ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การจัดตั้ง “หน่วยเฉพาะกิจ Scam Center Strike Force” ของสหรัฐฯ ล่าสุด เพื่อทำลายล้างแก๊งสแกมเมอร์อย่างไม่ลดละ ทำให้ทุนจีนเทา เมียนมาเทา เขมรเทา ลาวเทา และไทยเทา มีเหน็บหนาว ในคราวเดียวกันกับที่รัฐบาลทหารพม่าและกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) รัฐกะเหรี่ยง ถล่ม “เคเค ปาร์ก” ตามด้วย “ชเวก๊กโก่” เพื่อล้างภาพเมืองสแกมฯ จนชวนพิศวงงงงวยว่าเป็น “ของจริง” หรือ “การละคร” ของ “มิน อ่อง หล่าย” – “ชิต ตู่” หรือไม่ อย่างไร
นับเนื่องจากกลางปี 2568 เป็นต้นมา สหรัฐฯ ลงมือจัดการกับเครือข่ายหลอกลวงไซเบอร์ หรือ สแกมเมอร์อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤษภาคม 2568 สหรัฐฯ คว่ำบาตรกองทัพกระเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) และผู้นำกองกำลังที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และสแกมไซเบอร์
ถัดมาในเดือนกันยายน 2568 สหรัฐฯคว่ำบาตรบริษัท 12 แห่งในกัมพูชาและเมียนมาที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์
จากนั้นในเดือนตุลาคม 2568 สหรัฐฯร่วมมือกับอังกฤษ เปิดปฏิบัติการ ภายใต้รหัส “Operation Prince”** คว่ำบาตร Prince Group ที่มี นายเฉิน จื้อ เป็นผู้ก่อตั้ง และ Huione Group ของหลานชายสมเด็จฮุน เซน รวมถึง “ยิม เลียก (Yim Leak)” หนึ่งในเครือข่าย “ฮุน เซน คอนเนกชัน”
ต่อมา เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดย สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ (OFAC) ประกาศคว่ำบาตรกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ผู้นำระดับสูง 4 คน รวมถึงบุคคลและบริษัทในไทยและเมียนมา เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรมจีน และร่วมมือกับ DKBA และกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ เพื่อพัฒนาศูนย์สแกมเมอร์
ล่าสุด เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2568 กระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ ประกาศจัดตั้ง “Scam Center Strike Force” หน่วยเฉพาะกิจที่รวมเอา FBI อัยการ หน่วยสืบราชการลับ (USSS) และหน่วยงานด้านการเงิน เพื่อสืบสวนและดำเนินคดีต่อศูนย์สแกมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน เมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นแหล่งปฏิบัติการหลักของขบวนการสแกม
ทีม Strike Force นั้นพุ่งเป้าหมายไปที่เมียนมา โดยการยึดเว็บไซต์สแกมเมอร์ต่าง ๆ ของไท ซาง (Tai Chang) ใกล้เมืองเมียวดี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุมของ DKBA และยึดอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตดาวเทียมสตาร์ลิงค์ ที่เชื่อมกับศูนย์สแกมเมอร์ต่าง ๆ
นาย จอห์น เค. เฮอร์ลีย์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง ฝ่ายข่าวกรองการเงินและการก่อการร้าย ของสหรัฐฯ กล่าวว่า เครือข่ายอาชญากรรมในเมียนมากำลังขโมยเงินจากชาวอเมริกันหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านสแกมออนไลน์ พร้อมทั้งค้ามนุษย์และสนับสนุนสงครามกลางเมืองในประเทศ เราจะใช้ทุกเครื่องมือเพื่อจัดการกับกลุ่มเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เพื่อปกป้องครอบครัวชาวอเมริกันจากการถูกหลอก
