"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในปี ค.ศ. 1986 ปรัชญาการเมืองชาวอเมริกันชื่อ แฮร์รี จี. แฟรงก์เฟิร์ต (Harry G. Frankfurt) ได้เขียนบทความชื่อ “ว่าด้วยความเหลวไหล” (On Bullshit) ซึ่งต่อมากลายเป็นงานปรัชญาชิ้นสำคัญที่วิเคราะห์ปรากฏการณ์ของ “ความเหลวไหล” (bullshit) ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารที่แตกต่างจากการโกหกโดยสิ้นเชิง แฟรงก์เฟิร์ต อธิบายว่า ผู้โกหกยังคงให้ความสำคัญกับความจริง แม้จะพยายามปกปิดหรือบิดเบือนมัน แต่ “ผู้เหลวไหล" กลับไม่สนใจความจริงเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญคือผลประโยชน์ของตนเอง การสร้างภาพลักษณ์ และการบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่
เมื่อนำกรอบแนวคิดนี้มาวิเคราะห์บริบทการเมืองไทยร่วมสมัย เราจะพบว่า “ความเหลวไหลทางการเมือง” (political bullshit) ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางภาษาหรือการสื่อสารเท่านั้น แต่ได้พัฒนาขึ้นเป็น “ระบบอำนาจ” ที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นระบบที่มีโครงสร้าง กลไก และเครือข่ายสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่นักการเมืองที่ใช้วาทกรรมว่างเปล่าเพื่อปกปิดความไร้ความสามารถ ไปจนถึงนายทุนที่สนับสนุนทางการเงินเพื่อแลกกับสัมปทาน และข้าราชการที่ทำหน้าที่เป็นเฟืองของเครื่องจักรแห่งการหลอกลวงนี้
ในวาทกรรมทางการเมืองไทย เรามักใช้คำว่า “โกหก” เพื่ออธิบายพฤติกรรมของนักการเมืองที่พูดไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่การใช้คำนี้อาจทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ครบถ้วน เพราะการโกหกนั้นมีโครงสร้างทางญาณวิทยา (epistemological structure) ที่แตกต่างจาก "ความเหลวไหล" อย่างชัดเจน
ผู้โกหกคือผู้ที่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่เลือกที่จะบิดเบือนหรือปกปิดมันอย่างมีเจตนา การโกหกจึงเป็นการกระทำที่เคารพความจริงในระดับหนึ่ง เพราะต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับความจริงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น ผู้โกหกต้องรู้ว่าอะไรเป็นความจริงจึงจะสามารถบิดเบือนมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้าม ผู้เหลวไหลไม่สนใจความจริงเลย พวกเขาไม่ได้พยายามซ่อนความจริงหรือบิดเบือนมัน แต่พวกเขาพูดโดยไม่คำนึงถึงความจริงเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเขาใส่ใจคือ การพูดนี้จะช่วยให้ฉันบรรลุเป้าหมายของฉันหรือไม่?
