xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้สึกทางการเมืองไทยร่วมสมัย: ผลประโยชน์ ความทรงจำ และความหวัง / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"


การเมืองไทยหลังปี 2568 กำลังเคลื่อนไปในพื้นที่ที่ซับซ้อนกว่าการต่อสู้ของพรรคและอำนาจ หากแต่คือการต่อสู้ของความรู้สึกทางการเมือง (political sentiments) ที่ผูกพันอยู่ในโครงสร้างของชีวิตผู้คน ความเชื่อ ความทรงจำ และความหวังที่ยังไม่สิ้นสุด ประชาธิปไตยไทยจึงมิได้เป็นเพียงระบบการปกครอง แต่เป็นสนามต่อสู้ของความหมาย ระหว่างอดีตที่ยังไม่ยอมตาย ปัจจุบันที่ยังไม่มั่นคง และอนาคตที่ยังไม่แน่นอน

การวิเคราะห์การเมืองผ่านมิติของ “ความรู้สึก” ไม่ใช่การลดทอนการเมืองให้เป็นเรื่องของอารมณ์เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการยอมรับว่าการเมืองคือการต่อสู้เพื่อความหมาย ที่เกิดขึ้นในระดับของประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่เพียงในห้องประชุมหรือสภา กล่าวได้ว่าการเมืองในยุคหลังสมัยใหม่คือการต่อสู้เพื่อสร้าง "ห่วงโซ่แห่งความเท่าเทียม" ที่เชื่อมโยงประสบการณ์และความปรารถนาของกลุ่มคนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

สามพลังนี้ปรากฏในรูปของ “การเมืองสามแบบ” ได้แก่ การเมืองของผลประโยชน์ การเมืองของความทรงจำ และการเมืองของความหวัง ซึ่งดำรงอยู่และทับซ้อนกันในภูมิทัศน์ทางสังคมการเมืองไทยปัจจุบัน ราวกับกระแสน้ำสามสายที่ไหลมาบรรจบกันในหุบเขาแห่งความไม่แน่นอนเดียวกัน การทำความเข้าใจสามแบบแผนนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการอ่านพลวัตของการเมืองไทยร่วมสมัย

การเมืองของผลประโยชน์: เครือข่ายแห่งการให้และการได้

ในภาคการเมืองปัจจุบัน คำว่า “ผลประโยชน์” มิได้เป็นเพียงคำที่มีความหมายเชิงลบในการวิพากษ์อำนาจการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นกลไกพื้นฐานของการดำรงอยู่ทางสังคม หรือเป็นระบบนิเวศของการดำรงอยู่ พรรคที่ยึดโยงกับแนวทางนี้ เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น พรรคเหล่านี้ดำเนินไปบนฐานของ “การจัดสรรเพื่ออยู่รอด” มากกว่าการสร้างความฝันทางสังคม การเมืองลักษณะนี้ยังคงยืนหยัดได้เพราะสอดคล้องกับโครงสร้างของการพึ่งพาของระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ซึ่งมีรัฐที่ใหญ่โต ประชาชนที่ยังไม่มั่นคง ระบบราชการ และเครือข่ายนักการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นผู้แจกจ่ายทรัพยากรให้กับผู้คนตามสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ มากกว่าตามหลักสิทธิพลเมือง

นี่คือรูปแบบของชีวอำนาจ ที่รัฐและเครือข่ายทางการเมืองใช้ “ชีวิต” เป็นเครื่องมือควบคุม เช่น การเข้าถึงสวัสดิการ งบประมาณสาธารณสุข หรือโครงการพัฒนาชุมชน เป็นเส้นทางของการสร้างความจงรักภักดีที่ไม่ต้องใช้วาทกรรมใหญ่โตใด ๆ ผลลัพธ์คือการเมืองที่แลกเปลี่ยนความอยู่รอดกับความเงียบ หรือการสนับสนุนที่เกิดจากการตอบแทน ไม่ใช่ความเชื่อและอุดมการณ์

