xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (60): การสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Fredrick of Hesse
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

ในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน นอกจาก  ความโดดเด่นประการแรก  ที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ ชาวนาสวีเดนไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) และเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด และมีสิทธิ์เสรีภาพในการปกครองตนเองผ่านที่ประชุมท้องถิ่นตามประเพณีการปกครองที่เรียกว่า ting อีกทั้งยังมีตัวแทนในสภาฐานันดรมีบทบาทสำคัญทั้งการทัดทานและการสนับสนุนอำนาจของฐานันดรอภิชนหรือพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญต่าง ๆ

 ความโดดเด่นประการที่สอง  คือ สวีเดนเป็นประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ในปี ค.ศ. 1680 หลังเดนมาร์กราว 20 ปี และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติในสภาฐานันดร (Riksdag) และในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง

 ความโดดเด่นประการที่สาม คือ การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนมีอายุเพียง 38 ปี (ค.ศ. 1680 – 1718) นับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรปหรือแม้แต่กับประเทศไทยเอง หากนับว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2435-2475 ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กมีอายุถึง 189 ปี (ค.ศ. 1660 – 1849) หลังสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สวีเดนได้เข้าสู่การปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1718 ซึ่งกล่าวได้ว่า สวีเดนนับเป็นประเทศที่สอง

ในยุโรปที่เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญต่อจากสหราชอาณาจักร และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปราศจากการใช้กำลังความรุนแรงอีกเช่นกัน

สาเหตุสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดจากปัญหาการขาดพระราชโอรสและพระราชธิดาในการสืบราชสันตติวงศ์และความไม่พอใจต่อการใช้พระราชอำนาจอันไม่จำกัดในการทำสงครามของพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง) ทำให้อภิชนในสภาฐานันดรและกองทัพถือโอกาสต่อรองกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ปรารถนาจะเป็นผู้สืบราชสมบัติให้สละสมบูรณาญาสิทธิราชย์และยอมถูกจำกัดพระราชอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการทางสภาฐานันดร (Riksdag)

ความโดดเด่นประการที่สี่คือ การปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยุคแห่งเสรีภาพ” และรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1720 ก็ได้รับการยกย่องจากบรรดานักคิดยุคแสงสว่างทางปัญญา (the Enlightenment) ของฝรั่งเศสว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในขณะนั้น โดยกำหนดให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภาฐานันดร แต่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดนก็มีอายุได้เพียง 54 ปีก็มีอันต้องสิ้นสุดลง และเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจนำและมีพระราชอำนาจมากขึ้น แต่กระนั้น พระมหากษัตริย์ก็ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พระมหากษัตริย์ทรงร่างขึ้นเอง นั่นคือ รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1772 ซึ่งนักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองสวีเดนเรียกระบอบการปกครองของสวีเดนในช่วงนี้ว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบไม่เต็มที่นักหรือเป็นสมบูรณาสิทธิ์ปานกลาง (moderate absolutism) และยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1772 จะเกิดจากการทำรัฐประหารโดยพระมหากษัตริย์ โดยมีการใช้กำลังทหารเข้าขู่บังคับ แต่ก็ไม่มีการบาดเจ็บเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด และยังได้รับการตอบรับจากประชาชนในเมืองหลวงอย่างยิ่ง

เนื่องจากช่วงเวลา 54 ปีภายใต้ “ยุคแห่งเสรีภาพ”และ “รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในขณะนั้น” การเมืองภายใต้อภิชนนักการเมืองในสภาฐานันดรกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งแก่งแย่งอำนาจและมีการทุจริตรับสินบนจากต่างชาติมาใช้ในการหาเสียงในสภาและกำหนดนโยบายต่างประเทศจนนำไปสู่ทางตันทางการเมือง ซึ่งผู้เขียนจะอธิบายการเมืองการปกครองสวีเดนในยุคแห่งเสรีภาพในรายละเอียดดังต่อไปนี้

จากการที่ Urika Eleonora ทรงประสบกับความลำบากในการปรับพระองค์และยังทรงพยายามที่จะใช้พระราชอำนาจในแบบเดิมโดยไม่รับฟังคำแนะนำจากสภาบริหาร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พระองค์ยังทรงเห็นว่า สภาบริหารเป็นสภาบริหารแห่งพระมหากษัตริย์ (the King’s Council) ตามที่เคยเป็นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับสภาบริหารจน Arvid Hornประธานสภาบริหารลาออกเนื่องจากไม่ความเห็นไม่ตรงกับสมเด็จพระราชินี

และจากการที่สภาบริหารพยายามหาทางที่จะเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ สภาบริหารจึงได้แอบให้คำแนะนำต่อพระองค์ในแผนการที่ให้พระองค์สละราชสมบัติให้พระสวามี Fredrik of Hesse ขึ้นครองราชย์แทน เพราะในทางปฏิบัติ Fredrik คือผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังการครองราชย์ของ Urika Eleonora เพราะพระนางทางอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระสวามีของพระองค์ นั่นคือ ทรงรับคำแนะนำและยอมทำตามคำปรึกษาของพระสวามีโดยไม่ยอมรับคำแนะนำของสภาบริหาร ทั้งที่บทบัญญัติฯได้กำหนดไว้ว่า พระมหากษัตริย์จะทรงปกครองอย่างอิสระไม่ได้แต่ต้องปกครองตามคำแนะนำของสภาบริหาร ขณะเดียวกัน Fredrik ได้ทรงทำให้พระองค์เองเป็นที่นิยมของประชาชนชาวสวีเดน จากการที่พระองค์ทรงมีพระจริยวัตรที่เปิดเผยและสง่างาม มีบุคลิกภาพที่สดใสและเข้ากับผู้คนได้ง่าย และยังทรงมีชื่อเสียงในความกล้าหาญ

