ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นห้วงเวลาที่น่าสนใจยิ่งสำหรับการเมืองไทย เพราะจะได้เห็น “การย้ายค่าย-เปลี่ยนขั้ว” ของบรรดา “กลุ่มก๊วนการเมือง” ต่างๆ กันอย่างสนุกสนานเพื่อรองรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้หากทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามที่ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศไว้เพื่อแลกกับเงื่อนไขให้ “พรรคประชาชน” โหวดให้
ที่จับตาตั้งแต่แรกว่า “ไปแน่ๆ” แต่ยังไม่ชัดว่า “ไปที่ไหน” ก็คือ “กลุ่มก๊วนของเสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อนและเดชอิศม์ ขาวทอง” อดีตหัวหน้าและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ด้วยไม่ปรากฏชื่อของทั้งของคนอยู่ร่วมในคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้า และ “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นเลขาธิการ ซึ่งตอนนี้ก็หงายไพ่ออกมาเรียบร้อยแล้วว่า จะยกขบวนไปร่วมงานกับ “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่ “พรรคกล้าธรรม”
สัญญาณชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา โดยนายเฉลิมชัยได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายว่าจะมีกลุ่มสส.ประจวบคีรีขันธ์ และกลุ่มสส.ภาคกลางบางส่วน รวมถึงกลุ่มสส.สงขลา ของนายเดชอิศม์ ขาวทอง อดีตเลขาธิการพรรค อีก 4 เสียง ที่อยู่ในสังกัด “กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย” จะทยอยลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อรวมกลุ่มย้ายไปเข้าสังกัดพรรคกล้าธรรม โดยสส.ที่คาดว่า จะย้าย อาทิ นายประมวล พงษ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ และประธานสส. พรรคประชาธิปัตย์ ,นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส.ประจวบคีรีขันธ์และอดีตรองเลขาธิการพรรค ,นายมนตรี ปานน้อยนนท์ อดีตรองหัวหน้าพรรคด้านภารกิจ , นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลาและอดีตเลขาธิการพรรค , น.ส.สุภาพร กำเนิดผล สส.สงขลา (ภรรยานายเดชอิศม์) ,นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (บุตรชายนายเดชอิศม์) นายยูนัยดี วาบา ส.ส.ปัตตานี และพล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา เป็นต้น
นอกจากนั้น มีรายงานออกมาด้วยว่า จากการเจรจาเบื้องต้น กลุ่มนายเฉลิมชัยจะเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนพรรคกล้าธรรม โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสส.ให้พรรคกล้าธรรมที่ 20 เสียงเป็นอย่างน้อย เพื่อทำให้พรรคกล้าธรรมขยับพรรคขนาดกลางมาเป็นขนาดใหญ่ โดยหลังจากนี้คาดว่า จะยังมีสส.และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งทยอยลาออกจากพรรคเพื่อตามมาสังกัดพรรคกล้าธรรมในกลุ่ม “เพื่อนเฉลิมชัย” เพิ่มเติม
คำถามที่ดังอื้ออึงอยู่ในขณะนี้ นี่เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ถูกต้องและมีอนาคตสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าจริงหรือ?
