ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ตระกูลชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” ตกอยู่ในสภาพ “โคม่าในทางการเมือง” อีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุร้อนๆ กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ชนิดที่ต้องใช้คำว่า “สะท้านปฐพี” ต่อเนื่องถึง 2 เหตุการณ์ และมีนัยสำคัญทางการเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังตะเกียกตะกายเพื่อหวนกลับคืนสู่เส้นทางอำนาจในศึกเลือกตั้งใหม่ช่วงต้นปี 2569 และตกอยู่ในภาวะเลือดไหลออกจากพรรคไม่หยุด
เหตุร้อนแรกก็คือ การที่ “อัยการสูงสุด” มีคำสั่งอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีให้ทักษิณให้สัมภาษณ์พาดพิงสถาบันฯ กับสำนักข่าวต่างประเทศที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาคดี 112 ของอัยการ มีการพิจารณาเเละมีมติ 8:2 เสียง เห็นควรไม่อุทธรณ์คดี
ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ อัยการสูงสุดมีคำสั่งอุทธรณ์ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ก่อนครบกำหนดการขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“คุณพ่อดูเสียใจ และคุณพ่อก็เสียใจจริงๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ ส่วนหลังจากนี้คุณพ่อจะมีวิธีการเตรียมสู้หรือชี้แจงอย่างไรนั้น ก็คงจะต้องมีการวางแผน ซึ่งก็ต้องสู้ เพราะถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ แต่ว่าในจุดนี้เราก็ห่วงเรื่องของความรู้สึกคุณพ่อ เนื่องด้วยท่านก็อยู่ข้างในนี้ ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลยค่ะ (น้ำเสียงสั่นเครือ) ก็พวกเราได้แต่ส่งกำลังใจ และอันนี้มันก็เพิ่งวันนี้เอง เราก็ยังโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ”น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนหลังเข้าเยี่ยมผู้เป็นพ่อ
และtเมื่อถามว่าเรื่องวันนี้มันเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของครอบครัวอย่างมากใช่หรือไม่ น.ส.พินทองทายิ้มเบาๆ รับฟังคำถามผู้สื่อข่าว ก่อนเม้มปากหลายครั้ง กะพริบตาถี่ มีน้ำตาคลอ ไม่ได้ตอบคำถาม จน “นายพานทองแท้ ชินวัตร” ที่เดินทางไปพร้อมกันตอบผู้สื่อข่าวแทนว่า “ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่ว่าเราก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวเรา”
นั่นหมายความว่า ตระกูลชินวัตรไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอกรณีดังกล่าว เพราะมีการวิเคราะห์และฟันธงไปตั้งแต่ศาลอาญามีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” แล้วว่า “ทักษิณรอด”
แน่นอนว่า สิ่งที่สร้างความปริวิตกมากที่สุดสำหรับตัวทักษิณก็คือ การที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งอุทธรณ์คดีนั้น จะส่งผลกระทบต่อการได้รับ “การพักโทษ” ของเขา
ณ เวลานี้ ทักษิณอยู่ในเรือนจำมาแล้วกว่า 70 วัน และจะมีสิทธิได้รับการพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เมื่อรับโทษครบ 1 ใน 3 แต่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคม 2569 หรือออกจากคุกก่อนวันเลือกตั้งประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2569 อันจะทำให้เขาสามารถออกมาบัญชาการได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ แต่เมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งอุทธรณ์ ก็จะทำให้ผลของคดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่งส่งผลต่อดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษในการอนุมัติ เหมือนดังเช่น “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ว่าไว้
