ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ประเด็นร้อน “ด้อยค่านมโคไทย” จากคลิปรายการดังแชร์ในโซเชียลมีเดีย บทเรียนการทำคอนเทนต์ปั่นกระแสของสื่อ การให้ชุดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนโดยอินฟูเอนเซอร์ ไม่เพียงสะเทือนความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์นมโคอย่างร้ายแรง แน่นอนว่า การแสดงความรับผิดชอบเพียง “ลบคอนเทนต์” อาจไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เป็นโจทย์ของรัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามากำกับดูแลหรือไม่?
กล่าวสำหรับ “ดรามาด้อยค่านมไทย” เริ่มต้นจากที่รายการ WOODY AVENGERS ของ “วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา” ได้ปล่อยตัวอย่างวิดีโอรายการตอน “อาหารที่คิดว่าดี อาจกำลังทำร้ายร่างกาย” โดยมีแขกรับเชิญได้แก่ “เชฟทักษ์ - นุติ หุตะสิงห์” เจ้าของเพจ “TUCK the CHEF” และ “เมย์ - ศวิตา เศรษฐาภรณ์” เจ้าของเพจ Ms Happy Diet – Everyday Wellness
คลิปตัวอย่างคลิปมีหลายประโยคที่หลายคนมองว่า “สร้างความเข้าใจผิด” และ “สร้างตื่นตระหนก” แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมไทย อาทิ
“นมวัวไทย ส่วนมากไม่ใช่นมแท้ เป็นนมผงผสม ไปเมืองนอก ไปกินชีสบ้านเขา ทำไมท้องไม่อืดเหมือนกินที่เมืองไทย”
“นมรีดสดใหม่บูดง่าย ถ้าอยู่เมืองไทยอยากกินนมจริง ไม่ใช่นมผง ต้องเป็นนม grass fed”
“ของแท้มีน้อยกว่าที่คิด และบางกล่องอาจไม่เคยแตะวัวจริงเลย” เป็นต้น
หลังจากมีการเผยแพร่คลิปตัวอย่างกลายเป็นประเด็นร้อนทันที เพราะมองว่าเป็นการชี้นำโดยให้ข้อมูลด้านเดียว เริ่มตั้งแต่ รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาให้อธิบายให้ความรู้ในหลายๆ ประเด็น ตั้งแต่กระบวนการผลิตนมผงว่าเป็นเพียงกระบวนการทำแห้ง แค่ดึงน้ำออกจากนมสด เพื่ออายุการเก็บรักษา และอาจจะมีการเติมสารบางตัว เช่น สารอีมัลซิไฟเออร์ (ช่วยให้ไขมันนมละลายเข้ากันน้ำได้ดี) ซึ่งต้องเป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กับอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตามมาตรฐานว่าปลอดภัย
ขณะที่นมในไทยทั่วไปหลายยี่ห้อก็เป็นน้ำนมโคสด 100% อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องจนต้องไปหานม Grass Fed ที่แพงกว่า เพราะนม Grass Fed คือนมที่ได้จากแม่วัว ซึ่งถูกเลี้ยงด้วย “หญ้า” ตามธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ค่อยให้อาหารอื่น ๆ เช่น พวกข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ กิน แค่นั้น นอกจากนี้ ได้อธิบายกรณีการทานนมไทยแล้วท้องอืดนั้น เป็นเรื่องของภาวะที่ร่างกายย่อยน้ำตาลแลกโตสในนมได้ยาก ทำให้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียง่าย ไม่เกี่ยวกับนมไทย
พร้อมกันนี้ ภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องความว่า ผลิตภัณฑ์นมแต่ละประเภทมีกฎหมายควบคุมคุณภาพ และความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่น้ำนมโคสด 100% ไปจนถึงน้ำนมที่มีส่วนผสมของนมผงและส่วนผสมอื่นๆ เพื่อปรุงแต่งรสชาติ เช่น นมปรุงแต่ง หรือ นมคืนรูป ซึ่งอาจมีการเสริมสารอาหารเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
ตอกย้ำว่าผลิตภัณฑ์นมทุกประเภทที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. มีความปลอดภัย คุณภาพมาตรฐาน และคุณค่าทางโภชนาการ ตามที่กฎหมายกำหนด สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่มียาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน และจุลินทรีย์ก่อโรค
อย่างไรก็ตาม หลังตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนัก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางรายการตบเท้าออกมาแสดงความรับผิดชอบ “วู้ดดี้ – วุฒิธร” อ้างถึงความตั้งใจ คือ “ชวนทุกคนตั้งคำถามกับสิ่งที่เรากินอยู่ทุกวัน” ไม่ได้ตั้งใจทำให้รู้สึกว่า "นมไทยด้อยคุณภาพ" ทั้งนี้ ได้ระงับการเผยแพร่คลิปชั่วคราว รวมถึง กำลังเตรียมตอนพิเศษร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ แพทย์ และตัวแทนจากอุตสาหกรรมนมไทย เพื่อพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาในทุกประเด็น
