ทรัมป์พูดโอ้อวดแทบทุกลมหายใจเข้าออกว่า เขาเป็นผู้เนรมิตทำให้เกิดสันติภาพในดินแดนที่มีการพิพาทสงครามในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกถึง 8 แห่ง ซึ่งไทยและกัมพูชาที่มีการใช้กำลังก็เป็น 8 สงครามที่เขาอ้างถึง; เดิมกรณีไทย-กัมพูชาจะอยู่ลำดับท้ายๆ เพราะเพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด...แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะยกการรบระหว่างไทย-กัมพูชามาอยู่ลำดับที่ 1 เสียแล้ว เพราะมีการจัดฉากใหญ่ที่ KL ซึ่งทรัมป์เป็นฝ่ายกดดันให้เกิดขึ้น โดยใช้กำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เป็นแต้มต่อในการกดดัน และก็ประสบผลสำเร็จตามที่จักรพรรดิทรัมป์ใช้เล่ห์เหลี่ยมจนเกิดฉากลงนาม “Peace Accord” (หรือที่ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเดียวที่เรียกว่า “Joint Peace Declaration”)
ใน 8 สงครามที่จักรพรรดิทรัมป์พูดเกินจริงถึงความสามารถพิเศษของเขาในฐานะ Peace Maker นั้น บางอันมีการโต้แย้งว่า ไม่ใช่บทบาทของทรัมป์หรอกที่คู่สงครามได้มีการหยุดยิง (ชั่วคราว) เช่น กรณีระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งนายกฯ โมดีของอินเดีย ไม่ได้พูดให้เครดิตแก่ทรัมป์ หรือแม้แต่จะขอบคุณทรัมป์เลยแม้แต่น้อยนิด; ในทางตรงข้าม นายกฯ โมดีพูดครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าฝูงประชามหาชนว่า การหยุดยิงระหว่างอินเดียและปากีสถานนั้น เป็นเพราะกองทัพอันเกรียงไกรยิ่งใหญ่ของอินเดียต่างหากทำให้ปากีสถานยินยอมเจรจาหยุดยิงในที่สุด…อันนี้ทำให้ทรัมป์โกรธมาก และผสมกับทรัมป์กดดันอินเดียยิ่งขึ้นให้เลิกซื้อน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ (LNG) จากรัสเซีย เพราะอินเดียกำลังเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับ War Economy ของรัสเซีย และแนะให้อินเดียหันมาซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ แทนที่นั่นเอง…ซึ่งอินเดียก็ตอบสหรัฐฯ แบบขอไปทีว่า จะพยายามลดปริมาณที่ซื้อพลังงานจากรัสเซีย โดยขอเวลาในการปรับตัวหน่อย
ตอนแรกๆ อินเดียส่ายหน้าต่อข้อเรียกร้องกดดันของสหรัฐฯ โดยใช้เหตุผลเดิมที่ใช้มาตั้งแต่เริ่มสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน (3 ปีที่แล้ว) ว่า อินเดียมีประชากรส่วนใหญ่ที่ยากจนมากๆ จึงจำเป็นต้องซื้อพลังงานราคาถูกที่สุดจากแหล่งใดก็ได้ ซึ่งรัสเซียขายให้ในราคาถูกมาก และยังสามารถให้จ่ายเป็นรูปีหรือรูเบิลก็ได้ (ไม่ต้องไปแลกเป็นดอลลาร์ก่อน ซึ่งมีต้นทุนในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ตลอดจนความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดเงินตราต่างประเทศ)
จักรพรรดิทรัมป์ไม่พอใจอินเดียใน 2 เรื่องคือ ไม่ยอมเลิกซื้อพลังงานจากรัสเซีย (ทันที) หลังจากเขาประกาศตอบโต้กำแพงภาษีแล้ว “Liberation Day” และอินเดียไม่ยอมให้เครดิตเขาที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยนำสันติภาพมาแทนที่การรบระหว่างอินเดียและปากีสถาน (กรณีแคชเมียร์)…โดยเฉพาะจากการที่ผู้นำปากีสถานลงทุนสรรเสริญเยินยอเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ที่ปากีสถานยอมหยุดยิงเข้าใส่อินเดียนั้น เป็นเพราะทรัมป์กดดันจะขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าของปากีสถานนั่นเอง-ซึ่งปากีสถานได้ประกาศเสนอชื่อทรัมป์ให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2525 ด้วยซ้ำ
ทรัมป์จึงลงโทษอินเดียโดยประกาศยกระดับกำแพงภาษีตอบโต้ต่อสินค้าจากอินเดียจาก 26% เป็น 50% แต่อินเดียยังยืนตอกตะปูว่า ความยิ่งใหญ่ของกองทัพอินเดีย ทำให้ปากีสถานยอมหยุดยิงและมาเจรจาในที่สุด
สำหรับสงครามที่ 9 ที่ทรัมป์พยายามนักพยายามหนาว่า เขาสามารถทำให้หยุดยิง (ทั้งชั่วคราวและถาวร) ได้ภายใน 24 ชม.หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 19 มกราคม เมื่อต้นปี-นั่นคือ สงครามที่รัสเซียบุกยูเครนมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว
หลังรับตำแหน่งได้ 3 เดือน ปรากฏทรัมป์ไม่สามารถทำได้ในการสงบศึกที่ยูเครน หลังโทรศัพท์ไปพูดกับปูตินหลายรอบแล้วก็ตาม
คราวนี้ถึงตาของ สว.อาวุโสแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่พยายามมีบทบาทที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ต้องเข้ามาทำให้สำเร็จ โดยทำเป็นร่างกฎหมายที่จะลงโทษประเทศใดๆ ที่ซื้อ (ทั้งเปิดเผยและแอบทำ) พลังงานรัสเซีย (ทั้งน้ำมันดิบ, LNG, ผลิตภัณฑ์น้ำมัน, วัตถุเปโตรเคมีทุกชนิด รวมทั้งแร่ธาตุและเชื้อเพลิงยูเรเนียม) และรวมทั้งอาวุธจากรัสเซีย…จะถูกคว่ำบาตรลงโทษแบบ Secondary Sanction คือ สินค้าจากประเทศเหล่านี้ ที่ซื้อผลิตภัณฑ์จากรัสเซีย เมื่อตัวเองส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ จะถูกลงโทษต้องเจอภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 500%...และจะรวมถึงสินค้าของรัสเซียเองที่จะนำเข้าสหรัฐฯ ด้วย
2 สว.นี้คือ ลินด์ซีย์ แกรแฮม จากรัฐเซาท์แคโรไลนา และริชาร์ด บลูเมนธัล จากรัฐคอนเนตทิคัต ที่ต้องการแสดงผลงานเพื่อหยุดสงครามยูเครนให้ได้ผล-ทั้งคู่ได้ล่ารายชื่อ สว.ได้ถึง 81 รายชื่อ (จาก สว. 100 คน) นับว่าร่างกฎหมายนี้ได้รับแรงสนับสนุนสูงมากจากทั้งสองพรรค (Bipartisan) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงหลังทรัมป์ประกาศกำแพงภาษีวัน Liberation Day ที่เขาไม่มีประกาศกำแพงภาษีสำหรับรัสเซีย เพราะยังอยู่ในช่วงที่สหรัฐฯ ทำการคว่ำบาตรสินค้าจากรัสเซียอยู่แล้ว
ในช่วงมิถุนายนที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ขอให้การเคลื่อนไหวของวุฒิสภาเพื่อขึ้นภาษีถึง 500% แก่ประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย (เป้าโดยตรงคือ อินเดีย, จีน, ตุรกี, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้-3 ประเทศหลังนี้แอบซื้อจากรัสเซีย) รวมทั้ง 5 ประเทศในสหภาพยุโรปที่ซื้อเตาปฏิกรณ์ปรมาณูในการผลิตไฟฟ้าจากรัสเซียมานานแล้ว (และต้องพึ่งยูเรเนียมจากรัสเซียในการเดินเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูของตน-ได้แก่ บัลแกเรีย, เช็กรีพับลิก, ฮังการี, สโลวาเกีย และฟินแลนด์)-ทรัมป์ขอให้ชะลอการขับเคลื่อนในวุฒิสภาสหรัฐฯ ไว้ก่อน
ทรัมป์พยายามจัดให้มีการพบกันระหว่างปูตินและเซเลนสกี้ แต่รัสเซียบอกว่าไม่ต้องการพบและทำข้อตกลงใดๆ กับเซเลนสกี้เพราะเป็นรัฐบาลเถื่อนที่อยู่เลยวาระการบริหารประเทศ
ทรัมป์จึงจัดให้มีการพบสุดยอดระหว่างเขากับปูตินที่อะแลสกาในเดือนสิงหาคม ซึ่งผลก็ไม่สามารถโน้มน้าวปูตินให้หยุดยิงที่ยูเครนได้
ทรัมป์พยายามอีกครั้ง จะพบตัวต่อตัวกับปูตินที่บูดาเปสต์ (เมืองหลวงของฮังการี) แต่ในที่สุด ปูตินไม่มีการยั้งมือในการถล่มยูเครนอย่างรุนแรงมากขึ้น (หลังจากยูเครนยิงทั้งขีปนาวุธและโดรน-ที่เพิ่งได้รับมาจากสหภาพยุโรป เข้าถล่มอย่างหนักต่อแหล่งขุดเจาะและท่าเรือรัสเซียที่ส่งน้ำมันออกสู่โลก) ดังนั้น การพบกันที่บูดาเปสต์ก็จึงไม่เกิดขึ้น
ประกอบกับการเคลื่อนไหวจากนักการเมืองรีพับลิกันทั้งสภาล่างและวุฒิสภา ที่ไม่ต้องการให้นำภาษีคนอเมริกันไปช่วยยูเครนต่อไป (เพราะมีคอร์รัปชันที่ยูเครนสูงมาก-ทั้งในกองทัพและในรัฐบาล) โดย “อเมริกาต้องมาก่อน” จึงควรนำงบมาช่วยคนอเมริกันดีกว่าไปช่วยยูเครน
ทรัมป์จึงประกาศเมื่อต้นอาทิตย์นี้ว่า เขาพร้อมลงนามในกฎหมายที่กำลังนำเข้าทั้งวุฒิสภาและสภาล่าง ที่จะลงโทษประเทศที่ไป (แอบ) ซื้อน้ำมันและยูเรเนียมจากรัสเซีย โดยประเทศเหล่านี้ (นำโดยอินเดียและจีน) จะโดนภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ สูงถึง 500%-ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการกดดันด้วยการเจรจาข่มขู่แบบทรัมป์ (Art of the Deal) มาใช้ เพื่อบรรลุผลในการตัดกำลังทางเศรษฐกิจของรัสเซีย เพื่อปูตินจะยอมหยุดยิงในยูเครนให้จงได้
เหมือนอย่างที่ทรัมป์มองว่า ได้ผลสำเร็จในกรณีไทย-กัมพูชา และอินเดียกับปากีสถานนั่นเอง


