คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
กล่าวสำหรับการเมืองการปกครองสวีเดนในยุคแห่งเสรีภาพ สภาบริหารและคณะกรรมาธิการมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายเสนอต่อสภาฐานันดร และจะมีการลอบบี้กันในระหว่างแต่ละฐานันดรพอสมควร แต่ละฐานันดรจะลงคะแนนกันภายในที่ประชุมฐานันดรของตัวเอง แล้วก็จะลงคะแนนออกมาเป็นเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบของแต่ละฐานันดร สำหรับการออกฎหมายปกติ จะต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่คือ สามในสี่ฐานันดร
จากข้างต้น ถ้าพิจารณาในภาพรวม อาจจะมองได้ว่า สภาฐานันดรเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ เพราะผู้ดำรงตำแหน่งตัวแทนที่โดดเด่นจากฐานันดรต่างๆ อันได้แก่ พระที่รับเงินเดือนจากรัฐ และอภิชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80% เป็นทหารหรือข้าราชการพลเรือน และส่วนใหญ่ของสมาชิกจากฐานันดรพ่อค้าก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ฐานันดรชาวนายังไม่มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งราชการ
อย่างไรก็ตาม พวกพระและทหารที่ได้รับเงินชดเชยค่าทำราชการก็ยังเป็นเกษตรกรในชนบทพอๆกั บเป็นข้าราชการและข้าราชการในเมือง ซึ่งคนเหล่านี้ยังใช้เวลาไปกับการทำมาหากินในการทำการเกษตรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัว ยังไม่มีการพัฒนาความสำนึกและความผูกพันของการเป็นสมาชิกในองค์กร เดียวกันภายใต้ระบบราชการที่ลดทอนความแตกต่างในฐานันดร แต่คนเหล่านี้ยังผูกพันกับฐานันดรของตนมากกว่าและมักจะมีผลประโยชน์ที่ขัดกัน แต่กระนั้น อิทธิพลของการเติบโตของระบบราชการก็ได้เริ่มเกิดขึ้นในสภาฐานันดรในตอนกลางศตวรรษที่สิบแปด และเห็นได้ชัดที่สุดในฐานันดรพ่อค้าคนเมืองที่มีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1760
หลักการประการที่สอง คือ หลักการแห่งรัฐสภา (the parliamentary principle) ในรัฐธรรมนูญแนวรัฐสภานิยม ค.ศ. 1720 นี้ ได้กำหนดสัมพันธภาพระหว่างสภาฐานันดรและสภาบริหารไว้ดังนี้คือ สภาฐานันดรมีอำนาจเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นสมาชิกสภาบริหารให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง โดยสมาชิกสภาบริหารมีจำนวนทั้งสิ้น 16 คน มาจากจากสมาชิกของฐานันดรทั้งสามในสภาฐานันดร อันได้แก่สมาชิกจากฐานันดรอภิชน นักบวช พ่อค้าคนเมือง ไม่รวมฐานันดรชาวนา และแต่ละฐานันดรทั้งสามนี้จะเสนอรายชื่อสำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้พระองค์ทรงเลือกรายชื่อที่พระองค์ทรงเห็นชอบจากรายชื่อที่ฐานันดรทั้งสามเสนอมา (แต่ต่อมา พระมหากษัตริย์ทรงไม่มีเสรีภาพที่จะเลือกได้)
และในการลงคะแนนเสียงในสภาบริหาร สมาชิกสภาบริหารแต่ละคนจะมีหนึ่งเสียง และพระมหากษัตริย์จะมีสองเสียง เพื่อใช้ตัดสินในยามที่มีเสียงเท่ากันหรือก้ำกึ่ง และหากพระองค์เป็นเสียงข้างน้อย พระองค์จะทรงต้องยอมรับเสียงข้างมาก “ด้วยเป็นที่เชื่อได้ว่าจะปลอดภัยและเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” และสภาฐานันดรมีอำนาจถอดถอนสมาชิกสภาบริหารได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 จึงเป็นรัฐธรรมนูญแบบรัฐสภานิยม (parliamentarism) ที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภาฐานันดร โดยในความสัมพันธ์ระหว่างสภาฐานันดรกับสภาบริหาร รัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาฐานันดรมีอำนาจเหนือสภาบริหาร
