xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โปรแรง! ล้างหนี้ต่ำแสน 2.36 ล้านบัญชี ล้างประวัติ วนลูปกู้ใหม่ ก่อหนี้ใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  การแก้หนี้เป็นปัญหาโลกแตก จึงไม่แปลกที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย หยิบเรื่องนี้มาเร่งสร้างผลงานชิ้นโบแดงก่อนยุบสภา เรียกว่าจัดโปรแรงทั้ง “ลดต้น-ลดดอก-งดดอก” ส่งท้ายปีกันเลยทีเดียว ถือเป็น “วิน – วิน” ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ ที่จะได้ล้างประวัติแล้วกลับมากู้กันใหม่ได้อีก 

ส่วนฝั่ง  พรรคเพื่อไทย ก็จับจังหวะโหมแคมเปญ  “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน”  ท้าชน หวังกู้ศรัทธา เรียกคะแนนนิยมคืน แต่เจอกระแสโซเซียลแซะแรงแปลงสารเป็น  “ล้างโอกาส สร้างหนี้ ไม่มีกิน”   จะหยิบจับอะไรก็ไม่เข้าตา ทั้งที่ก่อนหน้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ขมีขมันแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งถึงที่สุดก็พายเรือวนในอ่าง ไม่ต่างกันกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศสงครามแก้ปัญหาหนี้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ผลงานกลับทรงและทรุด ด้วยว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยพุ่งทะยานติดอันดับต้น ๆ ของโลก

สำหรับมาตรการแก้หนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการประชุมปรึกษาหารือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน ซึ่งก็คือ ธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติทั้งสิ้น คราวนี้มาดูกันว่ารัฐบาลพรรคภูมิใจไทย มีมาตรการแก้หนี้กันอย่างไร ใส้ในจะต่างจากที่ผ่าน ๆ มาหรือไม่

 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือ “คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ได้ประชุมหารือและเห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) สอดรับกับที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งกำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ต้องแก้ไขโดยเร็ว

โครงการดังกล่าว กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน จัดทำ มีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว มีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต และเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป

การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 3.45 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้ประมาณ 122,000 ล้านบาท สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ แบ่งเป็น

 กลุ่มที่หนึ่ง  การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC โดยลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ของรัฐ หรือ แบงก์รัฐ จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ 1.บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ 2.บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) โดย กำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม การจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น

 กลุ่มที่สอง  การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง โดย SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี, ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด, มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร, การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น

ทั้งนี้ การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น ประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท

ส่วนเฟสต่อไป จะพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

โครงการนี้รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อย ซึ่งมีปัญหาภาระหนี้จนส่งผลกระทบต่อชีวิตและเป็นปัญหาสังคมและเศรษฐกิจโดยภาพรวม จะสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เนื่องจากได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม

หลังจาก ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว จะนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ชุดใหญ่ และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ธปท. สมาคมธนาคารไทย และบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นี้ เพื่อกำหนดมาตรฐานกลางและเริ่มกระบวนการโอนหนี้อย่างเป็นทางการ

โครงการนี้ ยังถือเป็นผลงานสำคัญชิ้นแรก ๆ ของ  “ผู้ว่าฯ ธปท.” คนใหม่ ซึ่ง  นายวิทัย รัตนากร  ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนั้น ธปท. จึงได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขหนี้ครัวเรือนร่วมกัน โดยโครงการนี้ใช้เวลาเตรียมการประมาณหนึ่งเดือนเศษ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในสองมิติ คือ มิติด้านปริมาณหนี้ ซึ่งมีสัดส่วนราว 87% ของจีดีพี และมิติลูกหนี้ NPL ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขอสินเชื่อใหม่ได้ โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่ยอดหนี้ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของลูกหนี้เอ็นพีแอล หรือราว 4.76 ล้านบัญชี

ผู้ว่าฯ ธปท. ขยายความเพิ่มเติมว่า เฟสแรก โครงการนี้จะเริ่มดำเนินการกับหนี้จำนวนรวมประมาณ 2.36 ล้านบัญชี โดยจะโอนไปบริหารจัดการในสองบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยเป็นหนี้เสียที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 30 กันยายน 2568 และการจัดการหนี้จะใช้แนวทาง “ผ่อนปรนมากเป็นพิเศษ” เพื่อให้ลูกหนี้ชำระคือได้ตามศักยภาพ ทั้งการจ่ายปิดบัญชีครั้งเดียว หรือผ่อนชำระเป็นรายปี พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงยึดหลักการไม่ให้เสียวินัยทางการคลัง

