ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การที่ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปเซ็นสัญญาสันติภาพกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นอกจากจะทำให้ไทยไม่สามารถทวงคืนดินแดนของตัวเองที่ถูกกัมพูชาเข้ามาทำมาหากินคือ “บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว” ได้แล้ว การทวงคืน “ปราสาทตาควาย” ก็แทบปิดประตูตาย
หนักไปกว่านั้นคือ “ปราสาทคนา” ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของไทย ฝ่ายกัมพูชาก็กำลังสร้างกระเช้าขึ้นมาบนปราสาทแห่งนี้ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะไว้ใช้แค่ลำเลียงเสบียงอาหารเท่านั้น หากต้องการเอาไว้ใช้ขนอาวุธหนักด้วยปราสาทคนาเป็นจุดสูงข่ม และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากกัมพูชาได้ใช้ตั้งอาวุธหนัก หากมีสงครามเกิดขึ้นในอนาคต จะสามารถยิงเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้านชุมชนไทยได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น ทุกอย่างเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การลงนามสันติภาพเป็นเพียงแค่ “พิธีกรรมลวงโลก” เพราะเจตนาของกัมพูชายังไม่ยอมหยุดในการพยายามละเมิดและกระทำการใดๆ ที่เป็นปรปักษ์กับประเทศไทยอยู่เช่นเดิม โดย “ตีมึน” และตีหลายหน้า แถมทำทีเป็นถอนอาวุธ ถอนกำลังออกจากพื้นที่แนวชายแดนโชว์ชาวโลกอีกต่างหาก
นี่คือคำถามใหญ่ที่นายอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ต้องตอบคำถามคนไทยทั้งชาติว่าเกิดอะไรขึ้น มิใช่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาโดยไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ให้เห็นอย่างชัดแจ้ง มีเพียงการประกาศผ่านลมปากว่า “ต้องรักษาแผ่นดินไทยไว้เหนือสิ่งอื่นใด” แต่ในทางปฏิบัติไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้เห็น
ที่น่าเศร้าใจคือ เมื่อมีการยิงคำถามเข้าใส่ว่าจะยืนยันว่าปราสาทตาควายเป็นของไทยได้อย่างไร นายอนุทินกลับตอบหน้าตาเฉยว่า “จะต้องไปพูดคุยในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ต่อไป โดยค่อย ๆ ปลดไปทีละประเด็น ซึ่งเรามีทีมที่จะไปพูดคุยเจบีซีอยู่แล้ว”
ส่วนเมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือไม่ เกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว นายอนุทินกล่าวว่า “เรื่องนี้อยู่ในเงื่อนไขข้อที่ 4 ซึ่งจะต้องไปพูดคุยกันให้ชัดเจน เพราะเราก็บอกเป็นพื้นที่เรา ส่วนเขาก็บอกเป็นพื้นที่ของเขา ดังนั้น จึงต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งเรามีทีมที่เชี่ยวชาญ มีหลักฐานเทคโนโลยีที่ไปพิสูจน์ จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ทีมเจรจาเจบีซีเราไปแทรกแซงไม่ได้”
นั่นหมายความว่า ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือจะใช้คำว่า “สัญญาสันติภาพที่ว่างเปล่า?” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่
เช่นเดียวกับ “บิ๊กเล็กเด็กลุง” พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ก้นร้อนนั่งไม่ติด พร้อมกับประกาศลั่น ไม่จบ - ไม่ยอม ทว่า นั่นก็เป็นเพียง “ลมปาก” ที่หาความชัดเจนในทางปฏิบัติไม่ได้อีกเช่นกัน
“ปราสาทตาควายยังเป็นของไทยอยู่ เราไม่ยอมรับว่าเขายึดได้ อะไรที่เป็นเขตแผ่นดินของไทยเราต้องเอาคืนมาให้หมด ขณะนี้เรากำลังหารือเรื่องการปล่อยเชลยศึกทั้ง 18 คน แต่ถ้าไม่สามารถเคลียร์เรื่องปราสาทตาควายได้ ก็จะไม่คุยเรื่องอื่นอีกต่อไป จะไม่มีการคุยกันอีก โดยได้บอกกับฝ่ายกัมพูชาไปแล้วว่าทำผิดอนุสัญญาเจนีวาเรื่องการใช้สถานโบราณเป็นฐานที่มั่นทางทหาร รวมทั้งวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลรอบปราสาท ซึ่งผิดอนุสัญญาออตตาวา” บิ๊กเล็กให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ส่วนบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว “บิ๊กเล็ก” กล่าวว่า จะนำที่ดินของไทยคืนมาให้ได้ แต่จะต้องทำตามขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกจะต้องเคลียร์ทุ่นระเบิดออกก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ได้ ถ้าเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ขณะที่ยังไม่มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เจ้าหน้าที่ก็จะประสบอุบัติเหตุด้วย ดังนั้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นี้ จะมีการเคลียร์เรื่องทุ่นระเบิด หลังจากนั้นจะใช้เวลาอีก 1 เดือน เพื่อสำรวจหมุดชั่วคราว ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ได้เน้นย้ำกับกัมพูชา ในส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ต้องก็รอการดำเนินการต่อไป