การเมืองของผลประโยชน์นี้สะท้อนถึงสิ่งที่ เจมส์ ซี สก็อต เรียกว่า “เศรษฐกิจศีลธรรม” (moral economy) ในรูปแบบที่บิดเบี้ยว ซึ่งความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์-ผู้รับอุปถัมภ์ ถูกนักการเมืองและข้าราชการนำมาใช้เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง แทนที่จะเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รัฐและพรรคการเมืองกลายเป็นผู้อุปถัมภ์สูงสุด ที่แจกจ่ายความมั่นคงในชีวิตแก่ประชาชนในรูปของนโยบายประชานิยม โครงการพัฒนาท้องถิ่น และสวัสดิการหลากหลายรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม อำนาจเช่นนี้เริ่มสั่นคลอน เพราะประชาชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะเมืองใหญ่ เริ่มตระหนักว่า “การเมืองแบบให้และรับ” นี้มีขีดจำกัดทางศักดิ์ศรี เมื่อความจนถูกทำให้เป็นสินค้าทางการเมือง ความรู้สึกของการถูกดูถูกก็กลายเป็นชนวนของการตั้งคำถามต่อโครงสร้างที่เคยมั่นคง

สิ่งที่น่าสนใจคือการเกิดขึ้นของจิตสำนึกแห่งสิทธิในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นกลางและรุ่นใหม่ที่เข้าถึงการศึกษาและข้อมูลข่าวสารมากขึ้น พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมความช่วยเหลือจากรัฐจึงต้องมาในรูปของ “ความกรุณา” แทนที่จะเป็น “สิทธิ” ทำไมการพัฒนาจึงต้องผูกติดกับการสนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง แทนที่จะเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องทำอยู่แล้ว การตั้งคำถามเหล่านี้เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองของการพึ่งพา ไปสู่การเมืองของสิทธิและความเป็นพลเมือง

นอกจากนี้ การเมืองของผลประโยชน์ยังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม การขยายตัวของเมือง การเติบโตของชนชั้นกลางใหม่ และความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ล้วนทำให้ระบบเดิมที่อาศัยการแจกจ่ายผลประโยชน์ไม่เพียงพอต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองอีกต่อไป ความต้องการของประชาชนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความอยู่รอดทางกายภาพ แต่รวมถึงความมั่นคงทางสังคม โอกาสในการเคลื่อนไหวทางสังคม และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตของตนเอง

การเมืองของความทรงจำ: เมื่ออดีตกลายเป็นภาระ

หากจะมีพรรคใดในสังคมไทยที่ยังคงสื่อสารกับอดีตอย่างมั่นใจ คงไม่พ้นพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดำรงอยู่บนความทรงจำอันยาวนานของยุคสมัยที่ ประชาชนจำนวนมากเคยรู้สึกว่าพรรคทั้งสองมีคุณค่า ยุคที่รัฐบาลตอบสนองต่อชีวิตในชนบท และการพัฒนาไม่ใช่เพียงตัวเลขในแผนเศรษฐกิจ ความทรงจำนี้เป็นความทรงจำทางการเมือง ที่ถูกสร้างสรรค์และหล่อหลอมอย่างมียุทธศาสตร์

ความทรงจำทางการเมืองเป็นสิ่งที่เรียกว่า “สถานที่แห่งความทรงจำ” พื้นที่ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่ความทรงจำถูกยึดเหนี่ยวไว้ สำหรับพรรคเพื่อไทย สถานที่เหล่านี้คือนโยบายที่เคยดำเนินการ เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และโครงการจำนำข้าว ซึ่งแม้จะมีข้อถกเถียงทางวิชาการเกี่ยวกับประสิทธิผล แต่ในความรู้สึกของประชาชนหลายคน นโยบายเหล่านี้แทนถึงช่วงเวลาที่รัฐเห็นตัวตนของพวกเขา

ความทรงจำเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมมากกว่าจะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ความทรงจำของกลุ่มคนถูกสร้างขึ้นผ่านการเล่าเรื่อง พิธีกรรม และสัญลักษณ์ร่วมกัน สำหรับฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความทรงจำเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านการสนทนาในครอบครัว การรำลึกถึงผู้นำในอดีต และการเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

แต่ความทรงจำ แม้จะงดงามเพียงใด ก็ย่อมมีน้ำหนักของมันเอง เมื่อพรรคต้องการเดินเข้าสู่ยุคใหม่ ความทรงจำจึงกลายเป็นภาระของการสร้างภาพใหม่ (burden of reinvention) เพราะทุกคำพูดของผู้นำปัจจุบันล้วนถูกเทียบกับอดีต ทุกนโยบายล้วนถูกวัดกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นแล้ว อดีตที่เคยเป็นทุนทางการเมือง กลับกลายเป็นกรอบที่จำกัดการเคลื่อนไหว