“....นี่จะเป็นมาตรการครั้งเดียวเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง และป้องกันไม่ให้ระบบการเงินขาดวินัยในอนาคต...” ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวด้วยความเชื่อมั่น

เช่นเดียวกันกับ  นายลวรณ แสงสนิท  ปลัดกระทรวงการคลัง ชี้ว่า โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อย่างแท้จริง โดยมีความแตกต่างจากการโอนหนี้หรือขายหนี้ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) แบบเดิม เนื่องจากครั้งนี้จะมีเงื่อนไขการผ่อนปรนเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรอด และกลับไปเริ่มต้นชีวิตหรือทำธุรกิจใหม่ได้อีกครั้ง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC)

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เปิดแคมเปญ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน
นอกจากนั้น โครงการนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในการกำหนด  “รหัสพิเศษ” ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วม โดยจะใช้รหัส “16” เพื่อระบุว่าเป็นกลุ่มลูกหนี้ในโครงการช่วยเหลือ ซึ่งจะไม่ถูกจำกัดว่าต้องมีประวัติการชำระหนี้ดีครบ 3 ปีก่อน จึงจะสามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ และหากลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการสามารถชำระหนี้ได้ดีต่อเนื่อง เช่น 1 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน และสถาบันการเงินเห็นศักยภาพในการฟื้นตัว ก็สามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลับมาตั้งหลักและสร้างอนาคตใหม่ได้อย่างยั่งยืน

ทางด้าน นายสุรพล โอภาสเสถียร  ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร เผยว่า โครงการดังกล่าว มีหลักการคือ จะโอนหนี้เสียภาคประชาชนรายละไม่เกิน 1 แสนบาท เข้าไปสู่การแก้ไขผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บบส.) หรือ SAM และ Ari-AMC ของธนาคารออมสิน เรียกว่าเป็นการดำเนินการเพื่อสังคม

ในส่วนของเครดิตบูโร จะมีแนวทางดำเนินการสำหรับลูกหนี้ที่เข้าโครงการกับ AMC เพื่อสังคม เรียกว่า “โปรไฟไหม้” โดยลูกหนี้ที่เข้าโครงการและมีการชำระหนี้ปิดจบ ตามเงื่อนไขของโครงการ จะได้รับรหัส 11 ซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้ปกติทันที จากปัจจุบันลูกหนี้ที่ระบุในประวัติว่าถูกขายหนี้ให้กับ AMC จะได้รับรหัส 42 และเมื่อมีการปิดจบหนี้เรียบร้อยแล้วจะได้รับรหัส 43 ซึ่งรหัสนี้จะอยู่ติดตัวลูกหนี้ไปเป็นระยะเวลา 3 ปี จึงจะล้างประวัติได้ แนวทางดังกล่าวถือเป็นแรงจูงใจให้กับลูกหนี้ที่ยังพอจ่ายหนี้ตามเงื่อนไขของ AMC ได้ เพื่อให้สามารถมีชีวิตและเดินหน้าต่อไปได้

ผอ.ใหญ่ เครดิตบูโร อธิบายเป็นรูปธรรมโดยสมมุติว่า AMC ซื้อหนี้เสียก้อนหนึ่งมาในราคา 5 บาท และมีเงื่อนไขให้ลูกหนี้มาจ่ายหนี้จำนวน 10 บาท จากก้อนหนี้ของลูกหนี้ 100 บาท ลูกหนี้จะได้รหัส 42 หากจ่ายตามเงื่อนไขแล้วจบกันไป ลูกหนี้จะได้รหัส 43 แต่ประวัติยังค้างอยู่ 3 ปี จึงจะล้างประวัติได้ แต่โปรไฟไหม้ ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ AMC เพื่อสังคม หากยอมมาจ่ายหนี้ 10 บาท ตามเงื่อนไขเพื่อปิดหนี้ เครดิตบูโรจะให้รหัส 11 กับลูกหนี้รายนี้ทันที