เกร็กอรี ฮีบ รองผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนอาชญากรรม FBO กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า เป็นหน้าที่ของ FBI สหรัฐฯที่ต้องหยุดยั้งอาชญากรรมเหล่านี้ด้วยความช่วยเหลือจากพันธมิตรทั่วโลก
สหรัฐฯลงมือจัดการเครือข่ายสแกมเมอร์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเข้มข้น เนื่องเพราะไม่เพียงทำให้พลเมืองอเมริกันสูญเสียเงินจำนวนมากไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 3 แสนล้านบาท เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “ภัยความมั่นคงระดับโลก” แต่สหรัฐฯ ยังเห็นร่องรอยของทุนมืดจีนเทาที่พัวพันกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ใช้ศูนย์สแกมเป็นทั้งเครื่องมือฟอกเงิน กดขี่แรงงาน และเป็นแหล่งทุนหล่อเลี้ยงกลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มในภูมิภาค ซึ่งล้วนบ่อนเซาะเสถียรภาพของรัฐที่เปราะบางอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน งานวิจัยของสถาบัน Brookings ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เตือนว่า “ร่องรอยทั่วโลกของแก๊งอาชญากรรมจากจีนได้ขยายไปพร้อมกับการปรากฏตัวของจีนในมิติเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ และแท้จริงแล้วเครือข่ายเหล่านี้ได้ทำงานหลากหลายให้ทั้งรัฐบาลจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีน และองค์กรทางกฎหมายต่าง ๆ ของจีน ผ่านโครงข่ายคอร์รัปชันและการแบ่งปันความมั่งคั่งในหมู่นักการเมืองและธุรกิจต่างชาติ”
มุมมองนี้ทำให้ภาพของ “สแกมเมอร์จีนเทา” ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มโจรออนไลน์ หากเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจใต้ดินจีนที่ผูกพันกับเกมอำนาจระดับโลก
อย่างไรก็ดี ทางฝั่งปักกิ่งเอง ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปโดยไม่ยี่หระ เมื่อกระแสสังคมภายในประเทศจีน เริ่มตั้งคำถามต่อบทบาทของรัฐ และภาพความเจ็บปวดจากคดีฆ่าทารุณและกักขังแรงงานในเมืองสแกมหลายแห่ง ทำให้รัฐบาลจีนต้องเร่งสร้างภาพ “รัฐผู้ปราบปราม” ไม่ใช่ “รัฐผู้ผลิตสแกมเมอร์”
ภาพที่ชัดเจนสุดคือเหตุการณ์วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เมื่อทางการไทยควบคุมตัว “เฉอ จื้อเจียง” เจ้าพ่อชเวก๊กโก่ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานตั้งธุรกิจพนันออนไลน์ ฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งตัวกลับไปยังจีนตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนปี 1993 หลังศาลอุทธรณ์ของไทย มีคำพิพากษายืนและถือเป็นที่สุดให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
การส่งตัวนายเฉอ จื้อเจียง ครั้งนี้ ไม่ได้มีความหมายแค่ปิดคดี แต่เป็นสัญลักษณ์ว่าจีนพร้อมดึง “ลูกชายที่หลงทาง” กลับมารับโทษ เพื่อยืนยันกับประชาชนในประเทศและเพื่อนบ้านว่า ปักกิ่งไม่ได้ปกป้อง “เจ้าพ่อสแกม” แต่อย่างใด
ถล่ม เคเคปาร์ก – ชเวก๊กโก่ สร้างภาพหรือปราบจริง?
ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งจีนและสหรัฐฯ เมียนมาที่กำลังจมอยู่ในสงครามกลางเมืองจึงจำต้องหยิบ “เมืองสแกม” มาสังเวยในสมการอำนาจ หนึ่งในนั้นคือ KK Park เมืองใหม่ริมฝั่งเมยที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของทุนจีนเทา ตั้งตึกสูง โรงพยาบาลย่อม ๆ สปาและห้องคาราโอเกะครบครัน ก่อนจะกลายเป็น “รัฐสแกม” ที่มีแรงงานจากเกือบ 30 ประเทศถูกล่อลวงเข้าไปทำงาน
ในช่วงเวลาที่กองทัพเมียนมา ประกาศปฏิบัติการบุก KK Park ในเดือนตุลาคม 2568 ภาพผู้คนกว่า 1,500 คน หลบหนีออกจากพื้นที่ ข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งแม่สอด ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ก่อนที่เครื่องบิน C-130 ของอินเดียจะบินมารับพลเมืองตนเองกลับ และทหารเมียนมาจะเดินหน้าระเบิดตึกสแกมทิ้งทีละหลัง เหลือซากโครงเหล็กและเศษปูนระเกะระกะ พร้อมแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนชาวแม่สอดนับสิบครั้ง โดยเฉพาะบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของนับได้ว่าถูกแรงระเบิดเล่นงานมาแล้วกว่า 50 รอบ
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย รักษาการประธานาธิบดี และประธานคณะกรรมการความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ (SSPC) เมียนมา ได้กล่าวที่เมืองผาอัน เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่าการกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ของเหล่าจีนเทาในโครงการเมืองใหม่ เคเค ปาร์ค ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยภายในเขต เคเคปาร์ค ขณะนี้ไม่มีกลุ่มอาชญากรรมฉ้อโกงทางออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลงเหลืออยู่
แม้ภาพระเบิดตึกจะดูดุเดือด แต่คำถามใหญ่กลับผุดขึ้นทันทีว่า นี่คือ “การปราบจริง” หรือเพียง “ละครใหญ่” เพื่อสร้างภาพให้เมียนมาดูแข็งกร้าวต่อสแกมเมอร์ในสายตาจีน–อาเซียน และสหรัฐฯ นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า หากเมียนมาต้องการทำลายเครือข่ายสแกมจริง ๆ ย่อมต้องแตะหน่วยงานทหารและกองกำลังท้องถิ่นที่รับส่วยอยู่เบื้องหลังด้วย ซึ่งในทางปฏิบัติแทบไม่ปรากฏให้เห็น
ความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเมื่อกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force) นำโดย พ.อ.ชิต ตู่ ซึ่งเคยถูกระบุว่าได้ประโยชน์จากทั้ง KK Park และเมืองใหม่อีกแห่งคือ “ชเวก๊กโก่” ตัดสินใจเดินเกมประกาศ “ทำสงครามกับขบวนการสแกมเมอร์” พร้อมปล่อยภาพอาคารนับร้อยใน KK Park ถูกระเบิดทิ้งและใช้เครื่องจักรหนักรื้อถอน อีกทั้งยังออกแถลงการณ์ เตรียมปฏิบัติการเด็ดขาดใน “ชเวก๊กโก่” จนเกิดภาพ “ผึ้งแตกรัง” เมื่อชาวจีนเทาและสแกมเมอร์ ต่างหอบทรัพย์สินเงินทองหลบหนีออกจากตึกนับพันคนในคืนเดียว
ในช่วงเย็นของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 พันโท หน่าย มอ ซอ โฆษกของ BGF แถลงจะเข้าปฏิบัติการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาด โดยต้องการให้โลกรับรู้ว่า BGF ไม่ได้อยู่เบื้องหลังแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้ ทั้งที่ในสายตานานาชาติ BGF ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำไปแล้วจากข้อกล่าวหาว่ามีส่วนในการตั้งศูนย์สแกมริมแม่เมย และใช้รายได้จากกิจกรรมสีเทาเสริมกำลังพลจนเติบโตจากกลุ่มกะเหรี่ยงเล็ก ๆ เมื่อสามทศวรรษก่อน มาเป็นกองกำลังที่มีทหาร 10,000–15,000 นาย ในปัจจุบัน