การเมืองของความทรงจำเช่นนี้ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับความย้อนแย้งสองประการ หนึ่ง จะรักษาความผูกพันกับประชาชนที่จดจำยุคทองอย่างไรโดยไม่ตกเป็นเชลยของอดีต และสอง จะสร้างความเชื่อมั่นใหม่ในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มองอดีตเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำราได้อย่างไร พรรคจึงกลายเป็นเหมือน “เรือใหญ่ในแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทาง” มั่นคงแต่เคลื่อนช้า มีน้ำหนักของประวัติศาสตร์ถ่วงอยู่ใต้ท้องเรือเสมอ อีกทั้งความทรงจำนี้ก็กลายเป็นกรงขัง (trap) ของพรรค เพราะผู้นำใหม่ถูกเทียบกับทักษิณตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น แพทองธาร ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน หรือใครก็ตามที่มาเป็นหน้าตาของพรรค จะถูกวัดด้วยมาตรฐานของอดีตเสมอยิ่งกว่านั้น นโยบายใหม่ ๆ ของพรรคต้องแข่งกับความคาดหวังจากอดีต ถ้านโยบายไหนไม่ได้ “โดน” เท่ายุค 30 บาทหรือหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ก็จะถูกมองว่าไม่ดีพอ

ในทางตรงกันข้าม ความทรงจำของพรรคประชาธิปัตย์เป็นความทรงจำแห่งความต่อเนื่อง และความรับผิดชอบต่อระบบ พรรคประชาธิปัตย์มองตนเองว่าเป็น “พรรคที่มีประวัติศาสตร์” พรรคที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2489 และผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายยุคสมัย ความทรงจำของพรรคนี้ผูกพันกับบุคคลสำคัญ เช่น ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ชวน หลีกภัย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พวกเขาถูกนำเสนอเป็น “บุคคลผู้มีคุณธรรม” “นักการเมืองสุภาพบุรุษ” และ “ผู้รักษาประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม”

ความทรงจำนี้ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ หากแต่มาจากการสืบทอดค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ ความสะอาด การต่อต้านทุจริต และความรักในสถาบัน ดังนั้น ความทรงจำของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็น “ความทรงจำของผู้ดี” ความทรงจำที่บอกว่า “เราเป็นพรรคที่มีหลักการ” “เราเคยทำการเมืองอย่างมีศักดิ์ศรี เราไม่ใช่นักการเมืองแบบซื้อเสียง และเราคือผู้พิทักษ์ระบบที่ถูกต้อง”

พรรคประชาธิปัตย์ใช้ความทรงจำเป็นทุนทางศีลธรรม แต่ความทรงจำนี้ก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อย ความทรงจำของ “ความสะอาด” ไม่ตรงกับประสบการณ์ของคนทั่วไป ประชาชนหลายคนในภาคใต้อาจไม่ได้รับประโยชน์จากพรรคประชาธิปัตย์มากไปกว่าพรรคอื่น แต่สนับสนุนเพราะความผูกพันทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ หรือเมื่อพรรคอื่นเสนอนโยบายประชานิยมที่จับต้องได้ การพูดถึงคุณธรรมและประวัติศาสตร์ก็ดูซีดจางลง และการยึดติดกับอดีตทำให้พรรคดูเหมือนไม่เข้าใจปัญหาของคนรุ่นใหม่ ความเหลื่อมล้ำ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ปัญหาของการเมืองที่ยึดโยงกับความทรงจำ คือการนำไปสู่วิถีของการโหยหาอดีต (nostalgia mode) ที่ขัดขวางการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ การโหยหาอดีตมีสองประเภท คือ "การโหยหาแบบฟื้นฟู" (restorative nostalgia) ที่พยายามสร้างอดีตขึ้นมาใหม่อย่างตายตัว และ "การโหยหาแบบไตร่ตรอง" (reflective nostalgia) ที่ใช้อดีตเป็นแหล่งบันดาลใจแต่ยังคงมองไปข้างหน้า ความท้าทายของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์คือการเลือกระหว่างทางสองแพร่งนี้

