ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แนวคิดขยายเวลาเกษียณอายุราชการจากเดิม 60 ปี เป็น 65 ปี กำลังเป็นถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขึ้นเวทีปาฐกถาชี้ช่องเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้ พร้อมสะกิดภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมพิจารณามาตรการขยายเวลาเกษียณ เพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity Society) ของประเทศ
ต่อเนื่องด้วยการที่ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี รับลูกโดยเปิดแนวการศึกษาต่ออายุขยายเกษียณของข้าราชการ ส่งเทียบเชิญคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เข้าหารือเพื่อแสวงหาแนวทางร่วมกันทันที ซึ่งปัจจุบันมีหลายส่วนราชการกำหนดให้อายุเกษียณราชการมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ที่เกษียณอายุราชการอายุ 70 ปี
ตามข้อมูลบ่งชี้ว่าปัจจุบันคนไทยมีอายุขัยสูงขึ้น การแพทย์ก้าวหน้า และประชากรเกิดน้อยลง ทำให้ใน 10 ปีข้างหน้า จะมีคนทำงานและสร้างผลิตภาพลดลง และโดยเฉลี่ยของ กพ. พบข้าราชการเกษียณอายุกินบำนาญอายุเฉลี่ย 80 ปี หรือกินบำนาญมีระยะเวลากว่า 20 ปี ที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบันค่าใช้จ่ายเงินเดือนประจำข้าราชการอยู่ที่ปีละ 4 แสนล้านบาท และเงินบำนาญ 3 แสนล้านบาท รวมประมาณ 7 แสนล้านบาท
นอกจากนั้น หากมีการขยายอายุเป็น 65 ปีจริง ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น จะมีการขยายบำนาญด้วยหรือไม่ เงินเดือนเดือนสุดท้ายของอายุ 65 ปี จะนำมาคิดฐานบำนาญ หรือจะให้แค่เงินเดือนเดือนสุดท้ายของอายุ 60 ปี เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ยังต้องพิจารณาถึง ผลกระทบต่อตำแหน่งและการบริหารงานในส่วนราชการ และผลกระทบต่อโอกาสในการเข้าสู่ราชการของข้าราชการรุ่นใหม่ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบและไม่ใช่นโยบายที่จะเกิดขึ้นทันที
ศ.ดร.กุลยา พิชญะธนภาค สถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยควรปรับระบบเกษียณราชการและเอกชนให้สอดคล้องกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น โดยเห็นด้วยกับการปรับอายุเกษียณจาก 60 ปีเป็น 65 ปี เพื่อให้แรงงานที่ยังมีศักยภาพได้ทำงานต่อ และช่วยลดแรงกดดันด้านงบประมาณบำนาญในระยะยาว
ขณะที่ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่าการขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรองรับปัญหาสังคมสูงวัยได้ทั้งหมด แต่เป็นเพียงการลดทอนและยืดเวลาการเกิดวิกฤติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีเวลาปฏิรูประบบในระยะยาว ตั้งแต่ระบบบำนาญ ระบบสิทธิและสวัสดิการ และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า คนไทยจำนวนมากไม่สามารถวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้จริง เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน ดังนั้น โจทย์ข้อใหญ่ของรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการในเรื่องการออมและการวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง พร้อมเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ การออมผ่านหวยเกษียณ และเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมกับฐานะทางการคลัง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (financial literacy) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ นักวิชาการจาก TDRI สนับสนุนการขยายอายุการจ้างงานในภาคเอกชนเท่านั้น โดยมองว่าการขยายอายุเกษียณของข้าราชการอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งกลุ่มข้าราชการไม่ได้มีปัญหาด้านการเงินเหมือนแรงงานกลุ่มอื่น เนื่องจากโครงสร้างระบบราชการยังมีตำแหน่งรอบรรจุจำนวนมาก การคงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงไว้นานอาจทำให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือและนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ
ประเด็นที่ต้องจับตาในการเข้าสู่งคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ของไทยก็คือประชากรวัยแรงงานของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ผู้สูงอายุที่มีความพร้อมด้านการเงินในการดำรงชีวิตหลังเกษียณมีสัดส่วนเพียง 10 – 20% ของผู้สูงอายุทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับมือกับชีวิตหลังเกษียณ ขณะเดียวกัน ครอบครัววัยแรงงานมีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุน้อยลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุจำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่าผู้สูงอายุส่วนมากพึ่งพิงแหล่งรายได้ที่มาจากเงินสนับสนุนของบุตรหลานมากที่สุด 35.7 % ขณะที่รายได้หลักจากการทำงานมีเพียง 33.9 % และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ 13.3 % นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้สูงอายุจำนวนเกือบครึ่งไม่มีเงินออม 6.2 ล้านคน หรือ 44.3 % ของผู้สูงอายุทั้งหมด ขณะที่ผู้ที่มีเงินออมส่วนมากก็มีเงินออมต่ำกว่า 7 หมื่นบาท จำนวน 4.2 ล้านคน หรือ 54.2 %ของประชากรสูงอายุที่มีเงิน สะท้อนถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรการรองรับเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ของผู้สูงอายุในระยะยาว