อีกดีลการเมืองที่ร้อนแรงและเป็นที่จับตาก็คือ “บ้านใหญ่อัศวเหม” กลุ่มก๊วนการเมืองเมืองปากน้ำ สมุทรปราการ ภายใต้การนำของ “วัฒนา อัศวเหม” ด้วยมีกระแสข่าวออกมาว่า จะพากันไปร่วมงานกับ “พรรคเพื่อไทย” โดยเรื่องออกมาจากปากของ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า จะมีบิ๊กเนม อัศวเหมมาแน่นอน ส่วนจะมีใครบ้างยังเปิดเผยไม่ได้” พร้อมคุยโวด้วยว่า “การเข้ามาของบ้านอัศวเหม ถือเป็นความเชื่อมั่น และเป็นการบอกถึงเรื่องกระแสและความนิยมของพรรคเพื่อไทยว่ายังเป็นที่สนใจของประชาชน”
ที่ร้อนแรงก็เพราะเป็นที่รับรู้ว่า ที่ผ่านมานายวัฒนามีจุดยืนทางการเมืองที่ตรงข้ามกับเจ้าของค่ายสีแดงอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” มาโดยตลอด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นถ้าหากมีการดีลเกิดขึ้นจริง
ขณะที่ที่ผ่านมา “บ้านใหญ่อัศวเหม” ก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” เป็นกรณีพิเศษ เนื่องด้วยลูกชายของนายอนุทินคือ “เป๊ก-เศรณี ชาญวีรกูล” นั้นหมั้นหมายกับ “น้องเพลง-ชนม์ทิดา” ลูกสาวของ “ชนม์สวัสดิ์-นันทิดา อัศวเหม” แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะเป็นที่ยุติลงตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ก็ตามที
กล่าวสำหรับบ้านใหญ่อัศวเหมนั้น ประกอบด้วยซุ้มการเมืองใน จ.สมุทรปราการ “3 ตระกูล” หลักๆ คือ “อัศวเหม-กุลเจริญและปานแสงทอง” ซึ่ง ณ เวลานี้ ดูเหมือนว่า อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องตัดสินใจทางการเมือง ที่ชัดเจนไปก่อนหน้านี้ก็คือ ตระกูล “กุลเจริญ” บ้านใหญ่พระประแดง ที่ประกาศไปเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถ้าจะมีการย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยจริง ก็คงต้องเป็นตระกูล “อัศวเหม” และตระกูล “ปานแสงทอง” อย่างแน่นอน
“บ้านอัศวเหม” ทายาททางการเมืองสายตรง “รุ่นลูก” โดยเฉพาะ “ลูกสะใภ้” อย่าง “นันทิดา” ภรรยาของ “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” ผู้ล่วงลับ รวมถึงลูกสาว “น้องเพลง-ชนม์ทิดา” ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ไปต่อเช่นกัน ดังนั้น จึงเหลือ “รุ่นหลาน” อีก 3 คนที่ยังคงอยู่ในเส้นทางคือ “อัครวัฒน์ อัศวเหม วรพร อัศวเหม และต่อศักดิ์ อัศวเหม” โดยปัจจุบันทั้ง 3 คนได้รับการแต่งตั้งจาก “สุนทร ปานแสงทอง” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ให้ดำรงตำแหน่ง “รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ”
ตรงนี้ ต้องขีดเส้นใต้เป็นพิเศษ เพราะนายสุนทรนั้นคือ “มือขวา” ของ “วัฒนา อัศวเหม และจากกระแสข่าวที่ออกมาก็เป็น “โกทร” นี่แหละที่จะถือธงนำทัพไปอยู่พรรคเพื่อไทย
ถามว่า ถ้าจะย้ายค่ายจริง อะไรคือเบื้องหลังของการตัดสินใจดังกล่าว
คำตอบของเรื่องนี้อยู่ตรงที่แม้ “บ้านใหญ่อัศวเหม” จะยึดครองตำแหน่งสำคัญๆ ของการเมืองท้องถิ่นในเมืองปากน้ำเอาไว้ได้หมด แต่ใน “ระดับชาติ” คือ “สส.” นั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า การตัดสินใจไปจับมือกับ “ค่ายสีแดง-พรรคเพื่อไทย” ก็เพื่อรวมพลังสู้กับ “พรรคส้ม” และการที่จะร่วมหัวจมท้ายกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” นั้น ไม่มีอนาคตทางการเมืองให้เห็น
