xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จีดีพีไทยโตรั้งท้ายอาเซียน(อีกแล้ว) สถานะ “คนป่วยคนใหม่” ใกล้เข้ามา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -   ยังครองตำแหน่งรั้งท้ายอาเซียนอย่างเหนียวแน่นสำหรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของไทย ไตรมาส 3/2568 ที่สภาพัฒน์เพิ่งประกาศว่าขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าคาดหมายอย่างมาก สภาพเศรษฐกิจที่ซึมลึกมายาวนาน จนแทบจะกลายเป็น “คนป่วยคนใหม่” ของอาเซียนแล้ว 

 นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ 
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือ จีดีพี ไตรมาส 3/2568 ว่าขยายตัว 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ตัวเลขที่ออกมาถือว่าต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.6% YoY และติดลบ 0.3% QoQ

สาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 3/2568 ชะลอตัวลง คือ การขาดความเชื่อมั่นเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ขณะเดียวกันการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการก่อสร้างหดตัวลง การลงทุนขยายตัวต่ำเพียง 1.1% แม้การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 4.2% แต่การลงทุนภาครัฐ ติดลบ 5.3% ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส

ส่วนการอุปโภคบริโภคเอกชนยังขยายตัว 2.6% การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 6.9%

สภาพัฒน์ คาดการณ์จีดีพี ปี 2568 จะขยายตัว 2% จากปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% ส่วนปี 2569 คาดขยายตัวเพียง 1.2 – 2.2% (ค่ากลางประมาณการ 1.7%) ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง หนี้สินภาคเอกชนยังอยู่ในระดับสูง คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนและสินเชื่อภาคธุรกิจเอสเอ็มอีลดลงต่อเนื่อง ทำให้แบงก์เข้มงวดปล่อยกู้ และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจทำให้การจัดทำงบประมาณล่าช้า

 เมื่อเทียบกับ 6 ประเทศใหญ่ของอาเซียน ไทยจัดว่ามีอัตราการเติบโตรั้งท้าย โดยประเทศข้างเคียงของเรามีอัตราการเติบโตในไตรมาส 3 ปี 2568 ดังนี้ เวียดนาม 8.2 %, มาเลเซีย 5.2%, อินโดนีเซีย 5.0%, ฟิลิปปินส์ 4.0% และสิงคโปร์ 2.9%

ตัวเลขที่ออกมาและฐานะ “รั้งท้าย” อาเซียน คงทำให้ฝ่ายการเมืองไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีกระแสข่าวปล่อยออกมาว่า กระทรวงการคลัง ตั้งข้อกังขาต่อรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3/2568 ของสภาพัฒน์ ที่จีดีพีออกมาต่ำกว่าการประเมินของหลายฝ่าย โดยตัวเลขที่มีข้อน่าสงสัยคือ สินค้าคงคลัง (inventory) ที่ลดลงไปเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านจากไตรมาสก่อน ไม่น่าจะสอดคล้องกับตัวเลขคำสั่งซื้อ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคลังต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนในส่วนนี้  

ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมือง ยังคาดหวังว่าเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ น่าจะขยายตัวได้มากกว่าที่สภาพัฒน์ คาดการณ์ ไม่ต่ำกว่า 1% และไม่น่าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลากหลาย ทั้งคนละครึ่งพลัส ส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ

แม้ฝ่ายการเมืองจะไม่ชอบใจนัก แต่ภาคเอกชนก็ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียนสอดคล้องกับทางสภาพัฒน์

ทั้งนี้  Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย   เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3/2568 ขยายตัวที่ 1.2% YoY หดตัวจากไตรมาสก่อนที่ -0.6% QoQSA ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส จากผลกระทบด้านความเชื่อมั่นต่อการท่องเที่ยว อีกทั้งถูกซ้ำเติมจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และการส่งออกที่แม้จะขยายตัวสูงหลังการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด

สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 2.0%YoY โดยระยะข้างหน้าปัญหาการส่งออกที่ดีไม่ส่งผลต่อ GDP เท่าที่ควรจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น หลังสินค้าส่งออกไทยที่ขยายตัวดีส่วนใหญ่มี local content ต่ำ แนวโน้มการส่งออกในปีหน้า อาจไม่หดตัวรุนแรง หลังยังไม่เห็นสัญญาณการ build-up stock ของสหรัฐฯ ที่ผิดปกติ ท่ามกลางความเสี่ยงจากผลกระทบของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ที่กลับมามีความไม่แน่นอนหลังถูกยกเป็นส่วนหนึ่งในข้อเจรจาประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ทางด้าน  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ระบุว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3/2568 ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.2% YoY ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.6% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกสินค้าที่ยังขยายตัวดี แม้ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า และการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังขยายตัวดีต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยกดดันหลักมาจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐ ภาคการผลิตหดตัวและสินค้าคงคลังยังติดลบสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เป็น 2.0% จากเดิมที่ 1.8% โดยมอง GDP ไตรมาส 4/2568 จะขยายตัวราว 0.8% YoY สาเหตุหลักมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ส่วนในปี 2569 คาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ในกรอบประมาณการ 1.5-1.8% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางการเมือง

 ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย  หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสต์เฟซบุ๊ก “Pipat Luengnaruemitchai” ระบุว่า GDP ไทยติดลบ QoQ ครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส หรือไทยกำลังจะเป็น  “คนป่วยคนใหม่ของอาเซียน”  จริง ๆ ซึ่งครั้งล่าสุดที่เห็นตัวเลขติดลบแบบนี้ต้องย้อนไปไตรมาส 4 ปี 2022 ตัวเลขแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจสะดุดนิดเดียว แต่สะท้อนว่าพื้นฐานการฟื้นตัวยังเปราะบางกว่าที่หลายฝ่ายอยากให้เป็น

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ (KKP) ชำแหละว่า ภาคอุตสาหกรรมที่ควรจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญกลับกลายเป็นตัวฉุด เพราะหลายอุตสาหกรรมมีการปิดซ่อมโรงงานพร้อมกัน ทั้งโรงกลั่น เครื่องดื่ม และโรงงานรถยนต์ ทำให้การผลิตในภาพรวมติดลบแรง แม้จะมีเหตุผลเชิงเทคนิค แต่สิ่งที่ต้องกังวลคือ แม้เราตัด “ตัวลบชั่วคราว” ออกไป ภาคการผลิตของไทยก็ยังติดลบอยู่ดี นี่คือสัญญาณว่าอุตสาหกรรมไทยไม่ได้อ่อนเพราะซ่อมบำรุงเท่านั้น แต่อ่อนเพราะโครงสร้างจริง ๆ

อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างที่เคยหวังให้ช่วยพยุงเศรษฐกิจกลับหดตัวต่อเนื่องหลังภาครัฐชะลอการเบิกจ่ายและโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ เปิดตัวไม่ได้ เพราะยอดขายซบเซา ขณะที่ท่องเที่ยว ฮีโร่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังโควิด เริ่มส่งสัญญาณอ่อนลงชัดเจน นักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ “เม็ดเงิน” ที่สร้างรายได้ชะลอกว่าปีที่ผ่านมา และฐานสูงทำให้ตัวเลขโตแทบไม่ขึ้น กลายเป็นว่าพอแรงส่งจากท่องเที่ยวหายไป เศรษฐกิจไทยก็แทบไม่มีอะไรคอยพยุง

สิ่งที่พอช่วยให้ GDP ไม่แย่กว่านี้ คือค้าส่งค้าปลีกที่โตดีจากยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถไฮบริดที่เปลี่ยนรุ่นใหม่ แต่ต้องย้ำว่านี่เป็นแรงชั่วคราว ไม่ใช่สัญญาณว่าการบริโภคในประเทศฟื้นจริง เพราะในเวลาเดียวกัน ตัวเลข SSSG ของบริษัทค้าปลีกหลายแห่งยังติดลบอยู่

 อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าไม่เพียงแค่ GDP แต่คือภาพลักษณ์ของเศรษฐกิจไทยในสายตาภูมิภาคและนักลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณชัดว่าประเทศอื่นมองไทยเป็นจุดอ่อนของอาเซียน บทความล่าสุดของ Business Times ในสิงคโปร์ พูดตรง ๆ ว่าไทยกำลังถูกจัดให้อยู่ท้ายตารางและได้ “เกรด D” ในความสามารถจะเป็น Growth Driver ของภูมิภาค ประโยคนี้แรงมาก เพราะแปลว่าเพื่อนบ้านไม่ได้มองว่าไทยยืนอยู่ที่เดิม แต่กำลังกังวลว่าไทยอาจกลายเป็น “ผู้ฉุด” ไม่ใช่ “ผู้ขับเคลื่อน” 