ในบริบทการเมืองไทย เราเห็นตัวอย่างของความเหลวไหลทางการเมืองได้ชัดเจนในหลายสถานการณ์ เช่น นักการเมืองที่สัญญาว่าจะแจกเงินให้ประชาชนจำนวนมหาศาลโดยไม่อธิบายแหล่งที่มาของเงินอย่างสมเหตุสมผล การแถลงนโยบายที่เต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคและตัวเลขที่ดูน่าประทับใจแต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรจริง หรือการให้สัมภาษณ์ที่หลีกเลี่ยงคำถามโดยการพูดเรื่องอื่นที่ฟังดูดีแต่ไม่เกี่ยวข้องกับคำถาม หรือ การพูดว่า“รัฐบาลได้เซ็นเช็คเปล่าในการสนับสนุนเพื่อปราบปรามสแกมเมอร์” ผู้พูดไม่ได้พยายามโกหกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใดข้อเท็จจริงหนึ่ง แต่พวกเขากำลังสร้างกระแสของคำพูดที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความจริง
ความเหลวไหลทางการเมืองในไทยไม่ได้ดำรงอยู่โดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของ "เครือข่ายสแกมเมอร์" (network of scammers) ที่ประกอบด้วยสามกลุ่มหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
นักการเมือง คือผู้ผลิตความเหลวไหลโดยตรง พวกเขาใช้วาทกรรมว่างเปล่าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ รักษาฐานเสียง และปกปิดความไร้ความสามารถหรือการทุจริต นักการเมืองเหล่านี้ชำนาญในการพูดอย่างมั่นใจเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ การสัญญาในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ และการแสดงความห่วงใยในสิ่งที่พวกเขาไม่สนใจจริง ความสามารถในการสร้างเหลวไหลอย่างน่าเชื่อถือกลายเป็นทักษะทางการเมืองที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้ความสามารถที่แท้จริง
นายทุน คือผู้สนับสนุนทางการเงินและผู้รับผลประโยชน์ พวกเขาให้ทุนในการหาเสียง สนับสนุนค่าใช้จ่ายทางการเมือง และแลกกับสัมปทาน โครงการ นโยบายที่เอื้อประโยชน์ หรือการกระทำผิดกฎหมาย เช่น เว็บพนัน นายทุนเหล่านี้ไม่สนใจว่านโยบายที่พวกเขาสนับสนุนจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ พวกเขาสนใจเพียงผลตอบแทนจากการลงทุน ความเหลวไหลทางการเมืองจึงกลายเป็น "สินค้า" ที่นายทุนจ่ายเงินซื้อเพื่อให้นักการเมืองสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจของพวกเขา
ข้าราชการ คือผู้ดำเนินการและทำให้ความเหลวไหลกลายเป็นนโยบายจริง บางส่วนของข้าราชการเหล่านี้อาจเข้าร่วมโดยสมัครใจเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว บางส่วนอาจถูกบังคับด้วยโครงสร้างอำนาจที่สั่งการ และบางส่วนอาจกระทำโดยไม่รู้ตัวเพราะติดกับดักในระบบราชการที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามคำสั่งมากกว่าการใช้วิจารณญาณ บทบาทของข้าราชการในระบบความเหลวไหลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาทำให้คำพูดว่างเปล่าของนักการเมืองกลายเป็นนโยบายและโครงการที่ใช้งบประมาณจริง แม้ว่านโยบายนั้นจะไร้สาระก็ตาม
สามกลุ่มนี้ทำงานร่วมกันในลักษณะของ “วงจรอุบาทว์” (vicious cycle) ซึ่งประกอบด้วย นักการเมืองผลิตความเหลวไหลเพื่อได้อำนาจ นายทุนสนับสนุนทางการเงินเพื่อแลกกับผลประโยชน์ และข้าราชการทำให้ทุกอย่างดูเป็นทางการและชอบด้วยกฎหมาย ผลที่ตามมาคือ ความเหลวไหลไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรมของบุคคล แต่กลายเป็น "โครงสร้างแห่งการหลอกลวงที่มีงบประมาณสนับสนุน" ซึ่งทำงานอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ความเหลวไหลทางการเมืองจะกลายเป็นอันตรายยิ่งขึ้นเมื่อกลายเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งไม่ใช่แค่พฤติกรรมของนักการเมืองบางคน แต่กลายเป็นวิธีการทำงานปกติของระบบการเมืองทั้งหมด กระบวนการนี้เกิดขึ้นผ่านหลายช่องทาง:
สื่อมวลชนที่ถูกครอบงำ กลายเป็น “ลมใต้ปีก” ของระบบความเหลวไหล สื่อหลักของไทยหลายแห่งไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจอีกต่อไป แต่กลับทำหน้าที่เป็นเครื่องขยายเสียงของความเหลวไหล พวกเขารายงานข่าวแถลงนโยบายของนักการเมืองโดยไม่ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ ให้เวลาออกอากาศอย่างมากมายกับผู้มีอำนาจเพื่อให้พวกเขาสามารถพูดสิ่งที่ไร้สาระได้อย่างสะดวก และปิดกั้นเสียงที่พยายามชี้ให้เห็นความจริง การที่สื่อหลายแห่งมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับนักการเมืองและนายทุน ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่เป็นฐานันดรที่สี่ของประชาธิปไตยได้
ระบบการศึกษาที่ไม่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีเครื่องมือทางปัญญาในการแยกแยะระหว่างความเหลวไหลกับข้อเท็จจริง เมื่อคนไม่ได้รับการฝึกฝนให้ตั้งคำถาม วิเคราะห์หลักฐาน และคิดอย่างมีวิจารณญาณ พวกเขาก็กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายของความเหลวไหลทางการเมือง การศึกษาไทยที่เน้นการท่องจำและการเชื่อฟังมากกว่าการคิดวิเคราะห์ ได้สร้างฐานประชาชนที่เปราะบางต่อการหลอกลวงทางการเมือง
วัฒนธรรมทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทำให้คนไทยหลายคนไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่สบาย พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในคำสัญญาที่ฟังดูดี แม้ว่าจะรู้ลึก ๆ ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการเชื่อนั้นง่ายกว่าและสะดวกกว่าการต่อสู้เพื่อความจริง “วัฒนธรรมไม่อยากยุ่ง” “อยู่เฉยๆ ไว้ก่อน” หรือ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอด” กลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์สำหรับความเหลวไหลทางการเมือง
ความน่าสนใจของความเหลวไหลทางการเมืองคือ มันไม่ได้ทำงานโดยการหลอกลวงคนให้เชื่อว่าสิ่งที่เท็จเป็นความจริง แต่มันทำงานโดยการทำให้คนไม่สนใจความจริงอีกต่อไป ในบริบทไทย มีปัจจัยทางจิตวิทยาสังคมสามประการที่ทำให้ความเหลวไหลมีประสิทธิภาพ
ประการแรก ความเหนื่อยล้าทางการเมือง (political fatigue) จากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานกว่าสองทศวรรษ ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและอยากหนีจากการเมือง พวกเขาไม่อยากรู้ว่าใครพูดความจริงหรือไม่ พวกเขาแค่อยากให้ความขัดแย้งหยุด นักการเมืองที่เข้าใจจิตวิทยานี้จึงใช้วาทกรรมแห่งความสงบ ความสามัคคี และการก้าวไปข้างหน้า โดยไม่สนใจว่าพวกเขากำลังนำพาสังคมไปในทิศทางใด ประชาชนที่เหนื่อยล้ากลายเป็นผู้รับที่เต็มใจของความเหลวไหล เพราะมันให้ความสบายใจชั่วคราว
ประการที่สอง ความกลัวและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้คนยินดีแลกเปลี่ยนเสรีภาพและความจริงกับความมั่นคงที่ถูกสัญญาไว้ เมื่อคนกังวลเรื่องค่าครองชีพ หนี้สิน และอนาคตของลูกหลาน พวกเขามักจะยอมรับนักการเมืองที่สัญญาว่าจะแก้ปัญหา ไม่ว่าคำสัญญานั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ ความเหลวไหลทางการเมืองเลี้ยงชีพด้วยความกลัว ยิ่งคนกลัว พวกเขาก็ยิ่งต้องการเชื่อในคำสัญญาที่ดูดี แม้ว่าจะรู้ว่ามันอาจเป็นเท็จก็ตาม
ประการที่สาม ความอยากเชื่อ เป็นปรากฏการณ์ที่คนเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สอดคล้องกับความปรารถนาของตน แม้ว่าหลักฐานจะบ่งชี้ในทิศทางตรงกันข้าม ผู้สนับสนุนนักการเมืองหลายคนเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของผู้นำที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ใช่เพราะมีหลักฐานสนับสนุน แต่เพราะพวกเขาอยากให้มันเป็นจริง ความอยากเชื่อนี้ถูกเสริมแรงด้วยอัตลักษณ์ทางการเมือง ซึ่งการยอมรับว่าผู้นำที่ตนสนับสนุนกำลังพูดเหลวไหล เท่ากับการยอมรับว่าตนเองผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับจิตใจมนุษย์