ผู้ที่ชื่นชมกับหลักการดังกล่าวของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะให้เหตุผลปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า สภาฐานันดรไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนประชาชนสวีเดนเท่านั้น แต่ยัง “เป็นตัวประชาชน” เองด้วย นั่นคือ ถ้าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์คือรัฐและรัฐคือพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้สภาฐานันดรมาแทนที่พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ ทำให้รัฐคือสภาฐานันดร และสภาฐานันดรคือรัฐ โดยสภาฐานันดรประกอบไปด้วยตัวแทนจากฐานันดรทั้งสี่ที่ครอบคลุมประชาชนทั้งหมดของสวีเดน และการใช้อำนาจของสภาฐานันดรนั้นสามารถลงไปในทุกเรื่องและในรายละเอียดที่เล็กที่สุดด้วย
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้มีการประชุมสภาฐานันดรทุกๆ 3 ปีและเปิดให้มีการขยายสมัยการประชุมของสภาฐานันดรได้ยาวนาน บางครั้งเป็นเวลาถึง 21 เดือน และให้อำนาจสภาฐานันดรในการเข้าไปตรวจสอบในเรื่องต่างๆที่ลงไปในรายละเอียดมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐธรรมนูญฉบับให้อำนาจสภาฐานันดรในการ “ล้วงลูก” ลงไปในจุดเล็กๆได้
ในช่วงที่ไม่มีการประชุมสภาฐานันดร สภาฐานันดรจะมอบอำนาจให้สภาบริหารดำเนินการบริหารราชการ โดยมีคณะกรรมาธิการลับทำหน้าที่ร่างนโยบายในภาพรวมที่สภาบริหารจะต้องนำมาปฏิบัติจนกว่าจะมีการประชุมสภาฐานันดรครั้งต่อไป
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ให้สภาฐานันดรสามารถใช้อำนาจผ่านคณะกรรมาธิการชุดต่างๆที่ตั้งขึ้น ในการตรวจสอบคำถามต่างๆอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีกและตรวจสอบการแต่งตั้งทุกตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการไม่ได้รับการแต่งตั้ง ลงไปถึงการกำหนว่าจะต้องมีกี่บรรทัดในหน้ากระดาษคำพิพากษาของศาล และในช่วงระหว่างสมัยประชุม สภาฐานันดรยังสามารถออกคำสั่งไปยังสภาบริหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่สภาฐานันดรต้องการ และเมื่อถึงสมัยประชุม สภาฐานันดรจะตรวจสอบรายงานประชุมของสภาบริหารทั้งหมด รวมทั้งตรวจสอบทุกสำนักในระบบราชการด้วย
ดังนั้น หลักการแห่งรัฐสภาในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ของสวีเดนจึงหมายถึง การให้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการอยู่ที่สภาฐานันดร แต่ความหมายของ รัฐสภานิยมหรือ “parliamentarism” ภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 นี้ไม่ได้มีความหมายอย่างในระบบรัฐสภาในปัจจุบันที่การถอดถอนรัฐมนตรีจะมีกระบวนการขั้นตอนต่างๆที่มีการถ่วงดุลอำนาจกันพอสมควร แต่ในรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1720 ได้ให้อำนาจการตัดสินใจต่างๆเป็นอำนาจและสิทธิ์ของเฉพาะตัวสภาฐานันดรเอง และสภาฐานันดรสามารถถอดถอนสมาชิกสภาบริหารที่ทำหน้าที่ประดุจรัฐมนตรีและสามารถตัดสินโทษถึงประหารชีวิตได้ด้วย
หลักการประการที่สามคือ หลักการประชาธิปไตย (the democratic principle) ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ได้กำหนดสัมพันธภาพระหว่างประชาชนกับสภาฐานันดรไว้ดังนี้คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดรจะกระทำโดยให้มีการเลือกตั้งแยกระหว่างแต่ละฐานันดร โดยก่อนหน้านี้จะเป็นการเลือกตั้งผ่านสภาท้องถิ่น อันได้แก่ สภาจังหวัดและสภาตำบล (provincial and parish councils) ยกเว้นบิชอบในฐานันดรนักบวชและหัวหน้าครอบครัวในฐานันดรอภิชนสามารถดำรงตำแหน่งในสภาฐานันดรได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง
