ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
คงไม่มีใครไม่รู้จักปืนใหญ่ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง แต่น่าจะมีอยู่ไม่น้อยที่อาจไม่รู้ว่า คำว่าปืนใหญ่ของจีนยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ ขี้โม้
คำว่า ปืนใหญ่ ที่หมายถึง ขี้โม้ นี้เป็นคำเดียวกับคำว่าปืนใหญ่ที่เป็นอาวุธ ในภาษาจีนก็คือคำว่า ต้าเผ้า (大炮) บางที่ก็เรียกว่า ไท่เผ้า (太炮) การที่ปืนใหญ่ได้ถูกนำมาใช้เปรียบกับคนขี้โม้นั้น คงเป็นเพราะเสียงของปืนใหญ่ที่ดังสนั่นหวั่นไหวเวลาที่ถูกยิงออกไป เหมือนคนที่ชอบคุยโวโอ้อวดหรือคุยคำใหญ่คำโต ที่บางทีแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริงหรือเป็นไปไม่ได้
ชาวจีนจึงเรียกคนแบบนี้ด้วยคำว่า ต้าเผ้า ที่ได้แต่ส่งเสียงดังเหมือน ปืนใหญ่ แต่กลับเชื่อถือไม่ได้
ในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เคยมีผู้นำที่ถูกตั้งฉายาว่า ปืนใหญ่ หรือคนขี้โม้มาก่อน เขาคนนั้นคือ ซุนยัตเซ็น ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งสาธารณรัฐจีน”
คำถามจึงมีว่า บุคคลสำคัญอย่างซุนยัตเซ็นไป “โม้” อะไรเข้าไว้จึงได้ถูกตั้งฉายาว่า ปืนใหญ่ โดยฉายาที่ว่าคือ ซุนต้าเผ้า (孙大炮) หรือ ซุนปืนใหญ่ และเพื่อให้เข้าใจในเรื่องราวอันเป็นที่มาของฉายานี้ ในที่นี้จะขอเล่าประวัติของซุนยัตเซ็นโดยย่อประกอบไปด้วย
ซุนยัตเซ็น (Sun Yatsen, ค.ศ.1866-1925) เป็นนายแพทย์นักปฏิวัติสาธารณรัฐจีนที่มีชื่อเสียง ชื่อนี้เป็นเสียงจีนกวางตุ้ง จีนกลางออกเสียงว่า ซุนอี้เซียน (孙逸仙) เขาเกิดในหมู่บ้านชุ่ยเหิง อำเภอเซียงซาน ปัจจุบันคือเมืองจงซานในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) เกิดในครอบครัวชาวนาจนที่มีอยู่ด้วยกันอีกห้าชีวิตคือ บิดา มารดา พี่ชาย พี่สาว และน้องสาว
ซุนยัตเซ็นมีความสนใจการเมืองตั้งแต่เด็ก แต่ชีวิตของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงตอนที่เขามีอายุ 12 ขวบ เมื่อเขากับมารดาเดินทางไปพบพี่ชายของเขาที่ตั้งตัวอยู่ที่ฮาวาย และได้ส่งเสียให้เขาได้เรียนหนังสือที่นั่น สิ่งที่เขาได้รับจากการเรียนที่ฮาวายเรื่องหนึ่งคือ หลักคิดในเรื่องสมภาพและภราดรภาพ ที่ต่อไปจะมีผลต่อความคิดทางการเมืองของเขาเอง หลังจากใช้ชีวิตในฮาวายได้ห้าปี เขาก็ได้รับหลักคิดประชาธิปไตย วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมตะวันตกเพิ่มเข้ามา
ที่สำคัญ ซุนยัตเซ็นยังเลื่อมใสในศาสนาคริสต์อีกด้วย เรื่องนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่พี่ชายของเขาเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นเหตุให้พี่ชายของเขาเลิกส่งเสียเขา และส่งเขากลับสู่บ้านเกิดที่จีนทั้งที่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษา
การที่เขาได้รับหลักคิดทางการเมืองและวัฒนธรรมตะวันตกดังกล่าว ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับสังคมจีนที่กำลังเสื่อมถอยในขณะนั้น จนกลายเป็นแรงกระตุ้นสำนึกทางการเมืองของเขาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ.1883 ซุนยัตเซ็นได้เข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกชน พอปีถัดมาก็เข้าเรียนที่วิทยาลัยวิคตอรี่จนจบชั้นมัธยมศึกษา เวลานั้นเขาไม่เพียงใช้ภาษาอังกฤษได้ดี หากแต่ความรู้แขนงอื่นเขาก็รู้ไม่แพ้กัน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากนิสัยรักการอ่านของเขาเอง
เมื่อจบมัธยมศึกษาแล้ว ซุนยัตเซ็นก็เข้าเรียนต่อการแพทย์ที่ฮ่องกงจนจบ จากนั้นก็เปิดคลินิกรักษาคนไข้ทั่วไป จนเป็นที่ยอมรับและรู้จักของคนในฮ่องกง ช่วงนี้ความเจริญในตะวันตกและความเสื่อมในจีน ได้กระตุ้นสำนึกทางการเมืองของเขาอย่างช้าๆ เขามักคุยเรื่องการเมืองกับมิตรสหายอยู่เสมอ
จนเวลาผ่านไป ซุนยัตเซ็นก็ได้ข้อสรุปว่า หนทางเดียวที่จะกอบกู้แผ่นดินจีนในขณะนั้นได้ก็คือ การปฏิวัติ