การที่ทักษิณอยู่ในคุก นอกจากจะทำให้ตัวเขาขาดอิสรภาพในการเคลื่อนไหวแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจต่อ “พรรคเพื่อไทย” เป็นอย่างมาก ด้วยถึงจะอย่างไร ทักษิณก็คือ เจ้าของพรรคที่สามารถดลบันดาลได้ทั้ง “กระสุน” และ “กระแส” ได้
แต่ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็ “ผ่าเปรี้ยง” ลงมาอีก 1 ดอก เมื่อ “ศาลฎีกา” พิพากษากลับในคดีเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษี จากการขาย “บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ตามหนังสือประเมินภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 หลังก่อนหน้านี้ในศาลภาษีอากรกลาง (ชั้นต้น) และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยชี้ว่าการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แปลไทยเป็นไทยคือ “ทักษิณ” ชนะคดีในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ กลับมาแพ้ในยกสุดท้ายที่ศาลฎีกาและต้องจ่ายเงินให้รัฐเป็นจำนวนถึงกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเป็น “ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง” จากการขายหุ้นชินคอร์ป แม้จะมีการใช้ชื่อบุตรเป็นผู้ถือครองแทนก็ตาม แถมตัวเลขไม่ใช่แค่ 17,600 ล้านบาทเท่านั้น เพราะต้องมี “เบี้ยปรับเพิ่ม” ต่อเนื่องนับจากปี 2560 ถึงวันที่เรียกเก็บจริงอีกด้วย โดยกรมสรรพากรมีอำนาจเร่งรัด บังคับคดี ยึด อายัด และขายทอดตลาดได้ทันที และหากไม่พอก็ยังติดตามทรัพย์ได้ต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนจะได้มากได้น้อยแค่ไหน คงต้องติดตามกระบวนการบังคับใช้กฎหมายว่าจะทำจริงจังแค่ไหน
และนั่นมิใช่เป็นเพียงแค่ข่าวร้ายของ “ชินวัตร” เท่านั้น หากยังส่งผลกระทบต่อ “พรรคเพื่อไทย” อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย เพราะหลังจากเพลี่ยงพล้ำในทางการเมืองอย่างหนักจากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” กับ “ฮุน เซน” ที่ทำให้คะแนนนิยมของพรรคทรุดหนัก จนบรรดา สส.และนักการเมืองในค่ายพากันย้ายหนี พรรคเพื่อไทยได้แก้เกมอย่างหนักด้วยการส่ง “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” ขึ้นมาเป็น “หัวหน้าพรรค” แทน “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” โดยมี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เป็นเลขาธิการพรรค เพื่อหยุดภาวะเลือดไหลออกไปที่ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” และ “ค่ายผู้กอง-พรรคกล้าธรรม” ซึ่งก็ได้ผลเพราะได้รับการยอมรับจากทั้ง สส.บ้านใหญ่ และเครือข่ายชินวัตรแทบทุกสาย
ทว่า ในจังหวะที่การจัดทัพกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี “ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง” ลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อทั้งตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก เพราะเสมือนเป็น “การตัดขาดทุกดีล” ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ลงโดยไม่เหลือเยื่อใยอีกต่อไป หรือหมายความว่า โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะหวนกลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเหลือเปอร์เซ็นต์น้อยเต็มที