แนวทางการล้างประวัติลูกหนี้ดังกล่าวนี้ เครดิตบูโรดำเนินการได้เลย ไม่ต้องมีกติกาหรือกฎหมายใด สอดคล้องกับเงื่อนไขของ ธปท. ที่กำหนดว่าทุกอย่างดำเนินการโดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ให้เป็นอำนาจของแต่ละหน่วยงาน

กระบวนการรีเซทเครดิตใหม่ ล้างประวัติหนี้ผ่านกลไกของเครดิตบูโร เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาขอสินเชื่อใหม่ได้ภายใน 1-6 เดือน จะช่วยฟื้นฟูอนาคตของลูกหนี้ และฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว โดยโครงการแก้หนี้ผ่าน AMC รัฐบาลยืนยันว่าไม่ใช้เงินภาษีของประชาชน แต่ใช้แหล่งเงินจากการลดอัตรานำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงิน (FIDF) จาก 0.46% เหลือ 0.23% แล้วนำส่วนต่างมาใช้เป็นต้นทุนบริหารโครงการ ในลักษณะ “ครั้งเดียวจบ” ไม่สร้างภาระการคลังในอนาคต

สำหรับ  บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM)  ตัวหลักในการแก้หนี้ของโครงการนี้ จัดตั้งขึ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ตามมติคณะรัฐมนตรี 2543 ภายใต้การกำกับของ ธปท. เพื่อรับโอน NPL จากธนาคารกรุงไทย และมีบทบาทสำคัญในการฟื้นเสถียรภาพระบบการเงิน ส่วน Ari-AMC เป็น AMC ภาครัฐรุ่นใหม่ที่ต่อยอดบทบาทด้านฟื้นฟูลูกหนี้รายย่อย

 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยชี้ว่า การแก้หนี้ผ่าน AMC นับเป็นการเปลี่ยนแนวคิดการบริหารหนี้ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี จากเดิมที่เน้นการจัดการหนี้เป็นก้อนของสถาบันการเงิน มาเป็นการจัดการลูกหนี้เป็นรายบุคคล มองลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ติดกับดักหนี้ โดยพิจารณาศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้จริง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาอยู่ในระบบการเงินได้อย่างยั่งยืน

สำหรับธนาคารกรุงไทย มีหนี้กลุ่มไม่มีหลักประกันแต่ไม่เยอะมาก ซึ่งหากมีหนี้กลุ่มที่เข้าข่ายแก้หนี้ผ่านกลไก SAM ก็จะส่งให้ SAM บริหาร ส่วนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินและบริษัท บริหารสินทรัพย์ (JVAMC) อยู่ระหว่างพิจารณา จะต้องรอรายละเอียดของ ธปท.อีกครั้ง

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย ถือเป็นโจทย์ใหญ่และเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ล่าสุด สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 88% แต่หากเจาะลงไปในระบบธนาคารพาณิชย์ ยอด Gross NPL ทั้งระบบ ณ ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 521,665 ล้านบาท หรือประมาณ 2.83% ของสินเชื่อรวม ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนพุ่งแตะ 740,000 บาท สูงสุดในรอบ 4 ปี ไม่นับรวมหนี้นอกระบบ

ขณะที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย กำลังจะคิกออฟมาตรการล้างหนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ทางพรรคเพื่อไทย ก็ไม่น้อยหน้ารีบออกแคมเปญใหม่ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” โดย   นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์   หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศเตรียมความพร้อมเพื่อเรียกคะแนนนิยมรับศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งยังคงเน้นแก้ปัญหาปากท้อง ความเป็นอยู่ และโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชน

ถ้ามองย้อนกลับไป พรรคเพื่อไทย ได้โพนทะนานโยบาย “สร้างโอกาสที่เป็นไปได้” ทำให้คนไทย “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ก่อนที่จะลงเอยแบบไม่สมราคาคุย จึงไม่น่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใดที่ครานี้กระแสโซเซียลจะแปลงสารแคมเปญพรรคเพื่อไทย ในทันทีว่า “ล้างโอกาส สร้างหนี้ ไม่มีกิน” แถมประเมินว่าเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสต่ำร้อยอีกต่างหาก

 ศึกล้างหนี้ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า จะเรียกคะแนนนิยมให้สองพรรคใหญ่สักกี่มากน้อย จะสู้กระแสปั่น “มีเราไม่มีเทา” ของพรรคประชาชน ได้หรือไม่ รอติดตามกันต่อไป 


กำลังโหลดความคิดเห็น