“ส่วนที่ทางกัมพูชาอ้างสิทธิ์เลยพื้นที่อ้างสิทธิ์มา กัมพูชาต้องออกจากพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าสื่อมวลชนจะรับได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เรายอมรับว่าตรงนั้นเป็นเส้นเขตแดน และจะมีขั้นตอนหลังจากนั้นตามมา เช่นเดียวกับเรื่องสร้างรั้วที่เดิมกัมพูชาไม่ยอมให้สร้าง แต่เราก็ยืนยันว่า นี่เป็นการสร้างในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทยต้องสร้างได้ จนการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนล่าสุดทางกัมพูชาก็ยอม สำหรับเรื่องปราสาทคนา ตั้งอยู่บริเวณชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จะต้องไปคุยกันอีกครั้ง ส่วนการเปิดด่านไม่มีแน่นอน หรือใครจะเปิดด่านก็ไม่ต้องมาคุยกับผม ผมไม่คุยแน่นอน เรื่องเปิดด่านชีวิตนี้”บิ๊กเล็กเด็กลุงว่าไว้อย่างนั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นได้ชัดว่า ไม่มีความคืบหน้าและคงต้องรอคอยกันต่อไป
ขณะที่ “บิ๊กกุ้ง-พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทีพภาคที่ 2 (มทภ.2) ยืนยันชัดเจนว่า “ปราสาทตาความยังเป็นของไทยอยู่ ถึงแม้หลายคนจะบอกว่า การใช้กำลังทวงปราสาทคืนนั้น จะเกิดความเสียหายเยอะ แต่การทวงคืนนั้นขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราต้องการทวงเอาปราสาทคืนจริง ๆ การเสียสละของทหารจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการวางแผนของผู้นำ ตรงไหนเป็นของพื้นแผ่นดินเรา ก็ต้องตามทวงคืน นี่คือความคิดเห็นส่วนตัว”
เช่นเดียวกับ “พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 ที่กล่าวในการประชุมสัมมนาติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า “ตรงตาควายภูมิประเทศเราเสียเปรียบ ถ้าเราจะไปตีเอาปราสาทตาควายคืน ทหารเราก็จะตายเป็นร้อย ซึ่งเราจะยอมไหม ตอนนี้เราเสียการควบคุม แต่เราไม่ได้สูญเสีย ซึ่งการจะเอาคืนมี 2 วิธี วิธีแรก คือ ตีคืนมาเลย ส่วนวิธีที่สอง อาจจะช้าหน่อย เช่น การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเรดาร์ เพื่อใช้ในการพิสูจน์พื้นที่ เช่น ใช้ในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เมื่อเสร็จสิ้น ก็มาใช้ทางนี้ โดยเราดำเนินการในส่วนที่เร่งด่วนก่อน ถือว่าไม่ได้สูญเสีย ตนมั่นใจว่า ถึงอย่างไรปราสาทตาควายก็กลับมาเป็นของเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม”
ด้าน “นายนันทิวัฒน์ สามารถ” อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์แสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า รัฐบาลลงนามในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์กับกัมพูชา สันติภาพกำลังจะมา สัญญาว่าถอนอาวุธหนัก เก็บกวาดทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ เชื่อหรือไม่ว่า เขมรจะทำตามสัญญา แต่คนไทยทั่วไปต้องการได้ปราสาทตาควายคืนที่ทหารเขมรยึดครองและสร้างบังเกอร์ป้องกันแข็งแรง
นอกจากนั้น พื้นที่หนองจาน หนองหญ้าแก้ว ที่ทหารเก็บกวาดทุ่นระเบิดเกือบหมดแล้ว แต่ยังไม่จบ ยังไม่ได้สร้างรั้ว มีคำถามว่า จะเอาปราสาทตาควาย และพื้นที่หนองจาน หนองหญ้าแก้ว คืนมาได้ไหม ในชั้นนี้ มีสองทางที่จะได้คืนคือ เกิดการสู้รบครั้งใหม่ และไทยทุ่มสรรพกำลังเต็มที่เทลงไป เพื่อเอาพื้นที่คืน หรือ ผ่านการเจรจา
“รัฐบาลและผู้มองโลกในแง่ดีบอกว่าต้องผ่านการเจรจา หากตกลงกันได้ด้วยกลไกการทูต เราน่าจะได้คืน เพราะตกลงกันไว้แล้วว่า จะสำรวจหลักหมุดและปักปันเขตแดนกันให้เรียบร้อยด้วยเทคนิคไลดาร์ที่ว่านี้ มีอะไรยืนยันได้ว่า ไทยจะได้คืน ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะได้คืน มีหนทางอื่นอีกหรือไม่ในการเอาแผ่นดินไทยคืน อยากเสนอไว้ตรงนี้ การเจรจาต้องมีการตั้งเงื่อนไข ต้องมีการต่อรอง มีการยื่นข้อเสนอ ต่อรอง ยื่นหมูยื่นแมว กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยเปิดด่าน ขอตัวทหารเชลยศึกคืน และยังขอให้ไทยช่วยเหลือตามที่อดีตนายกฯ ไทยได้ลงนามให้ความช่วยเหลือกัมพูชาไปแล้วในวงเงินหลายพันล้านบาท ความต้องการของกัมพูชาจะได้รับการพิจารณาทบทวน หากเขมรคืนปราสาทตาควายและพื้นที่หนองจาน หนองหญ้าแก้ว ให้ไทย ข้อเสนอนนี้ คนไทยคิดเห็นกันอย่างไร รับได้ไหม” นายนันทิวัฒน์ กล่าว
ถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า ปัญหาตลอดแนวชายแดนที่เกิดขึ้นหลายจุดยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ภายใต้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนในพื้นที่จะไม่พอใจใน “สัญญาสันติภาพ” ที่นายอนุทินไปลงนามกับกัมพูชา แล้วกลับมาบอกให้ประชาชนใจเย็น ๆ ขอให้รอการดำเนินการ “ตามขั้นตอน” ซึ่งไม่รู้ว่าการทวงคืนปราสาทคนา ปราสาทตาควายและอื่นๆ จะเห็นผลสำเร็จในชาตินี้หรือชาติหน้ากันแน่