ขณะที่ในฝาก “พรรคเพื่อไทย” เองนั้น ก็ประสบปัญหาในพื้นที่สมุทรปราการมาอย่างต่อเนื่องจากที่เคยกวาด สส.เกือบยกจังหวัด 6 เขต จากทั้งหมด 7 เขต เมื่อปี 2554 กล่าวคือ การเลือกตั้งทั่วไป ปี 2562 พรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้กระแส “รักสงบ จบที่ลุงตู่” ทำให้พรรคพลังประชารัฐ กวาด สส.เกือบยกจังหวัด 6 เขต แบ่งให้พรรคอนาคตใหม่แค่ 1 เขต ส่วนปี 2566 พรรคเพื่อไทย ยังบอบช้ำต่อเนื่อง แพ้ยกจังหวัดให้กับพรรคก้าวไกล 8 เขต ด้วยกระแสพรรคส้มถล่มโค้งสุดท้ายซัดค่ายแดง เตรียมพลิกขั้วตั้งรัฐบาลกับ 2 ลุง
ทั้งนี้ ว่ากันว่า จุดเริ่มต้นหรือจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ก็คือการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์2568 เพราะว่ากันว่า การที่บ้านใหญ่ “อัศวเหม” คว้าชัยชนะได้ครั้งนั้นได้ เพราะอาศัยฐานเสียงของ “ค่ายสีแดง” หนุนหลัง โดย “สุนทร ปานแสงทอง” ได้รับเลือกตั้งด้วย 225,686 คะแนน รองลงมาเป็น นพดล สมยานนทนากุล จากพรรคประชาชน ได้ 202,659 คะแนน ประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย ได้ 59,117 คะแนน
สำหรับสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เดิมทีเป็นฐานเสียงของ “สงคราม กิจเลิศไพโรจน์” และ “ประชา ประสพดี” อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ฝั่งพระประแดง พระสมุทรเจดีย์ เป็นกำลังสำคัญ ซึ่งเมื่อมีการเสริมทัพจากบ้านใหญ่อัศวเหมก็จำต้องจัดทัพผู้สมัคร สส. 8 เขตกันใหม่ โดยพรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครของเจ้าพื้นที่เดิมอยู่ 5 เขต ส่วนอีก 3 เขตจะหลีกทางให้ “บ้านใหญ่อัศวเหม” ในเขต 1 เขต 2 เขต 4
กระนั้นก็ดี หลายคนก็ยังคงตั้งคำถามว่า จริงหรือ ด้วยไม่เชื่อว่า นายวัฒนาจะเปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองไปร่วมงานกับนายทักษิณได้
ส่วนพรรคดีเอ็นเอ “ลุงตู่” คือ พรรครวมไทยสร้างชาตินั้น หลัง สส.และลูกพรรคแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทางสองทาง โดยเฉพาะ “ก๊วนเสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่นและ “ก๊วนลูกขิง-เอกณัฏ พร้อมพันธุ์” ที่ยกโขยงไปซบพรรคภูมิใจไทย รวมๆ แล้วราว 33 คน ก่อนหน้านี้ก็เป็นที่คาดหมายว่า “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค อาจจะต้อง “ล้างมือในอ่างทองคำ” เสียแล้วกระมัง เพราะหันซ้ายหันขวาก็มองไม่เห็นอนาคตว่าจะประสบความสำเร็จทางการเมืองได้อย่างไร ด้วยเหลือ สส.ในมืออันน้อยนิด เพียง 3 สส.ประกอบด้วย ชัชวาลย์ คงอุดม วิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ และนิติศักดิ์ ธรรมเพชร สส. พัทลุง ส่วน สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม กำลังถูกทาบทามจากหลายกลุ่ม โอกาสไปต่อกับหัวหน้าพี - จึงมีน้อยมาก
โดยเฉพาะ “ทุน” ที่ต้องใช้คำว่า หนีหายจนแทบไม่พอยาไส้
แต่แล้วก็ปรากฏว่า “ลุงพี” ฮึดสู้ โดยมอบเก้าอี้ “เลขาธิการพรรค” ให้ “ชัชวาลล์ คงอุดม” หรือ “ชัช เตาปูน” ซึ่งก็เชื่อว่า น่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ในเรื่องของ “ทุน” ให้ประคับประคองพรรคต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะเมื่อมีความชัดเจนเรื่องการยุบสภาและวันเลือกตั้งออกมา สุดท้ายแล้ว “ลุงพี” อาจไม่เหลือใครในมือแม้แต่คนเดียวก็เป็นได้