คำคุยโวโอ้อวดของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคที่ประกาศว่า จะมี สส.ไม่น้อยกว่า 200 คนคือความฝันที่ไม่อาจกลายเป็นจริงได้ เผลอๆ จะเหลือ สส.ต่ำกว่าร้อยทั้งระบบบัญชีรายชื่อและระบบเขตเลือกตั้ง กูรูทางการเมืองจำนวนมากถึงกับบอกว่า ได้แค่ 50-70 คนก็บุญโขแล้ว เผลอๆ สุดท้ายตัว “สุริยะ” กับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” 2 มิตรที่เป็นนกรู้ทางการเมืองอาจตีตัวออกห่างจากพรรคเพื่อไทยเสียด้วยซ้ำไป
แน่นอน นักวิชาการหรือนักวิเคราะห์ทางการเมืองจำนวนไม่น้อยอาจมองว่า พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรอาจใช้ผลของทั้ง 2 กรณีในการหาเสียงเลือกตั้งว่า “ถูกกระทำจากกระบวนการนิติสงคราม” ที่พวกเขาพยายามยกมาอ้าง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า จะไม่ได้ผลสักกี่มากน้อย เพราะถ้าติดตามคดี “ชินคอร์ป” ก็จะพบว่า นี่เป็นกระบวนการ “นิติกรรมอำพราง” ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมโหฬาร
สรุปสั้นๆ ก็คือ ทักษิณตั้งบริษัทชื่อ Ample Rich Investments Ltd. ที่เกาะ British Virgin Islands (BVI) ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษี โดยขายหุ้นของตัวเองจำนวนเกือบๆ 33 ล้านหุ้นให้ Ample Rich ในราคาพาร์ หุ้นละ 10 บาท โดยไม่มีกำไรและไม่ต้องเสียภาษี จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเป็น “โอ๊ค-พานทองแท้” กับ “เอม-พินทองทา” ในสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ และทั้งคู่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท Ample Rich ด้วย
ต่อมารัฐบาลทักษิณประกาศ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 เพื่อปลดล็อคให้กิจการโทรคมนาคมสามารถให้คนต่างชาติถือหุ้นได้ 49% จากเดิม 25% โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับวันที่ 21 มกราคม 2549 และ 2 วันหลังจากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ คือวันที่ 23 มกราคม 2549 “ตระกูลชิน” ได้ขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 49% ให้กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากกำไร เพราะมีกฎหมายยกเว้นภาษีให้สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์
ทว่า ก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะการขายตรงจากบริษัท Ample Rich นั้น ต้องเสียภาษี เหตุไม่ใช่บุคคลธรรมดา ดังนั้น “โอ๊คและเอม” ซึ่งเป็นกรรมการจึงสั่งให้บริษัทขายหุ้นให้ตนเองในสัดส่วนคนละครึ่ง 50/50 ในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันตรงๆ นอกตลาดหลักทรัพย์ จากนั้นทั้งคู่ในฐานะบุคคลธรรมดา ก็เอาหุ้นที่เพิ่งได้มานี้ไปขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิปลอดภาษีในวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ดังนั้น นี่คือการทำนิติกรรมอำพรางในระหว่างทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการออกกฎหมายที่ทำให้ตนเองไม่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศชาติ
หนักไปกว่านั้นคือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า หุ้นชินคอร์ปที่บริษัท Ample Rich เคยถือไว้จนกระทั่งมาถึงมือของ “พานทองแท้และพินทองทา” จนขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นของทักษิณทั้งหมด โดยที่ลูกทั้งสองคนเป็นเพียงแค่ “นอมินี” เท่านั้น