สำนักข่าวอิสระในไทยและเมียนมาหลายแห่ง จึงตั้งคำถามว่า แรงกดดัน “มหาศาล” ที่ทำให้ BGF ยอมทิ้งฐานที่มั่นและขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจสำคัญอย่าง KK Park และชเวก๊กโก่นั้น แท้จริงมาจากไหน บ้างมองว่าเป็นเกมต่อรองภายใน BGF เองระหว่างผู้นำที่ขัดแย้งกัน บ้างชี้ไปที่แรงบีบจากกองทัพเมียนมาที่ต้องการสร้างภาพก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางมาร่วมประกาศสงครามกับอาชญากรรมสแกมเมอร์ด้วยตัวเอง บ้างก็ว่าเพื่อสร้างภาพเพื่อรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2568 บ้างก็โยงสัญญาณไปยังจีน ที่เริ่มไม่อดทนต่อเมืองสแกมที่เล็งเหยื่อเป็นคนจีนเองมากขึ้นทุกที
ขณะเดียวกัน รายงานภาคสนามจากสำนักข่าวไทย เช่น The Reporters และสำนักข่าวชายขอบ กลับชี้ว่า หลังจาก BGF เคยปราบชเวก๊กโกไปแล้วรอบหนึ่งในเดือนมีนาคม 2568 ช่วยเหลือชาวต่างชาติได้กว่า 10,000 คน ส่งกลับประเทศไปแล้วนับพัน แต่ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แก๊งสแกมเมอร์กลับดึงแรงงานชุดใหม่และชุดเดิมกลับเข้ามาในตึกสแกมอีกครั้งนับหมื่นคน จนต้องเกิดการ “ปราบซ้ำ” รอบสอง ที่หลายฝ่ายเกรงว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่ต่างจากเดิม คือศูนย์สแกมถูกทุบ แต่เครือข่ายทุนมืดแค่ย้ายไปตึกใหม่ เมืองใหม่ ไม่เคยถูกถอนรากถอนโคน
อย่างไรก็ดี ในทุกระลอกของการ “ปราบ” เมืองสแกมฝั่งเมียนมา ไทยคือผู้รับแรงกระแทกทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ชายแดนแม่สอดกลายเป็นจุดรับผู้หลบหนีจาก KK Park และชเวก๊กโก่ ทั้งชาวจีน อินเดีย และอีกหลายสัญชาติรวมกันเกือบ 10,000 คน
ในช่วงปี 2568 ไทยต้องตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว คัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ภายใต้กลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism - NRM) ก่อนผลักดันกลับประเทศต้นทาง ขณะที่บ้านเรือนชาวแม่กุ–แม่สอด ถูกแรงระเบิดเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่โครงสร้าง “ส่วยข้ามเมย” ซึ่งโยงข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ และเครือข่ายอิทธิพลกลับแทบไม่ถูกแตะต้อง
มีการตั้งข้อสังเกตจากผู้สื่อข่าวในท้องถิ่นว่า หากสืบเส้นทางเงินของผู้นำ BGF จริง ๆ “หลายคนที่มีอำนาจในไทยคงหนาวแน่” เพราะปัจจุบันแม้หลายประเทศต้องการตัว พ.อ.ชิต ตู่ ผู้นำ BGF แต่ฝั่งไทยยังไม่มีแม้แต่หมายจับอย่างเป็นทางการ
ตัดเน็ต ตัดไฟ แต่ตึกสแกมปอยเปต ยังสว่างไสว
พื้นที่สีเทาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชายแดนฝั่งเมียนมาเท่านั้น ชายแดนไทย–กัมพูชา ฝั่งปอยเปต–อรัญประเทศ ก็กำลังถูกลากเข้ามาอยู่ในแผนที่สแกมโลกอย่างเต็มตัว เมื่อกองกำลังบูรพา นำคณะทูตทหารต่างประเทศจาก 17 ประเทศ ลงพื้นที่ติดตามสถาณการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จ.สระแก้ว และด่านพรมแดนคลองลึก เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 นำโดย พลโทธีรนันท์ นันทขว้าง เจ้ากรมข่าวทหารบก ในฐานะผู้แทนกองทัพบก