การได้มาซึ่งสมาชิกในฐานันดรนักบวช พ่อค้าคนเมืองและชาวนา มาจากระบบเลือกตั้งที่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกำหนดโดยการถือครองทรัพย์สิน และการเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม และให้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดรแก่ผู้หญิงในฐานันดรพ่อค้าคนเมืองและฐานันดรชาวนา หากเธอมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่ามีลักษณะที่มีความเป็นประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง และจากการเลือกตั้งที่เริ่มมีการขยายสิทธิดังกล่าวนี้เอง ที่ต่อมาได้ค่อยๆ พัฒนาไปสู่หลักการที่ว่าฐานันดรทั้งสี่มีสถานะของความเป็นพลเมือง นั่นคือ การเกิดแนวความคิดที่ว่าสมาชิกสภาฐานันดรที่ได้รับการเลือกตั้งไม่เพียงแต่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจตจำนงของเขตเลือกตั้งของเขาเท่านั้น (the will of his constituents) แต่ยังสามารถที่จะใช้วิจารณญาณการตัดสินใจของเขาแทนการตัดสินใจของประชาชนได้
และการทำงานในสภาฐานันดร สภาฐานันดรจะทำการเลือกคณะกรรมาธิการชุดต่างๆขึ้นในตอนเริ่มต้นประชุมสภาในแต่ละสมัยการประชุม และคณะกรรมาธิการที่มีอำนาจมากที่สุดคือ คณะกรรมาธิการลับ (the Secret Committee/ Sekreta utskottet) ที่จะต้องมีการแต่งตั้งใหม่ทุกครั้งในแต่ละสมัยประชุมสภาฐานันดร คณะกรรมาธิการลับแบ่งย่อยออกเป็นคณะทำงานเฉพาะด้าน ทำหน้าที่ดูแลในกิจการต่างๆ ดังต่อไปนี้ อาทิ การคลังสาธารณะ กองทัพ ธนาคารแห่งพระมหากษัตริย์ (royal bank) การบริหารราชการแผ่นดิน (the administration of kingdom) นโยบายต่างประเทศ ฯลฯ โดยคณะกรรมาธิการลับทำหน้าที่จัดวาระนำเสนอต่อสภาฐานันดร กระบวนการการทำงานของคณะกรรมาธิการลับจะถูกปิดเป็นความลับแม้กระทั่งสมาชิกสภาฐานันดรเองก็จะไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้
ในความเข้าใจของเขียน คณะกรรมาธิการลับนี้น่าจะเทียบเท่าคณะกรรมาธิการความมั่นคง เพราะคณะกรรมาธิการลับจะดูแลปัญหาด้านนโยบายต่างประเทศและงบประมาณการคลัง และปัญหาอะไรก็ตามที่ถือว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆ กล่าวได้ว่า การมีคณะกรรมาธิการลับทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “สภาซ้อนสภา” (a parliament within a parliament) ขึ้น
คณะกรรมาธิการลับประกอบไปด้วยกรรมาธิการจำนวน 100 คน มาจากสมาชิกสภาที่มาจากเพียงสามฐานันดรเท่านั้น อันได้แก่สมาชิกสภาที่มาจากฐานันดรอภิชน 50 คน จากฐานันดรนักบวช 25 คนและจากฐานันดรพ่อค้าคนเมือง 25 คน เหตุผลที่สมาชิกสภาจากฐานันดรชาวนาไม่ได้เข้าร่วมในคณะกรรมาธิการลับเป็นเพราะผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 เห็นว่า สมาชิกสภาจากฐานันดรชาวนาไม่สามารถเก็นความลับเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศได้ อีกทั้งไม่สามารถเข้าใจระบบงบประมาณการคลังแผ่นดินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินลงมติสุดท้ายต่อร่างกฎหมายและนโยบายใดๆ สมาชิกจากฐานันดรชาวนาก็มีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินเท่าเทียมกับสมาชิกจากฐานันดรอื่นๆ เพราะผลการลงคะแนนจะต้องเป็นเอกฉันท์จากแต่ละฐานันดรในสภาด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