เรื่องทำท่าจะจบลงหลังจาก “พานทองแท้และพินทองทา นำผลของคำพิพากษาของคดีนั้นมาเพิ่มเป็นข้อต่อสู้ในศาลภาษีว่า ศาลฎีกายืนยันแล้วนะว่าหุ้นเป็นของทักษิณ ซึ่งศาลก็วินิจฉัยให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ทำให้ทั้งสองคนไม่ต้องรับผิดชอบค่าภาษีในส่วนนี้แล้ว จากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายไป โดยสรรพากรไม่ได้อุทธรณ์คดีต่อ และไม่ได้ออกหมายเรียกทักษิณอีกต่างหาก กระทั่งมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาและมีบทสรุปที่ศาลฎีกาในปี 2568 นี้
ทักษิณต้องจ่ายภาษีจำนวน 1.76 ล้านบาทโดยที่ไม่อาจใช้กระบวนการใดๆ ได้ โดยเฉพาะ “การล้มละลาย” เพราะหนี้ภาษีเป็นหนี้พิเศษที่กฎหมายไม่ยอมให้ล้าง และกรมสรรพากรก็มีอำนาจที่จะไปไล่ล่าเงินจำนวนนี้ได้ทั้งการยึดทรัพย์ใหม่ รายได้ใหม่ หุ้นใหม่ หรือแม้แต่เงินปันผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมีข้อห้ามมากมาย อาทิ ทำธุรกรรมสำคัญไม่ได้ เป็นกรรมการบริษัทไม่ได้ และการเดินทางอาจถูกจำกัด โดยไม่มีอายุความหลังคำพิพากษาอีกต่างหาก
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้จะยังคงมีผู้จงรักภักดีอยู่ ทว่า ก็มีคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ตีตัวออกหากไปอยู่พรรคส้ม-พรรคประชาชน ขณะที่บรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.ของพรรคเองก็คงต้อง “คิดหนัก” กับเส้นทางการเมืองของตนเองว่า จะฝากผีฝากไข้กับทักษิณและพรรคเพื่อไทยต่อไปโดยที่มองเห็นแล้วว่า มีปัญหา หรือจะตัดสินใจแยกตัวไปกับค่ายที่มีอนาคต หรือพรรคที่มีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จและมีจริตทางการเมืองตรงกับแนวทางของตนเอง
“ศึก 3 ก๊กการเมืองไทย” คือ “แดง ส้ม น้ำเงิน” กำลังจะหายไป โดย “แดง” จะตกอยู่ในสภาพ “พรรคขนาดกลาง” หรือเลวร้ายถึงขนาดเป็น “พรรคอะไหล่” ในทางการเมืองเสียด้วยซ้ำไป เพราะสถานการณ์รุมเร้าอย่าง “โงหัวไม่ขึ้น” ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่นับจากนี้ไป จะได้เห็นนักการเมืองทยอยไหลออกจากพรรคเพื่อไทยเป็นระยะๆ ส่วน “2 ก๊ก” ที่เหลือจะห้ำหั่นกันอย่างหนัก คือ “ก๊กส้ม” และ “ก๊กน้ำเงิน” ซึ่งถ้าติดตามสถานการณ์ในเวลานี้จะเห็นได้ว่า “ก๊กส้ม” กำลังเร่งทำคะแนนอย่างหนักจากเรื่อง “มีเรา ไม่มีเทา” เพื่อกอบกู้คะแนนนิยมที่หายไปในช่วงที่ผ่านมา
ส่วน “ก๊กน้ำเงิน” ก็กำลังตกอยู่ในสภาพ “หนูตกถังข้าวสาร” เพราะสถานการณ์เป็นใจ ทำให้กลายเป็นหัวหอกของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” เต็มตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยิ่งการออกมาชู “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” และ “ศุภจี สุธรรมพันธ์” เป็น “แคนดิเดตนายกรัฐตรี” ของ “พรรคภูมิใจไทย” ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ที่เคย “สลัวๆ” เป็นที่ถูกใจฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งคงต้องพิสูจน์กันต่อไปถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริง เพราะอาจเป็นเพียง “เทคนิคเดิมๆ” ด้วยการใช้ “เทคโนแครต” เพื่อหวังผลต่อการเลือกตั้งและทำให้สามารถทำ “อะไรๆ” อย่างที่เคยทำต่อไปได้แบบสบายๆ
และถ้าสุดท้ายแล้ว “ก๊กน้ำเงิน” ประสบความสำเร็จในการโค่น “ก๊กส้ม” ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า นั่นหมายความว่า “ก๊กแดง” จะ “หมดความสำคัญ” ในสมการทางการเมืองอีกต่อไป
ถ้า “ทักษิณ ชินวัตร” ที่วันนี้ติดคุกอยู่ในเรือนจำมาแล้วกว่า 2 เดือนจะโมโหโกรธาและโอดครวญถึงสิ่งที่ตนเองต้องเผชิญ ณ เวลานี้ วิธีเดียวที่จะช่วยได้คือ “กำมือแน่นๆ แล้วเขกกบาลตัวเองสัก 3 ครั้ง” แล้วก้มหน้ารับกรรมที่ทำไว้ต่อไป.


