ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังเกิดกระแส “ทวงคืนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี” จากสถานการณ์ปัญหาการเข้ามาตั้งรกราก และทำธุรกิจของชาวอิสราเอลบางกลุ่ม ส่งผลกระทบต่อมิติทางสังคมและเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการเปิดกิจการและประกอบอาชีพผิดกฎหมาย นำสู่ปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐโดยดำเนินตรวจสอบจับกุมชาวต่างชาติทำผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น
ภายใต้นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร /ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นำสู่การระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในลักษณะจัดตั้งนอมินี ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งมีการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุในลักษณะกลุ่มแก๊งหรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
รายงานเกี่ยวกับการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวให้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ระบุว่าตั้งแต่ปี 2566 - 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับชาวอิสราเอลในพื้นที่ สภ.เกาะพะงัน รวมทั้งสิ้น 20 คดีในฐานความผิดต่างๆ ประกอบด้วย ทำงานไม่ได้รับอนุญาต, อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด, ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต, ลักทรัพย์, ยาเสพติด, ทำร้ายร่างกาย, เงินตราปลอม และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ขณะเดียวกัน จากมาตรการแก้ไขปัญหาคนต่างชาติในพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นำสู่การดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “โรงแรมเถื่อน” มีข้อมูลระบุว่าเกาะพะงันมีโรงแรม 546 แห่ง มีถูกกฎหมายเพียง 208 แห่ง ที่เหลือเป็นโรงแรมเถื่อน โดยมีการจับกุมต่างชาติมาเปิดธุรกิจโรงแรมผิดกฎหมาย คือ โรงแรม ARCANA KOH PHANGAN เปิดดำเนินการในนามบริษัท แอนโดรเมดา จำกัด มีนายกาย สัญชาติอิสราเอล และนายสุวิชานนท์ สัญชาติไทย เป็นกรรมการเจ้าของบริษัท และมีนายฌอน กัล สัญชาติอิสราเอล เป็นผู้ดูแลด้านความปลอดภัย และเป็นผู้จัดการโรงแรม มีการจ้างงานคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมา ผิดกฎหมายจำนวน 2 ราย
และ โรงแรม BLESSINGS HOME AND CAFÉ ดำเนินการในนามบริษัท บีซูซ บีซูซ จำกัด มีนางยารา สัญชาติอิสราเอล เป็นกรรมการของบริษัท ซึ่งไม่พบตัวในที่เกิดเหตุ ขณะเข้าทำการตรวจสอบพบจ้างงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอย่างผิดกฎหมาย โดยมีนายภาณุพงษ์ สัญชาติไทย รับเป็นนายจ้าง ถูกแจ้งในข้อกล่าวหา ให้คนต่างด้าวทำงานเกินสิทธิ์ที่จะทำได้ และแจ้งข้อหาแก่คนต่างด้าวลูกจ้างว่าทำงานเกินสิทธิ์ที่จะทำได้ พร้อมดำเนินคดีในข้อหาเปิดโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะเดียวกัน ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบการถือครองกรรมสิทธิที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายของชาวต่างชาติ ลงพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พบข้อมูลว่าเข้าข่ายทำธุรกิจแอบแฝง หรือเป็นนอมินีให้บริษัทของชาวต่างชาติ เข้ามาจดทะเบียนทำธุรกรรมซื้อ-ขายที่ดิน และทำธุรกิจ ตามรายงานผลการตรวจสอบบริษัทที่มีการจดทะเบียนไว้กว่า 7,000 แห่ง เข้าข่ายมีความเสี่ยงทำธุรกิจแอบแฝง เบื้องต้นทยอยทำหนังสือไปยังบริษัทเหล่านี้เพื่อให้ชี้แจงการประกอบกิจการแล้วกว่า 1,700 แห่ง แต่มีการตอบกลับไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จึงน่าสงสัยว่าอาจเป็นนอมินี โดยมีที่ปรึกษากฎหมายและสำนักงานบัญชีใช้ช่องว่างของกฎหมายดำเนินการ บางรายชื่อมีข้อมูลว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทมากกว่า 50 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการจับกุมการทำงานของคนต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกรวบตัว Ms.Maria Shchetinina อายุ 40 ปี สัญชาติอังกฤษ ขณะเปิดคลาสสอนโยคะเซ็กซ์ให้กลุ่มชาวต่างชาติ โดยโฆษณาชักชวนผู้คนในกลุ่ม Koh Phangan Conscious Community (For Real Edition) ให้เข้าร่วมการเรียน "โยคะแบบทันตรา" หลังได้รับการร้องเรียนว่า มีกิจกรรมโยคะของชาวต่างชาติ สุ่มเสี่ยงต่อการอนาจารทางเพศ
จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงาน พบว่า Ms.Maria ถือใบอนุญาตทำงานในตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์" ของบริษัทหางหนึ่ง ซึ่งเป็นประเภทกิจการบริหารจัดการ เกี่ยวกับที่พักอาศัย โดยเธอยอมรับว่าเปิดการเรียนการสอนโยคะแบบทันตรา ทำหน้าที่เป็นครูสอน บรรยาย จัดท่าทาง และ สอนการทำสมาธิในแบบโยคะทันตรา ให้กับลูกค้าจริง โดยมีการเก็บค่าเข้าร่วม 400 บาท และ มีระบบการหักเปอร์เซ็นต์ค่าสถานที่กับทางร้าน
ทั้งนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนพระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เนื่องจากทำงานในตำแหน่ง “ครูสอนโยคะทันตรา” ซึ่งนอกเหนือจากสิทธิ์ที่ได้รับอนุญาต นำปสู่การจับกุมเพื่อหยุดการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อภาพลักษณะการท่องเที่ยวและจารีตประเพณีของไทย โดยมีการนำตัวผู้ถูกจับส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
หรือกรณีการจับกุมชาวต่างชาติ 2 คน 1. Mr.AFLAN ALMAS อายุ 33 ปี สัญชาติ อาเซอร์ไบจาน, 2. Mr.SARKHAN JUMSHUDLU อายุ 33 ปี สัญชาติ อาเซอร์ไบจาน ในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวร่วมกันประกอบธุรกิจ (ช่างไฟฟ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน (ช่างไฟ)
โดยการจับกุมในครั้งนี้เริ่มจากการที่ผู้รับเหมาก่อสร้างชาวไทย ได้เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเกาะพะงันว่า ตนถูกบริษัทแห่งหนึ่งยกเลิกสัญญาจ้างและไม่จ่ายค่าจ้างตามที่ตกลงกัน จำนวน 5 ล้านบาท และยังมีพฤติกรรมดังกล่าวกับผู้รับเหมาคนไทยหลายคนในพื้นที่ โดยบริษัทได้ว่าจ้างแรงงานชาวต่างชาติแทนผู้รับเหมาคนไทย ซึ่งผู้รับเหมารายดังกล่าวเห็นว่าเป็นการแย่งอาชีพคนไทยจึงขอให้ตรวจสอบ
ทั้งนี้ สถิติการจับกุมเดือนตุลาคม 2568 มีการจับกุมต่างชาติทำผิดกฎหมายไปแล้ว 40 ราย เป็นชาวอิสราเอล 11 ราย ในข้อหาต่างๆ เช่น ครอบครองยาเสพติด ทำงานนอกเหนือสิทธิ มีและใช้ธนบัตรปลอม และอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด โดยปัญหาหลักๆ ของชาวอิสราเอลบนเกาะพงัน คือ ก่อความเดือดร้อนรำคาญ ไม่เคารพกฎหมาย/ระเบียบ, ขับรถไม่เคารพจราจร, พูดจาดูถูกคนอื่น, และประกอบอาชีพ/ธุรกิจแย่งคนไทย
