย์
อีกทั้งแนวโน้มตลาดสัตว์เลี้ยงไทยกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน สัดส่วนการเลี้ยงแมวเพิ่มจาก 20% เป็น 30 - 35% ขณะที่ สุนัขลดลงจาก 80% เหลือเพียง 65 - 70% หนึ่งในสาเหตุหลักมาจากต้นทุนการเลี้ยงแมวที่ต่ำกว่า อีกทั้ง แมวไม่จำเป็นต้องพาเดินเล่น ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและยาก็น้อยกว่า เพราะการเลี้ยงแมวตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองมากกว่า