จากการที่ Urika Eleonora ทรงมีปัญหาในการครองราชย์อย่างที่ได้กล่าวไป กอปรกับการที่พระองค์ได้รับคำแนะนำจากสภาบริหารที่มีแผนการที่จะเปลี่ยนตัวผู้ครองบัลลังก์ และด้วยความที่พระองค์ทรงอุทิศทุกอย่างในกับพระสวามี พระนางอุลริจกะ เอเลียวนอราจึงครองราชย์เพียงช่วงระยะอันสั้นนั่นคือ ค.ศ.1719-1720 แล้วทรงสละราชสมบัติให้พระสวามีของพระนางขึ้นครองราชย์แทนตามแผนของสภาบริหารโดยมี Arvid Horn ประธานสภาบริหารให้สัญญาว่าจะสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของ Fredrik และนอกจากสภาบริหารแล้ว ยังมีมหาอำนาจต่างชาติสนับสนุนด้วย และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1720 Urika Eleonor ทรงประกาศสละราชสมบัติต่อสภาฐานันดร

หลังจากที่ Urika Eleonor ทรงประกาศสละราชสมบัติต่อสภาฐานันดรในเดือนมกราคม ค.ศ. 1720 ต่อมาในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1720 ที่ประชุมสภาฐานันดรได้ลงมติประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ที่เป็นเงื่อนไขที่ผู้ที่จะขึ้นมาสืบราชสันตติวงศ์จะต้องยอมรับ โดยรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ได้ลดทอนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นไปกว่า “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719” อันเป็นผลจากการต่อรองของสภาฐานันดรงที่ทางฝ่าย Urika Eleonor และ Fredrik ต้องยอมรับเพื่อต้องการสืบราชสันตติวงศ์ และเมื่อ Fredrik ได้ทรงลงนามในคำรับรองสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงต้องยอมรับรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ในฐานะที่เป็นข้อต่อรองที่จะลดทอนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่มมากขึ้นไปอีก

และในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1720 พระองค์ได้ทรงเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและให้สัตย์ปฏิญาณต่อสภาฐานันดรที่จะเคารพรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 และปฏิญาณว่า พระองค์ทรงยินยอมในทุกเงื่อนไขต่อสภาฐานันดรในฐานะที่เป็นผู้ครองอำนาจ จากนั้นที่ประชุมสภาฐานันดรได้ลงมติเลือก Fredrick of Hesse ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดน ในพระนามของ พระเจ้าเฟดริกที่หนึ่ง (Frederick I: ครองราชย์ ๑๗๒๐-๑๗๕๑) แห่งราชวงศ์เฮสเซอะ-คาสเซล (Hesse-Kassel)

การขึ้นครองราชย์ของ Frederick มีสาเหตุที่น่าสนใจดังต่อไปนี้คือ
หนึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสภาบริหารกับสมเด็จพระราชินี สภาบริหารไม่พอใจกับการที่สมเด็จพระราชินีพยายามที่จะใช้พระราชอำนาจตามแบบแผนเดิมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

สอง ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว สภาบริหารได้ใช้อุบายโน้มน้าวให้สมเด็จพระราชินีทรงสละราชสมบัติให้พระสวามี Frederick of Hesse เพราะสภาบริหารรู้ดีว่า สมเด็จพระราชินีทรงฟังคำแนะนำจากพระสวามีของพระองค์ และทรงอุทิศพระองค์ให้กับพระสวามี
สามการที่สภาบริหารเสนอให้สมเด็จพระราชินีทรงสละราชสมบัติให้พระสวามี Frederick of Hesse เพราะถ้าหาก Frederick ขึ้นครองราชย์แล้ว เนื่องจากพระองค์เป็นเจ้าชายจากต่างแดน จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนไม่เข้มแข็งและไม่เป็นที่คาดหวังจากประชาชนได้มากเหมือนกับพระมหากษัตริย์ที่เป็นชาวสวีเดนโดยกำเนิด ก็จะทำให้สภาบริหารสามารถ “ควบคุม” พระมหากษัตริย์ให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามคำแนะนำของสภาบริหารตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญได้

สี่ทางฝ่ายสมเด็จพระราชินีเห็นว่า อาจจะเป็นโอกาสสำหรับพระสวามีของพระองค์ที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนเข้มแข็งขึ้นมาอีกได้ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น “Fredrik ได้ทรงทำให้พระองค์เองเป็นที่นิยมของประชาชนชาวสวีเดน จากการที่พระองค์ทรงจริยวัตรที่เปิดเผยและสง่างาม มีบุคลิกภาพที่สดใสและเข้ากับผู้คนได้ง่าย และยังทรงมีชื่อเสียงในความกล้าหาญ”

ในตอนต่อไป จะได้กล่าวถึง รูปแบบการปกครองสวีเดนหรือรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ซึ่งมีมาตราหนึ่งกำหนดว่า “พระมหากษัตริย์ไม่สามารถเสด็จพระราชดำเนินออกนอกราชอาณาจักรหรือข้ามเขตแดนโดยปราศจากความยินยอมและความเห็นชอบจากสภาฐานันดร”


กำลังโหลดความคิดเห็น