นอกจากนี้ การเมืองของความทรงจำยังเผชิญกับปัญหาของการแบ่งแยกระหว่างคนรุ่น (generational divide) คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคทศวรรษ 2560 มีประสบการณ์และความคาดหวังที่แตกต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ พวกเขาไม่ได้ผ่านประสบการณ์ตรงของยุคทองที่พรรคพยายามเล่าให้ฟัง และมักมองว่าการยึดติดกับอดีตเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง ความหวังของการเมืองแบบใหม่จึงไม่ได้มาจากการระลึกถึงสิ่งที่เคยดี แต่มาจากการจินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่เคยมี

การเมืองของความหวัง: อุดมการณ์ที่ถือกำเนิดใหม่

ในขณะที่พรรคเก่าใช้ความทรงจำเป็นเครื่องมือของความชอบธรรม พรรคใหม่อย่างพรรคประชาชน กลับใช้ “ความหวัง” เป็นเชื้อเพลิงทางอุดมการณ์ ผู้สนับสนุนพรรคนี้ไม่ได้รอให้รัฐมา “ให้” แต่ต้องการสร้างระบบที่เป็นธรรมด้วยตัวเอง พวกเขาไม่ได้ยึดโยงกับผู้นำ หากแต่ยึดโยงกับอุดมการณ์แห่งความเสมอภาค เสรีภาพ และการตรวจสอบได้ นี่คือการเมืองแบบใหม่ที่ไม่ต้องมีเจ้าของพรรค แต่มี “ผู้ศรัทธาในหลักการ”

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์

 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

อนุทิน ชาญวีรกูล
ความหวังเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากการฝันเพ้อ แต่จากความสิ้นหวังกับระบบเดิม เมื่อประชาชนเห็นการเมืองของผลประโยชน์และความทรงจำไม่อาจตอบคำถามของยุคสมัยได้ พวกเขาจึงสร้างการเมืองแห่งความหมาย ขึ้นมาเอง ในแง่นี้ พรรคประชาชนจึงไม่ใช่เพียงพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่เป็นพรรคของ “ผู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง”

ความหวังไม่ใช่การรอคอยอย่างเฉื่อยชา แต่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์ก้าวข้ามปัจจุบัน ไปสู่สิ่งที่ “ยังไม่เป็น” ความหวังในทางการเมืองจึงเป็นมากกว่าแค่ความปรารถนา แต่เป็นการกระทำเชิงรุกที่พยายามสร้างโลกใหม่ให้เกิดขึ้นจริง

การเมืองของความหวังยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง คนรุ่นใหม่ไม่ได้พอใจกับบทบาทของ “ผู้รับ” ที่แค่รอรับนโยบายจากพรรคการเมือง แต่ต้องการเป็น “ผู้กระทำ” ที่มีส่วนในการกำหนดทิศทางของสังคม พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการระดมความคิดเห็น สร้างวาทกรรมทางเลือก และเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสถาบันที่เป็นทางการ การเมืองจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในรัฐสภาหรือในวันเลือกตั้งเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการต่อรองความหมาย ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

พรรคประชาชนอาจยังไม่ชนะได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง แต่ได้เปลี่ยนภาษาแห่งการเมืองไทย จากภาษาของอุปถัมภ์ เป็นภาษาของเหตุผล จากวาทกรรมของความมั่นคง เป็นวาทกรรมของศักดิ์ศรีมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้สำคัญมากเพราะ เมื่อเรามีภาษาใหม่ในการพูดถึงการเมือง เราก็เปิดพื้นที่ใหม่ในการจินตนาการและสร้างรูปแบบการเมืองที่แตกต่าง