ซุนยัตเซ็นจริงจังกับการปฏิวัติมาก โดยเขาได้ตั้งขบวนการปฏิวัติขึ้นมาในรูปองค์กรที่มีชื่อว่า สมาคมฟื้นฟูจีน (ซิงจงฮุ่ย, 兴中会, Revive China Society) ใน ค.ศ.1894 สมาคมนี้มีเป้าหมายในการโค่นล้มราชวงศ์ชิง และขับไล่ศัตรูต่างชาติที่เข้ามากดขี่ขูดรีดจีนออกไป
ขบวนการการปฏิวัติภายใต้การนำของซุนยัตเซ็นค่อยๆ ขยายตัวออกไปในหมู่ชาวจีนทั้งในและนอกประเทศจีน โดยนับแต่ที่เขามุ่งมั่นที่จะโค่นล้มราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา เขาได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ขอเพียงทำตามที่เขาจัดการ ทุกอย่างก็จะสำเร็จโดยราบรื่น อย่างแน่นอน
ด้วยบุคลิกภาพเช่นนี้ทำให้คนใกล้ชิดตั้งฉายาให้เขาว่า ซุนปืนใหญ่ หรือ ซุนขี้โม้ (ซุนต้าเผ้า) โดยเฉพาะเมื่อเขาประกาศว่า จะสร้างทางรถไฟระยะทางสองแสนลี้หรือประมาณ 160,000 กิโลเมตรภายในสิบปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปในไม่ได้ แต่ที่เขาทำจริงไม่ได้ “โม้” ก็คือ ตอนที่กำลังเคลื่อนไหวปฏิวัติอยู่ที่ญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1895 เขาได้ตัดหางเปียอันเป็นสัญลักษณ์การปกครองของชนชาติแมนจูทิ้งไป แล้วเปลี่ยนการแต่งกายมาใส่ชุดสากลและไว้หนวด
ขบวนการปฏิวัติของซุนยัตเซ็นมีทั้งที่ราบรื่นและไม่ราบรื่น โดยต่อมาเขาได้ตั้งองค์กรใหม่ขึ้นใน ค.ศ.1905 คือ สมาคมพันธมิตร (ถงเหมิงฮุ่ย, 同盟會, Chinese Revolutionary Alliance) และเสนอหลักคิดที่เรียกว่า “ลัทธิไตรประชา” (ซันหมินจู่อี้, 三民主义, the Three Principles of the People) เพื่อใช้เป็นนโยบายพัฒนาประเทศหากปฏิวัติสำเร็จ
ลัทธิไตรประชาเป็นหลักคิดที่ว่าด้วยหลักประชาชาติ ประชาสิทธิ์ และประชาชีพ โดยหลักประชาชาติหมายถึง เอกราชของจีน หลักประชาสิทธิ์หมายถึง สิทธิเสรีภาพภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และหลักประชาชีพหมายถึง การบำรุงและพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของชาวจีน
แม้การปฏิวัติของซุนยัตเซ็นจะเดินอยู่บนเส้นทางวิบากก็ตาม แต่ก็โค่นล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จใน ค.ศ.1911 หลังจากนั้นสาธารณรัฐจีนก็ถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ.1912 แต่สาธารณรัฐจีนที่เกิดขึ้นก็เต็มไปด้วยความยุ่งยากวุ่นวาย จนเขาต้องพรรคการเมืองขึ้นใหม่ชื่อ พรรคประชารัฐ (กว๋อหมินตั่ง, 国民党, Kuomintang, KMT) ใน ค.ศ.1919
แต่ภารกิจปฏิวัติยังไม่ทันสำเร็จโดยสมบูรณ์ ซุนยัตเซ็นก็สิ้นชีพเสียก่อนด้วยโรคมะเร็งในตับเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1925
หากนับจนถึงปีนี้ (ค.ศ.2025) ซุนยัตเซ็นเสียชีวิตครบ 100 ปีพอดี ตลอดร้อยปีมานี้จีนไม่เคยหยุดที่จะสร้างทางรถไฟ ด้วยเป็นเส้นทางคมนาคมที่มีต้นทุนถูก ซ้ำยังมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง และจากตัวเลขเมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ.2024) ปรากฏว่า จีนได้สร้างทางรถไฟด้วยความยาวทั่วประเทศไปแล้ว 159,000 กิโลเมตร หากเทียบกับความยาวที่ซุนยัตเซ็นที่ตั้งเอาไว้ที่ 160,000 กิโลเมตรแล้ว ก็ยังขาดอยู่อีกเพียง 1,000 กิโลเมตรเท่านั้น
ในเมื่อความยาวขนาดนี้ยังใช้เวลาตั้งร้อยปี มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างเสร็จภายในสิบปี ฉายา ซุนขี้โม้ ของเขาจึงมิใช่เรื่องที่เกินจริง ที่สำคัญคือ ซุนยัตเซ็นก็ใจกว้างพอที่จะไม่ถือโทษโกรธเคืองคนที่ตั้งฉายาให้เขา ซ้ำเขายังพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า เขาตั้งใจที่จะสร้างทางรถไฟให้ได้ความยาวตามที่ตั้งไว้จริงๆ ด้วยการที่เขาไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ แต่ขอเป็นแค่ผู้อำนวยการการรถไฟเท่านั้น
น่าเสียดายที่เขาไม่ทันได้พิสูจน์ให้เห็นก็มาด่วนเสียชีวิตไปเสียก่อน หาไม่เราคงได้รู้แล้วว่า จริงหรือไม่ที่เขาคือ ซุนปืนใหญ่ หรือ ซุนขี้โม้