กองกำลังบูรพา ได้รายงงานถึงการตรวจสอบและปฏิบัติการ ว่าเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า จุดที่ตั้งของสแกมเมอร์ที่ฝั่งกัมพูชา บริเวณจังหวัดบันเตียเมียนเจีย มีทั้งหมด 27 จุด เฉพาะบริเวณปอยเปต ที่ยืนยันชัดเจนมีทั้งหมด 12 จุด ประกอบด้วย ตึก 18 ชั้น /ตึก 25 ชั้น /ตึกแซนพาเลส กาสิโน/ ตึกPULI กาสิโน รีสอร์ท /ตึกซานโฮ วิลเลจ /ตึก 6 ชั้น และ 3 ชั้น ซึ่งเป็นตึกที่ลึกที่สุด / ตึก 8 ชั้น อยู่ซ้ายสุดของปอตเปต / ตึก ไฮโซโฮเทล / ตึกเขียว / ตึกมินิมาร์ท / ปาร์คซิตี้ อยู่ตรงกลางของปอยเปต /และพื้นที่บ่อตกปลา โดยแต่ละจุดมีคนไทยและต่างชาติข้ามไปทำงานอยู่ประมาณ 30 คนต่อแห่ง
หลังตรวจสอบพบที่ตั้ง กองกำลังบูรพา ได้ตัดไฟและตัดสัญญานอินเตอร์เน็ต ที่ส่งจากฝั่งไทยไปยังตึกเหล่านี้ เพื่อสกัดการปฏิบัติการสแกม และประสานให้กัมพูชากวาดล้างอย่างจริงจัง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ชาวบ้านฝั่งไทยไม่ให้เข้าไปทำงานในศูนย์หลอกลวง ขณะที่ทูตทหารสหรัฐฯ ซึ่งร่วมคณะลงพื้นที่ ระบุชัดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะไทย หากแต่เป็น “ปัญหาระดับนานาชาติและระดับโลก” เพราะพลเมืองสหรัฐฯ ก็เป็นเหยื่อของศูนย์สแกมปอยเปตด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ความต้องการของฝ่ายไทยที่อยากเห็นกัมพูชากวาดล้างตึกสแกมในปอยเปตให้หมดไปเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะกัมพูชาพึ่งพิงรายได้หลักจากทุนกาสิโน และสแกมเมอร์
ในรายงาน “Policies and Patterns : State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat” โดย เจคอบ ซิมส์ (Jacob Sims) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค เผยว่า กัมพูชากำลังกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจการหลอกลวงที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยมีกลุ่มอาชญากรจีนเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งธุรกิจหลอกลวง (Scamming) สร้างผลกำไรมหาศาลให้กัมพูชา ประมาณการรายได้ต่อปีอยู่ที่ 12,500-19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 400,000-600,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมสแกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่เพียง “อาชญากรรมเศรษฐกิจ” หากเป็นเศรษฐกิจการเมืองใต้ดินที่ผูกโยงสามแรงอำนาจสำคัญ ได้แก่ รัฐที่อ่อนแอและคอร์รัปชันฝังลึก (เมียนมา กัมพูชา) ทุนมืดจีนเทาที่แสวงหาพื้นที่ที่กฎหมายหละหลวม และการต่อสู้เชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยไทยถูกจัดเป็นทั้ง “ทางผ่าน” ของเหยื่อการค้ามนุษย์ และพื้นที่รองรับแรงกระแทก
ขณะเดียวกัน ไทยยังสุ่มเสี่ยงกลายเป็นแหล่งทุนเทาที่โดดเด่นในภูมิภาค หากไม่กล้าลงมือรื้อโครงสร้างส่วยและผลประโยชน์ที่เชื่อมโยงรัฐ–ทุน–อาชญากรรมข้ามชาติ และเมืองชายแดนไทย-เมียนมา-กัมพูชา ก็จะยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจสีดำที่เชื่อมทุนจีนเทา ไหลเวียนอยู่ในเงามืดต่อไปไม่มีวันจบสิ้น.