ดร.อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เปิดเผยว่าในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล เดินทางมาเยือนประเทศไทยกว่า 460,000 คน เหตุผลหลักเนื่องจากชื่นชอบและประทับใจการต้อนรับของคนไทย โดยเฉพาะพื้นที่เกาะท่องเที่ยว รวมทั้งรู้สึกปลอดภัยในประเทศไทย
“ยืนยันว่า นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี และตั้งใจมาท่องเที่ยวเพราะชื่นชอบประเทศไทย จะมีเพียงส่วนน้อยที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือทำผิดกฎหมาย ซึ่งยินดีให้หน่วยงานของไทยดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกับชาวต่างชาติทุกประเทศ” ดร.อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าว
กล่าวสำหรับกระแส “ทวงคืนเกาะพงัน” สืบเนื่องจากสื่อเถื่อนเผยข้อความจาก “Kaii Kpg” ตัวแทนชาวเกาะพะงัน สาระสำคัญเปิดเผยว่าเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอลที่ได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่บนเกาะหลายร้อยครอบครัวหลายพันคน แบบที่เรียกได้ว่าแทบจะยึดครอง ใช้นอมินีซื้อที่ติดทะเล ซื้อภูเขาเป็นลูกๆ ตัดต้นไม้ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ก่อสร้างผิดกฎหมาย ขายคนชนชาติเดียวกันเอง ทำลายป่าหลายสิบไร่ติดกับอุทยานแห่งชาติ เพื่อสร้างลานปาร์ตี้การยึดครองพื้นที่เกาะพะงัน
นอกจากนี้ กลุ่มทหารก่อนออกศึกและทหารผ่านศึกได้ใช้เกาะพะงันเป็นที่เข้ามาปลดปล่อย ก่อนออกไปสงครามได้เงินมาก้อนหนึ่งก็มาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงที่นี่ ทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามมาก็มีศูนย์เยียวยาจิตใจที่นี่ นี่ยังไม่รวมไปถึง พฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทย และนานาชาติ เช่น ขี้โวยวาย หาเรื่องตุกติกไม่จ่ายเงินในหลายๆ ครั้ง, ตลอดไปจนกระทั่งไม่มีการเคารพกฎของการอยู่ร่วมกัน เราเห็นได้อย่างชัดเจน
โดยพบว่าบริแวณพื้นที่ “บ้านศรีธนู” บนเกาะพงัน ได้กลายเป็น “เทลอาวีฟ (Tel Aviv)” หรือเมืองเศรษฐกิจที่สุดในประเทศอิสราเอล ขนาดย่อมๆ มี Chabad ศูนย์การชุมชนวัดยิว ที่ทำเป็นกระบวนการมาแจกอาหาร และทำพิธีสำหรับยิวโดยเฉพาะ ซึ่งแหล่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวยิวที่ย้ายมาใหม่ รวมไปถึงบริษัททัวร์ ที่ตั้งมาเพื่อพาคนอิสราเอลใหม่ๆ เข้ามาที่เกาะโดยเฉพาะ รวมไปถึงการช่วยเหลือในการโยกย้ายเข้ามาในเกาะพะงัน โรงเรียนนานาชาติที่เป็นของคนอิสราเอลกันเอง มีนักเรียนกว่า 90% เป็นชาวอิสราเอล อีกทั้ง ปัจจุบันปัญหานี้ได้เกิดขึ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ ศรีธนู หินกอง และโฉลกหลำ และไม่มีทีท่าที่จะชะลอลง
ต่อมา นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีหน่วยงานร่วม อาทิ กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตำรวจภูธรภาค 8 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อร่วมปฏิบัติภายใต้นโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาตินำสู่ปฎิบัติการล้างบ้างชาวต่างชาติทำผิดกฎหมายในพื้นที่แห่งนี้
กรณีของเกาะพะงันสะท้อนปัญหานโยบายฟรีวีซ่า ส่งผลให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มใช้โอกาสนี้ในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย ขณะที่ปฏิบัติการปราบปรามต่างชาติทำผิดกฎหมายดำเนินอย่างเข้มข้น คงต้องติดตามฉากทัศน์ของเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากนี้