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ชี้ว่าปัญหาการออมนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความพร้อมหลังเกษียณ โดยผลสำรวจพบภาพรวมคนวัยทำงานที่สามารถออมเงินได้ทุกเดือนมีไม่ถึงครึ่ง และ 1 ใน 4 ไม่สามารถออมได้ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่สามารถออมได้สม่ำเสมอ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาภาระรายจ่ายสูงแต่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 31 – 50 ปี ที่มีปัญหาภาระหนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะได้เริ่มก่อหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้
ดังนั้น เป็นโจทย์ข้อใหญ่ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการสร้างกลไกช่วยเหลือและกระตุ้นการออมโดยต้องออกแบบให้เหมาะสมกับคนทำงานต่างวัยในแต่ละกลุ่มรายได้ ภาครัฐต้องส่งเสริมให้เริ่มออมเร็วที่สุด ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการออมตามระดับรายได้ในการออมภาคบังคับ พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินการลงทุนด้วยผ่านช่องทางต่างๆ เป็นต้น
สถานการณ์ด้านการเงินนับเป็นความท้าทายของวัยเกษียณ ซึ่งคนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญสภาวะแก่ก่อนรวย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุอย่างเร่งด่วน โดยขยายเวลาเกษียณอายุโดยสมัครใจ โดยเฉพาะในหน่วยงานที่ขาดแคลนบุคลากร เพื่อให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาผู้สูงอายุขาดรายได้ในการดำรงชีพ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันแนวทางส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้านการเงินของประเทศไทย ประกอบด้วย มาตรการด้านการให้เงินช่วยเหลือ หรือสนับสนุนการดำรงชีพ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มาตรการให้เงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ มาตรการส่งเสริมการทำงาน หรือการพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยสามารถนำเงินเดือนมาหักภาษีได้สองเท่า และมาตรการส่งเสริมการออม หรือการจ่ายเงินสมทบเพื่อรองรับการเกษียณอายุ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น แต่ต้งอยอมรับว่ามาตรการเหล่านี้ อาจยังไม่เพียงพอที่จะใช้รับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยและมีการปรับเปลี่ยนและขยายเพดานอายุเกษียณ เพื่อให้สอดรับกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นของประชากร และรักษาเสถียรภาพของระบบบำนาญของรัฐ ยกตัวอย่างประเทศแถบตะวันตก อาทิ ออสเตรเลีย กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 67 ปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอายุเกษียณค่อนข้างสูง, สหรัฐอเมริกา กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 66 – 67 ปี, แคนาดา กำหนดอายุเกษียณอยู่ที่ 65 ปี หรือ สหราชอาณาจักร ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มอายุเกษียณเป็น 67 ปี จากเดิม 66 ปี ภายในปี 2028 เป็นต้น
ประเทศในแถบเอเซีย อาทิ จีน กำหนดอายุเกษียณสำหรับผู้ชาย 63 ปี และกำหนดอายุเกษียณสำหรับผู้หญิงอยู่ที่ 55 หรือ 58 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงาน, ญี่ปุ่น กำหนดอายุเกษียณที่ 65 ปี แต่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากยังคงทำงานต่อเกินอายุ 65 ปี, อินเดีย อายุเกษียณโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 58 – 60 ปี แตกต่างกันไปตามหน่วยงาน, สิงคโปร์ กำหนดอายุเกษียณ 63 ปี และอนุญาตให้มีการขยายการจ้างงานถึงอายุ 68 ปี ขณะที่ เกาหลีใต้ กำหนดอายุเกษียณอยู่ที่ 60 ปี ตามกฎหมายแรงงาน เช่นเดียวกับ มาเลเซีย กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 60 ปี เป็นต้น
สุดท้ายการขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรองรับปัญหาสังคมสูงวัยได้ทั้งหมด แต่เป็นการชะลอการเกิดวิกฤติเพื่อให้โดยรัฐตลอดจนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีเวลาปฏิรูประบบต่างๆ เพื่อรองรับสังคมสูงวัยในระยะยาว