กล่าวสำหรับการเมืองการปกครองสวีเดนในยุคแห่งเสรีภาพ สภาบริหารและคณะกรรมาธิการมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายเสนอต่อสภาฐานันดร และจะมีการลอบบี้กันในระหว่างแต่ละฐานันดรพอสมควร แต่ละฐานันดรจะลงคะแนนกันภายในที่ประชุมฐานันดรของตัวเอง แล้วก็จะลงคะแนนออกมาเป็นเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบของแต่ละฐานันดร สำหรับการออกฎหมายปกติ จะต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่คือ สามในสี่ฐานันดร
จากข้างต้น ถ้าพิจารณาในภาพรวม อาจจะมองได้ว่า สภาฐานันดรเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ เพราะผู้ดำรงตำแหน่งตัวแทนที่โดดเด่นจากฐานันดรต่างๆ อันได้แก่ พระที่รับเงินเดือนจากรัฐ และอภิชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80% เป็นทหารหรือข้าราชการพลเรือน และส่วนใหญ่ของสมาชิกจากฐานันดรพ่อค้าก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ฐานันดรชาวนายังไม่มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งราชการ
อย่างไรก็ตาม พวกพระและทหารที่ได้รับเงินชดเชยค่าทำราชการก็ยังเป็นเกษตรกรในชนบทพอๆกั บเป็นข้าราชการและข้าราชการในเมือง ซึ่งคนเหล่านี้ยังใช้เวลาไปกับการทำมาหากินในการทำการเกษตรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัว ยังไม่มีการพัฒนาความสำนึกและความผูกพันของการเป็นสมาชิกในองค์กร เดียวกันภายใต้ระบบราชการที่ลดทอนความแตกต่างในฐานันดร แต่คนเหล่านี้ยังผูกพันกับฐานันดรของตนมากกว่าและมักจะมีผลประโยชน์ที่ขัดกัน แต่กระนั้น อิทธิพลของการเติบโตของระบบราชการก็ได้เริ่มเกิดขึ้นในสภาฐานันดรในตอนกลางศตวรรษที่สิบแปด และเห็นได้ชัดที่สุดในฐานันดรพ่อค้าคนเมืองที่มีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1760
หลักการประการที่สอง คือ หลักการแห่งรัฐสภา (the parliamentary principle) ในรัฐธรรมนูญแนวรัฐสภานิยม ค.ศ. 1720 นี้ ได้กำหนดสัมพันธภาพระหว่างสภาฐานันดรและสภาบริหารไว้ดังนี้คือ สภาฐานันดรมีอำนาจเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นสมาชิกสภาบริหารให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง โดยสมาชิกสภาบริหารมีจำนวนทั้งสิ้น 16 คน มาจากจากสมาชิกของฐานันดรทั้งสามในสภาฐานันดร อันได้แก่สมาชิกจากฐานันดรอภิชน นักบวช พ่อค้าคนเมือง ไม่รวมฐานันดรชาวนา และแต่ละฐานันดรทั้งสามนี้จะเสนอรายชื่อสำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้พระองค์ทรงเลือกรายชื่อที่พระองค์ทรงเห็นชอบจากรายชื่อที่ฐานันดรทั้งสามเสนอมา (แต่ต่อมา พระมหากษัตริย์ทรงไม่มีเสรีภาพที่จะเลือกได้)
และในการลงคะแนนเสียงในสภาบริหาร สมาชิกสภาบริหารแต่ละคนจะมีหนึ่งเสียง และพระมหากษัตริย์จะมีสองเสียง เพื่อใช้ตัดสินในยามที่มีเสียงเท่ากันหรือก้ำกึ่ง และหากพระองค์เป็นเสียงข้างน้อย พระองค์จะทรงต้องยอมรับเสียงข้างมาก “ด้วยเป็นที่เชื่อได้ว่าจะปลอดภัยและเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” และสภาฐานันดรมีอำนาจถอดถอนสมาชิกสภาบริหารได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 จึงเป็นรัฐธรรมนูญแบบรัฐสภานิยม (parliamentarism) ที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภาฐานันดร โดยในความสัมพันธ์ระหว่างสภาฐานันดรกับสภาบริหาร รัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาฐานันดรมีอำนาจเหนือสภาบริหาร