การพูดถึง “สิทธิมนุษยชน” “ความโปร่งใส-การตรวจสอบถ่วงดุลและความเท่าเทียม” กลายเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมสาธารณะมากขึ้น แม้คนที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคประชาชนก็ยังต้องตอบสนองต่อกรอบการพูดเหล่านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเมืองของความหวังได้สร้างพื้นที่วาทกรรมใหม่ ที่ขับเคลื่อนให้การเมืองไทยต้องเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ดี การเมืองของความหวังก็มีความเปราะบางของมันเอง เพราะความหวังอาจกลายเป็นความหวังที่สูญสิ้นได้เมื่อเผชิญกับอุปสรรค เช่น การถูกยุบพรรค การถูกจำกัดพื้นที่ทางการเมือง และความล้มเหลวในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ความหวังเหือดแห้ง ความท้าทายของพรรคประชาชนคือการรักษาความหวังนี้ให้คงอยู่ในขณะที่พยายามสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เพื่อไม่ให้ผู้สนับสนุนรู้สึกว่าความหวังของพวกเขาเป็นเพียงภาพมายา

การเมืองทั้งสามรูปแบบที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ผลประโยชน์ ความทรงจำ และความหวัง เปรียบเสมือนสามระนาบของเวลา ผลประโยชน์คือ "ปัจจุบัน" ที่เรายังต้องพึ่งพา ความทรงจำคือ “อดีต” ที่ยังไม่เลือน และความหวังคือ “อนาคต” ที่เรายังต้องเสี่ยงจะเชื่อ ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ทั้งสามระนาบนี้ทับซ้อนกัน จนไม่อาจแยกขาดได้โดยสิ้นเชิง พรรคการเมืองแต่ละพรรคคือกระจกที่สะท้อนมิติหนึ่งของเวลา และประชาชนคือผู้เลือกว่าจะมองผ่านกระจกบานใดเพื่อเห็นภาพของประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่สามรูปแบบนี้ไม่ได้แยกขาดจากกัน หากแต่ทับซ้อนและต่อรองกันอย่างต่อเนื่อง ผู้สนับสนุนของพรรคหนึ่งอาจมีองค์ประกอบของทั้งสามรูปแบบในตัวเอง บางคนอาจเริ่มต้นจากการเมืองของผลประโยชน์ แต่เมื่อได้รับประโยชน์แล้วก็เริ่มมีความทรงจำที่ดีต่อพรรคนั้น และต่อมาอาจพัฒนาไปสู่ความหวังในการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่า ในทางกลับกัน บางคนอาจเริ่มจากความหวัง แต่เมื่อเผชิญกับความล้มเหลวก็อาจถอยกลับมาพึ่งพิงการเมืองของผลประโยชน์หรือความทรงจำ และการที่มีการเมืองสามแบบอยู่พร้อมกัน แสดงว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอำนาจนำที่ยังไม่มีรูปแบบใดสามารถครอบงำอย่างสมบูรณ์

แล้วการเมืองไทยจะไปในทิศทางใด คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ว่ารูปแบบใดจะชนะ แต่อยู่ที่ว่าสามรูปแบบนี้จะผสมผสานกันอย่างไร การเมืองที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงอาจจำเป็นต้องมีองค์ประกอบทั้งสามภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญนั้นคือ การจัดการผลประโยชน์อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม การเคารพและเรียนรู้จากอดีตโดยไม่ติดกับดัก และการรักษาความหวังในอนาคตที่ดีกว่าให้คงอยู่

สิ่งที่แน่ชัดที่สุดคือ ความหวังไม่อาจถูกปกครองได้ ต่อให้ผลประโยชน์ยังดำรงอยู่ ต่อให้ความทรงจำยังคงหลอกหลอน ความหวังก็ยังเดินต่อไปในใจของผู้คน เพราะการเมือง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในสภา แท้จริงคือการต่อสู้เพื่อคำตอบหนึ่งเดียวของมนุษย์ทุกยุคสมัย นั่นคือ “ชีวิตที่มีศักดิ์ศรี และอนาคตที่ไม่ต้องกลัว”

ในท้ายที่สุด การทำความเข้าใจสามระบอบแห่งความรู้สึกทางการเมืองนี้ช่วยให้เราเห็นว่า การเมืองไทยไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างพรรค แต่เป็นการต่อสู้เพื่อจินตนาการอนาคตร่วมกัน อนาคตที่ความเป็นธรรม ศักดิ์ศรี และความหวังสามารถอยู่ร่วมกันได้ และนั่นคือภารกิจที่ยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะในเวทีรัฐสภา การเคลื่อนไหวบนท้องถนน การแสดงออกในโลกออนไลน์ หรือในใจของผู้คนทั้งมวล


กำลังโหลดความคิดเห็น