ขณะที่ “เชฟทักษ์ – นุติ” ได้ออกมาขอโทษที่เนื้อหาที่ถูกตัดมาอาจทำให้สังคมเข้าใจผิด พร้อมกับย้ำว่า อยากให้คนไทยดื่มนมวัว เพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วน เช่นเดียว “เมย์ – ศวิตา” ที่เปิดใจถึงเจตนารมณ์เพียงอยากให้คนตระหนักถึงคุณภาพและแหล่งที่มาของอาหารที่บริโภค พร้อมประกาศว่ายินดีและเต็มใจช่วยเหลือเกษตรกรโคนมไทย และการให้ข้อมูลในรายการดังกล่าวเป็นการเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้มีสปอนเซอร์นมวัวใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงแบรนด์นมโคไทยสเเชียลตี้ “Mace milk” เพราะ “เชฟทักษ์ - นุติ หุตะสิงห์” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าได้รับการสนับสุนหรือไม่อย่างไร ซึ่งเจ้าตัวออกมาปฏิเสธในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ดรามาด้อยค่านมโคไทยจากรายการดังเป็นตัวอย่างสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของคำพูดจากปากอินฟูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และปัญหาการใช้ชุดข้อมูลความรู้มีบิดเบี้ยวของคนดัง เกิดคำถามว่ารัฐควรเข้ามากำกับดูแลกำหนดบทลงโทษ เหล่าอินฟูลเอนเซอร์กับการผลิตคอนเทนต์เชิงให้ข้อมูลความรู้ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่
สื่อรุ่นใหญ่อย่าง “ต๊ะ - นารากร ติยายน” ผู้สื่อข่าวและพิธีกรชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นถึงกระแสดราม่าด้อยค่านมวัวไทย ใจความสำคัญมองว่าผู้ผลิตรายการผิดพลาด ไม่ใช่แค่ลบคลิปแล้วจบกัน เพราะทำให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมโคนมของไทย ที่กำลังเผชิญความยากลำบากต้องเทนมทิ้งแทบทุกวัน
นอกจากนี้ ประเด็นของแขกรับเชิญมีความไม่เหมาะสม อย่าง “เมย์ - ศวิตา เศรษฐาภรณ์” เจ้าของเพจ Ms Happy Diet – Everyday Wellness ผู้มีอคติต่อโปรตีนจากสัตว์อย่างชัดเจน และเชียร์แพลนท์เบสอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู อีกทั้ง ยังขายอาหารเสริมโปรตีนจากแพลนท์เบส
ประเด็นที่เกิดขึ้นนับเป็นบทเรียนสำคัญที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยควรพิจารณาแนวทางจัดระบบระเรียบสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดอย่างอินฟูลเอนเซอร์กับการผลิตคอนเทนต์เชิงให้ข้อมูลความรู้ผิดเพี้ยนชี้นำสร้างความเข้าใจผิดกระทบในวงกว้าง
ความเคลื่อนที่น่าสนใจของรัฐบาลจีน ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีการประกาศกฎระเบียบใหม่บังคับให้อินฟลูเอนเซอร์ที่นำเสนอเนื้อหาเฉพาะทาง เช่น การแพทย์ การเงิน และกฎหมาย ต้องมีคุณสมบัติหรือใบรับรองทางวิชาชีพเพื่อยืนยันความเชี่ยวชาญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จและปกป้องประชาชนจากการได้รับคำแนะนำที่ผิดพลาดหรือเป็นอันตราย
พลิกโฉมวงการคอนเทนต์ออนไลน์โดยกำหนดให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ต้องมี “คุณสมบัติทางวิชาชีพ อย่างเป็นทางการก่อนจะพูดถึงประเด็นที่ถือว่าอ่อนไหว เช่น การแพทย์ การศึกษา การเงิน หรือกฎหมาย ภายใต้การกำกับของหน่วยงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (Cyberspace Administration of China: CAC) โดยมีจุดประสงค์ เพื่อรับมือกับข้อมูลเท็จและปกป้องประชาชนจากคำแนะนำที่ผิดหรือเป็นอันตราย
ภายใต้กฎใหม่ดังกล่าวอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการพูดถึงหัวข้อที่ถูกกำกับ ต้องแสดงหลักฐานยืนยันความเชี่ยวชาญ เช่น ปริญญา ใบอนุญาตวิชาชีพ หรือใบรับรองอื่นๆ ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มใหญ่ของจีนอย่าง โต่วอิน (Douyin), บิลิบิลิ (Bilibili) และ เว่ยป๋อ (Weibo) ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สร้างเนื้อหา และต้องแน่ใจว่าโพสต์หรือวิดีโอนั้นมีการระบุแหล่งอ้างอิงและคำชี้แจงอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังประกาศข้อห้ามเพิ่มเติมสั่งห้ามการโฆษณาผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อป้องกันการโปรโมตเชิงพาณิชย์ที่แอบแฝงอยู่ในวิดีโอที่เหมือนว่าจะเป็นแค่เนื้อหาด้านความรู้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน เกิดเสียงวิพากษ์ว่ากฎหมายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ และเสรีภาพในการพูด เป็นปิดกั้นเสียงอิสระและจำกัดการถกเถียงเชิงวิพากษ์ในสังคม ท่ามกลางเสียงตอบรับที่ดีของชาวจีนที่มองว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพเนื้อหาให้มีความถูกต้องมากขึ้นในประเด็นที่ละเอียดอ่อน
ข้อมูลจากงานวิจัยมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ (University of Portsmouth) ระบุว่าวัฒนธรรมอินฟลูเอ็นเซอร์มักเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ สร้างค่านิยมความงามที่ไม่สมจริง และกระตุ้นพฤติกรรมเปรียบเทียบเชิงลบ จนนำไปสู่รูปแบบการบริโภคที่หลอกลวงและเสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าจะพุ่งสูงถึง 480 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 ปัจจัยจากแบรนด์ต่างๆ ยังคงพึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภค
ตัดภาพกลับมาที่รัฐบาลไทย ยังคงต้องติดตามว่าจะมีการทำคลอดมาตรการเข้ามากำกับดูแลการผลิตคอนเทนต์เชิงให้ข้อมูลความรู้ของเหล่าอินฟูลเอนเซอร์ เพื่อปกป้องประชาชนจากการได้รับข้อมูลที่ผิดเพี้ยนที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่?