ผู้ที่ชื่นชมกับหลักการดังกล่าวของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะให้เหตุผลปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า สภาฐานันดรไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนประชาชนสวีเดนเท่านั้น แต่ยัง “เป็นตัวประชาชน” เองด้วย นั่นคือ ถ้าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์คือรัฐและรัฐคือพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้สภาฐานันดรมาแทนที่พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ ทำให้รัฐคือสภาฐานันดร และสภาฐานันดรคือรัฐ โดยสภาฐานันดรประกอบไปด้วยตัวแทนจากฐานันดรทั้งสี่ที่ครอบคลุมประชาชนทั้งหมดของสวีเดน และการใช้อำนาจของสภาฐานันดรนั้นสามารถลงไปในทุกเรื่องและในรายละเอียดที่เล็กที่สุดด้วย
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 กำหนดให้มีการประชุมสภาฐานันดรทุกๆ 3 ปีและเปิดให้มีการขยายสมัยการประชุมของสภาฐานันดรได้ยาวนาน บางครั้งเป็นเวลาถึง 21 เดือน และให้อำนาจสภาฐานันดรในการเข้าไปตรวจสอบในเรื่องต่างๆที่ลงไปในรายละเอียดมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐธรรมนูญฉบับให้อำนาจสภาฐานันดรในการ “ล้วงลูก” ลงไปในจุดเล็กๆได้
ในช่วงที่ไม่มีการประชุมสภาฐานันดร สภาฐานันดรจะมอบอำนาจให้สภาบริหารดำเนินการบริหารราชการ โดยมีคณะกรรมาธิการลับทำหน้าที่ร่างนโยบายในภาพรวมที่สภาบริหารจะต้องนำมาปฏิบัติจนกว่าจะมีการประชุมสภาฐานันดรครั้งต่อไป
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ให้สภาฐานันดรสามารถใช้อำนาจผ่านคณะกรรมาธิการชุดต่างๆที่ตั้งขึ้น ในการตรวจสอบคำถามต่างๆอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีกและตรวจสอบการแต่งตั้งทุกตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการไม่ได้รับการแต่งตั้ง ลงไปถึงการกำหนว่าจะต้องมีกี่บรรทัดในหน้ากระดาษคำพิพากษาของศาล และในช่วงระหว่างสมัยประชุม สภาฐานันดรยังสามารถออกคำสั่งไปยังสภาบริหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่สภาฐานันดรต้องการ และเมื่อถึงสมัยประชุม สภาฐานันดรจะตรวจสอบรายงานประชุมของสภาบริหารทั้งหมด รวมทั้งตรวจสอบทุกสำนักในระบบราชการด้วย
ดังนั้น หลักการแห่งรัฐสภาในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ของสวีเดนจึงหมายถึง การให้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการอยู่ที่สภาฐานันดร แต่ความหมายของ รัฐสภานิยมหรือ “parliamentarism” ภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 นี้ไม่ได้มีความหมายอย่างในระบบรัฐสภาในปัจจุบันที่การถอดถอนรัฐมนตรีจะมีกระบวนการขั้นตอนต่างๆที่มีการถ่วงดุลอำนาจกันพอสมควร แต่ในรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1720 ได้ให้อำนาจการตัดสินใจต่างๆเป็นอำนาจและสิทธิ์ของเฉพาะตัวสภาฐานันดรเอง และสภาฐานันดรสามารถถอดถอนสมาชิกสภาบริหารที่ทำหน้าที่ประดุจรัฐมนตรีและสามารถตัดสินโทษถึงประหารชีวิตได้ด้วย
หลักการประการที่สามคือ หลักการประชาธิปไตย (the democratic principle) ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ได้กำหนดสัมพันธภาพระหว่างประชาชนกับสภาฐานันดรไว้ดังนี้คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดรจะกระทำโดยให้มีการเลือกตั้งแยกระหว่างแต่ละฐานันดร โดยก่อนหน้านี้จะเป็นการเลือกตั้งผ่านสภาท้องถิ่น อันได้แก่ สภาจังหวัดและสภาตำบล (provincial and parish councils) ยกเว้นบิชอบในฐานันดรนักบวชและหัวหน้าครอบครัวในฐานันดรอภิชนสามารถดำรงตำแหน่งในสภาฐานันดรได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง
การได้มาซึ่งสมาชิกในฐานันดรนักบวช พ่อค้าคนเมืองและชาวนา มาจากระบบเลือกตั้งที่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกำหนดโดยการถือครองทรัพย์สิน และการเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม และให้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดรแก่ผู้หญิงในฐานันดรพ่อค้าคนเมืองและฐานันดรชาวนา หากเธอมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่ามีลักษณะที่มีความเป็นประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง และจากการเลือกตั้งที่เริ่มมีการขยายสิทธิดังกล่าวนี้เอง ที่ต่อมาได้ค่อยๆ พัฒนาไปสู่หลักการที่ว่าฐานันดรทั้งสี่มีสถานะของความเป็นพลเมือง นั่นคือ การเกิดแนวความคิดที่ว่าสมาชิกสภาฐานันดรที่ได้รับการเลือกตั้งไม่เพียงแต่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจตจำนงของเขตเลือกตั้งของเขาเท่านั้น (the will of his constituents) แต่ยังสามารถที่จะใช้วิจารณญาณการตัดสินใจของเขาแทนการตัดสินใจของประชาชนได้
และการทำงานในสภาฐานันดร สภาฐานันดรจะทำการเลือกคณะกรรมาธิการชุดต่างๆขึ้นในตอนเริ่มต้นประชุมสภาในแต่ละสมัยการประชุม และคณะกรรมาธิการที่มีอำนาจมากที่สุดคือ คณะกรรมาธิการลับ (the Secret Committee/ Sekreta utskottet) ที่จะต้องมีการแต่งตั้งใหม่ทุกครั้งในแต่ละสมัยประชุมสภาฐานันดร คณะกรรมาธิการลับแบ่งย่อยออกเป็นคณะทำงานเฉพาะด้าน ทำหน้าที่ดูแลในกิจการต่างๆ ดังต่อไปนี้ อาทิ การคลังสาธารณะ กองทัพ ธนาคารแห่งพระมหากษัตริย์ (royal bank) การบริหารราชการแผ่นดิน (the administration of kingdom) นโยบายต่างประเทศ ฯลฯ โดยคณะกรรมาธิการลับทำหน้าที่จัดวาระนำเสนอต่อสภาฐานันดร กระบวนการการทำงานของคณะกรรมาธิการลับจะถูกปิดเป็นความลับแม้กระทั่งสมาชิกสภาฐานันดรเองก็จะไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้
ในความเข้าใจของเขียน คณะกรรมาธิการลับนี้น่าจะเทียบเท่าคณะกรรมาธิการความมั่นคง เพราะคณะกรรมาธิการลับจะดูแลปัญหาด้านนโยบายต่างประเทศและงบประมาณการคลัง และปัญหาอะไรก็ตามที่ถือว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆ กล่าวได้ว่า การมีคณะกรรมาธิการลับทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “สภาซ้อนสภา” (a parliament within a parliament) ขึ้น
คณะกรรมาธิการลับประกอบไปด้วยกรรมาธิการจำนวน 100 คน มาจากสมาชิกสภาที่มาจากเพียงสามฐานันดรเท่านั้น อันได้แก่สมาชิกสภาที่มาจากฐานันดรอภิชน 50 คน จากฐานันดรนักบวช 25 คนและจากฐานันดรพ่อค้าคนเมือง 25 คน เหตุผลที่สมาชิกสภาจากฐานันดรชาวนาไม่ได้เข้าร่วมในคณะกรรมาธิการลับเป็นเพราะผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 เห็นว่า สมาชิกสภาจากฐานันดรชาวนาไม่สามารถเก็นความลับเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศได้ อีกทั้งไม่สามารถเข้าใจระบบงบประมาณการคลังแผ่นดินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินลงมติสุดท้ายต่อร่างกฎหมายและนโยบายใดๆ สมาชิกจากฐานันดรชาวนาก็มีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินเท่าเทียมกับสมาชิกจากฐานันดรอื่นๆ เพราะผลการลงคะแนนจะต้องเป็นเอกฉันท์จากแต่ละฐานันดรในสภาด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