ที่สำคัญคือ ในอาเซียนตอนนี้ ประเทศส่วนใหญ่ยังโตได้ดี 4-6% แบบสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือเวียดนาม แต่ไทยยังโตเพียง 1% ต้น ๆ ถ้าแนวโน้มนี้ยาวไปอีก 2-3 ปี โดยที่ไม่เร่งปรับโครงสร้างผลิตภาพ การลงทุน ทิศทางอุตสาหกรรม และความแน่นอนของนโยบาย เศรษฐกิจไทยอาจจะถูกตราหน้าว่าเป็น “คนป่วยคนใหม่ของอาเซียน” อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน

ขณะที่เศรษฐกิจไทยลุ่ม ๆ ดอน ๆ เผชิญแรงกดดันมากมาย ประชาชนตาดำ ๆ ทำมาหากินลำบาก เลือดตาแทบกระเด็น รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็หันซ้ายหันขวาวางแผนควานหาเม็ดเงินเข้ามาเติมงบประมาณ เติมงบลงทุนของภาครัฐที่เห็นตัวเลขชัดเจนแล้วว่าติดลบ โดยแผนการที่รัฐบาลวางไว้คือ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได

เกี่ยวกับเรื่องนี้  นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า กระทรวงการคลั เตรียมปรับโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะปานกลาง โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยภายในปี 2571 รัฐบาลตั้งเป้าทยอยเพิ่ม VAT อีก 1.5% จาก 7% เป็น 8.5% และจะขยับอีก 1.5% ในปี 2573 ให้ครบ 10% โดยจะมีการจัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคเศรษฐกิจควบคู่กันไป

นอกจากนั้น รัฐบาลยังตั้งเป้าลดระดับการขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 ตามกรอบการคลังระยะปานกลาง ปี 2570 – 2573 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และแก้ปัญหาการปรับ Outlook และ Downgrade ประเทศไทย ทำให้เห็นว่าสถานะการคลังของประเทศไทยยังดี เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยขาดดุลการคลังเกิน 3% ของ GDP

อย่างไรก็ดี นายเอกนิติ ยอมรับว่า วันนี้ประเทศไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จำเป็นต้องดำเนินการตามแผน ตามกรอบอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ในปี 2573เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตเต็มศักยภาพ

ในปีนี้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างเช่น Moody’s และ FitchRatings ปรับแนวโน้มเครดิตประเทศไทย หรือ Outlook จาก “เสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) ส่วน S&P Global Ratings ยังคงสถานะให้ไทยมีเสถียรภาพเหมือนเดิม ถึงแม้จะยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ แต่สะท้อนภาพความกังวลต่อฐานะการคลังของไทยที่อ่อนแอลงต่อเนื่องนับจากวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา

 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า การเตรียมแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวของรัฐบาล คือการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมรับมือภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งชี้ถึงความกังวลต่อรายได้ของประเทศ ทั้งดุลการค้า การลงทุน และการจัดเก็บรายได้รวมที่อาจไม่เพียงพอในอนาคต การขึ้น VAT เป็นเครื่องมือที่ง่ายและเร็วที่สุดในการหารายได้เข้าประเทศ และการปรับขึ้นแบบขั้นบันไดจะช่วยลดแรงกระแทก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดูทรงแล้ว จากตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำรั้งท้ายอาเซียน แถมยังไม่แน่ว่าศึกเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคภูมิใจไทย จะกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ การปรับขึ้นภาษีที่ไม่ว่ารูปแบบใดล้วนแต่สร้างแรงกดดันทางการเมือง

ดังนั้น การเตรียมแผนขึ้น VAT ของคลัง คงเป็นเพียงแค่การ “โยนหินถามทาง” เพราะพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีความกล้าหาญทางการเมืองถึงขนาดที่กล้าขึ้น VAT อย่างแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น