ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - และแล้วทหารไทยก็ต้อง “เสียขา” เป็น “รายที่ 7” จากการเหยียบกับระเบิดของกัมพูชาที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ เข้าจนได้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ถ้ารัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูลไม่มัวแต่ “สร้างภาพ” จนทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา “วนลูบ” อยู่ในวัฏจักรแบบเดิมๆ คือ “เหยียบกับระเบิด-เจรจา-หยุดยิง” แล้วก็วนกลับมาใหม่
จนเกิดคำถามอยู่ในหัวว่า หรือจะมีอะไรอย่างที่ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” โยนประเด็นชวนให้ค้นหาความจริงว่า “ตอนนายกรัฐมนตรีอนุทิน เป็นรมว.สธ. เกิดเพลิงไหม้บ่อนการพนันที่ปอยเปต รมว.สธ.อนุทิน ให้เฮลิคอปเตอร์ของไทย ไปรับผู้บาดเจ็บมารักษาที่เมืองไทย ช่วยถามหน่อยว่า บ่อนนั้นเป็นของใคร”
ขณะที่เมื่อไล่เรียงไปที่ตัว “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” เอง ก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่ “ร้องไห้” ในวันที่ไปเยี่ยมทหารที่ขาขาดว่า เกิดจากความรู้สึกคับแค้นใจจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่ “การสร้างภาพ” อย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันดังขรมไปทั่วทั้งแผ่นดินอยู่ในขณะนี้
เพราะในการลงพื้นที่ นายอนุทินย่อมได้รับรายงานข้อเท็จจริงและสัมผัสได้ถึงเล่ห์ของฝ่ายกัมพูชาที่กระทำต่อฝ่ายไทย รวมทั้งรับรู้ว่า การไปลงนามในปฏิญญาสันติภาพ” ร่วมกับกัมพูชาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ “อันวาร์ อับราฮิม” เข้าวุ่นวาย โดยใช้การกดดันจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกานั้น มิได้เกิดประโยชน์ใดๆ กับประเทศไทย ทำให้ไทยนอกจากจะเสียโอกาสที่จะเลิก MOU ทั้งสองฉบับเสียด้วยซ้ำไปแล้ว ยังถูกสหรัฐฯ มัดมือชกในเรื่อง “แรร์เอิร์ธ” อีกต่างหาก
เพราะในการลงพื้นที่ นายอนุทินต้องรับทราบว่า กับระเบิดชนิด PMN-2 นั้น มีสภาพใหม่ ไม่เป็นสนิม และถูกฝังอย่างเป็นแนวต่อเนื่องในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งไม่ใช่จุดที่เคยมีทุ่นระเบิดตกค้างมาก่อน จึงถือเป็น “การลักลอบวางใหม่” หลังข้อตกลงสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์เพิ่งมีผลบังคับใช้ไม่นาน
สอดรับกับรายงานของสำนักข่าว Reuters ที่ระบุชัดว่า จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดระหว่างประเทศ พบว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บนั้น “มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นระเบิดใหม่” ซึ่งแปลว่ากัมพูชาอาจละเมิดข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ที่ห้ามดำเนินการทางทหารหรือวางกับระเบิดในพื้นที่พิพาทโดยเด็ดขาด
ไม่ใช่เป็นไปตามที่ฝ่ายกัมพูชาก็แก้ตัวน้ำขุ่น ๆว่า โดยอ้างว่าทุ่นระเบิดที่ระเบิดนั้นเป็นของตกค้างจากยุคสงครามในอดีต พร้อมเตือนให้ไทยอย่านำเหตุการณ์นี้ไป “ทำให้เป็นเรื่องการเมือง” เพราะจะกระทบต่อกระบวนการสันติภาพระหว่างสองประเทศ จากนั้นก็ใช้วิธีการสกปรกเดิมๆ ตัดต่อภาพสร้างข่าวเท็จ กล่าวหาไทยจัดฉากวางระเบิดให้กำลังพลตัวเองรับเคราะห์ หวังกลบพฤติกรรมการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชาเอง
ขณะเดียวกัน นายอนุทินก็ย่อมต้องรับรับรู้ถึงได้ถึง เล่ห์ของฝ่ายกัมพูชาที่ปรากฏออกมาเป็นฉากๆ อย่างต่อเนื่อง นั่นคือ การที่ทหารกัมพูชาเปิดฉากยั่วยุต่อด้วยการยิงอาวุธสงครามเข้ามาในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว แต่รัฐบาลฮุน มาเนตกลับอ้างว่า ฝ่ายไทยเป็นคนเปิดฉากยิง พร้อมกับออกแถลงการณ์ประณามฝ่ายไทย และเปิดเผยด้วยว่า เหตุดังกล่าวทำให้พลเรือนชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 คน และเสียชีวิต 1 คน
ถัดจากนั้นไม่นานนัก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา(CHRC) ยื่นคำร้องเร่งด่วนถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ทั้งในเจนีวา และ OHCHR สำหรับภูมิภาคอาเซียน ในกรุงเทพฯ, สถาบันสิทธิมนุษยชนอิสระในอาเชียน รวมไปถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระหว่างรัฐบาลอาเซียน (AICHR) ในเรื่องเกี่ยวกับคำกล่าวหาที่ว่าไทยโจมตีพลเรือนกัมพูชาในวันที่ 12 พฤศจิกายน
รายงานของ Agence Kampuchea Presse สำนักข่าวแห่งชาติกัมพูชา ระบุว่าในถ้อยแถลงของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ที่เผยแพร่เมื่อช่วงเย็นวันพุธ(12พ.ย.) ระบุว่าการโจมตีพลเรือนกัมพูชา เข้าองค์ประกอบของการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ในนั้นรวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติ, ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR), กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR), อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศ(ICESCR), อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และปฏิญญาความร่วมมือกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ลงนามในวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ที่มีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน
ขณะที่ฝ่ายไทยมีการจับพิรุธว่า การเปิดฉากยิงที่บ้านหนองหญ้าแก้วนั้น เป็นการจัดฉากยิงเพื่อหวังเบี่ยงประเด็นจากเรื่องกับระเบิด โดยเพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ก็ได้โพสต์ภาพการจัดพิธีศพชาวบ้านกัมพูชาที่อ้างว่าเสียชีวิตจากการถูกทหารไทยยิงเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมชี้ให้เห็นพิรุธว่า จะเป็นการเล่นละครเผาโลงเปล่าเพื่อตบตาชาวโลกหรือไม่ เนื่องจากมีการรีบเผาอย่างผิดปกติ หลังจากที่เสียชีวิตเมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ ของเมื่อวาน แต่ทำพิธีเผาอย่างรวกเร็วในช่วงเที่ยงวันนี้ หลังจากตั้งสวดเพียง 4 ชั่วโมง ผิดจากธรรมเนียมที่มักตั้งศพไว้ 3-5 วันก่อนเผา รวมทั้งโพสต์วิดีโอคลิปและภาพนักการเมืองกัมพูชาเข้าเยี่ยมประชาชนที่อ้างว่าได้รับบาดเจ็บ 3 ราย จากการถูกทหารไทยยิงเมื่อวันที่ 12 พ.ย. และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาลมิตรภาพกัมพูชา-ญี่ปุ่น อำเภอมงคลบุรี จังหวัดบันทายมีชัย ขณะผู้ป่วยยังนอนโคม่ายังไม่พ้นวิกฤต และ ใส่ร้ายไทยว่าใช้ปืนกลเบา RPD ยิง ทั้งที่ในความเป็นจริงกองทัพไทยไม่มีปืนชนิดนี้ใช้งาน
คำถามมีอยู่ว่า การประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพ พร้อมสนับสนุนการตัดใจของกองทัพนั้น เป็นเพียงแค่การ “สร้างภาพ” เพื่อเรียกคะแนนเสียงให้กับตัวเอง หรือไม่ อย่างไร เพราะการระงับนั้นความหมายมันคือ “ชั่วคราว” เท่านั้น “ไม่ใช่ยกเลิก”
ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดเป็นรายที่ 7 และการที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุ แต่เป็นเรื่องที่กระทบต่ออธิปไตยโดยตรง แม้ว่าครั้งนี้รัฐบาลจะดูขึงขัง และนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะมีท่าทีแข็งกร้าวเด็ดขาด รวมไปถึงสนับสนุนเดินตามหลังกองทัพในการจัดการกับปัญหาตามแนวชายแดนก็ตามที ทว่า ไม่ใช่การการแก้ปัญหาที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและตรงจุดแต่ประการใด
เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ต้นตอของปัญหาทั้งหมดอยู่ตรงที่ MOU 2543 และ MOU 2544 ซึ่งที่ผ่านมา เหมือนกับว่ารัฐบาลพยายามซื้อเวลาในการยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว โดยโยนให้ประชาชนลงประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง อ้างว่าเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่สำหรับเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องซับซ้อนมีรายละเอียดมากมาย ทำให้การตัดสินใจของประชาชนอาจไม่มีความรอบด้านและลึกซึ้งเพียงพอ เมื่อสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นรัฐบาลก็หันกลับมาให้คณะกรรมาธิการทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พิจารณาศึกษาถึงข้อดีข้อเสียว่าสมควรคงอยู่ ยกเลิก หรือให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่
ทั้งๆ ที่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่า MOU ทั้งสองฉบับ “ไม่มีประโยชน์” ที่สำคัญคือที่ผ่านมามีการบันทึกเอาไว้ว่า ฝ่ายไทยได้มีการประท้วงกัมพูชามากกว่า 600 ครั้ง หลังจากถูกละเมิด ไม่ว่าจะเป็นการรุกล้ำดินแดน หรือการลอบวางทุ่นระเบิด ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน เหมือนกับครั้งล่าสุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดทำให้ “ขาขาด” เป็นรายที่ 7 และไทยก็ทำการประท้วงไปอีกครั้ง
ด้วยเหตุดังกล่าว ในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลนายอนุทินยกเลิกปฏิญญาสันติภาพกับกัมพูชาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปในทันทีก็คือเลิก “สร้างภาพ” และเดินหน้าแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้ตรงจุดเสียที นั่นก็คือ การประกาศยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อปลดพันธะในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ จากนั้นเดินหน้าสร้าง “รั้วถาวร” ตลอดแนวชายแดน โดยยึดตามแผนที่มาตรฐานสากลที่นานาอารยประเทศยอมรับคือ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 เริ่มจากจุดที่ “บ้านหนองจาน” และ “บ้านหนองหญ้าแก้ว” ซึ่งเป็นดินแดนในอธิปไตยของราชอาณาจักร
ที่น่าสนใจที่สุดอยู่ตรงการที่นายอนุทินตอบคำถามเรื่องเหตุเหยียบทุ่นระเบิดล่าสุดจะนำไปสู่การยกเลิก MOU 43 และ44 ง่ายขึ้นหรือไม่เอาไว้ “นโยบายรัฐบาลทั้งเรื่อง MOU 43 และ 44 รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความต้องการที่จะดำเนินการต่อ”
คำถามก็คือ เป็นคำตอบที่สร้างภาพอีกหรือไม่ เพราะถ้าไม่ต้องการจะดำเนินการต่อ ก็นำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) และมีมติยกเลิกได้ในทันที
เรื่องนี้จะได้รับการพิสูจน์ในไม่ช้าว่า ปากกับใจของนายอนุทินนั้น ตรงกันหรือไม่ เพราะในวันที่นายอนุทิน “ร้องไห้” ขณะไปเหยียบทหารที่เหยียบกับระเบิด สื่อกัมพูชายังวิจารณ์หนักๆ เลยว่า “เหมือนน้ำตาจระเข้”.