เยอร์เกิน ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) นักทฤษฎีชาวเยอรมัน เคยแนะนำแนวคิดเรื่อง “มิติสาธารณะ” (public sphere) ซึ่งเป็นพื้นที่ทางสังคมที่ประชาชนสามารถมารวมตัวกัน อภิปรายเรื่องสาธารณะอย่างมีเหตุผล และสร้างความคิดเห็นสาธารณะที่มีคุณภาพ มิติสาธารณะที่มีเหตุผลเป็นเงื่อนไขสำคัญของประชาธิปไตย เพราะมันเป็นพื้นที่ที่อำนาจถูกตรวจสอบ นโยบายถูกวิพากษ์ และความจริงถูกค้นหา
ความเหลวไหลทางการเมืองทำลายมิติสาธารณะโดยการ "ทำให้ความจริงหมดความหมาย" เมื่อคำพูดของนักการเมืองไม่มีความสัมพันธ์กับความจริง การอภิปรายสาธารณะก็กลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่มีประเด็นอะไรที่สามารถได้รับการแก้ไขผ่านเหตุผลและหลักฐาน เพราะฝ่ายที่มีอำนาจไม่สนใจเหตุผลและหลักฐานอยู่แล้ว การวิพากษ์วิจารณ์ที่มีข้อมูลสนับสนุนถูกมองว่าไม่ต่างจากความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีน้ำหนัก เพราะในโลกของความเหลวไหล ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริง
ในบริบทไทย เราเห็นผลกระทบนี้ในหลายลักษณะ ดังเช่น การอภิปรายเชิงนโยบายถูกแทนที่ด้วยการโจมตีส่วนบุคคล สื่อสังคมออนไลน์เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จและทฤษฎีสมคบคิด การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างถูกมองว่าเป็นการเป็นศัตรู และคำว่า “ความจริง” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าเป้าหมายของการสนทนา เมื่อมิติสาธารณะพังทลาย ประชาธิปไตยก็สูญเสียพื้นที่สำหรับการทำงาน ที่เหลือไว้คือเพียงการแข่งขันเพื่ออำนาจโดยใช้ทุกวิถีทาง รวมถึงความเหลวไหล
หนึ่งในผลที่ตามมาที่ร้ายแรงที่สุดของระบอบความเหลวไหลคือการพังทลายของความไว้วางใจในสถาบันสาธารณะ เมื่อประชาชนตระหนักว่านักการเมืองพูดโดยไม่สนใจความจริง พวกเขาเริ่มเชื่อว่าทุกคนโกหก ทุกสถาบันทุจริต และทุกข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ความสงสัยแบบมีเหตุมีผลที่จำเป็นสำหรับประชาธิปไตยกลายเป็นทัศนะแบบเย้ยหยันที่ทำลายทุกอย่าง หรือทุกอย่าง ทุกคน ทุกพรรค เลวเหมือนกันหมด ซึ่งเป็นภาวะความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวังเชิงศีลธรรม
ในสังคมไทยปัจจุบัน เราเห็นวิกฤตความไว้วางใจนี้อย่างชัดเจน คนไม่เชื่อรัฐบาล ไม่เชื่อระบบราชการ ไม่เชื่อพรรคการเมือง ไม่เชื่อตำรวจ ไม่เชื่อทหาร ไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม และไม่เชื่อแม้แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ เราเห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ไม่เชื่อประสิทธิภาพของวัคซีน และหันไปเชื่อข้อมูลเท็จบนโซเชียลมีเดียแทน ความไม่ไว้วางใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล มันเป็นผลจากประสบการณ์สะสมที่ถูกหลอกลวงมาหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งผู้คนเลิกแยกแยะระหว่างสถาบันที่เชื่อถือได้กับที่เชื่อถือไม่ได้ พวกเขาไม่เชื่อใครทั้งหมด
สภาวะนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพราะสังคมไม่สามารถทำงานได้โดยปราศจากความไว้วางใจขั้นพื้นฐานในสถาบัน เมื่อไม่มีใครเชื่อใคร ไม่มีข้อมูลใดที่น่าเชื่อถือ และไม่มีสถาบันใดที่มีความชอบธรรม สังคมก็จะแตกสลาย ผู้คนจะหันไปพึ่งพากลุ่มเล็ก ๆ ที่พวกเขาเชื่อใจ ครอบครัว เพื่อน และผู้นำทางความคิดคนที่มีความคิดทางการเมืองเหมือนกัน และปิดตัวเองออกจากสังคมที่กว้างขึ้น นี่คือเส้นทางสู่สังคมที่แตกแยก ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาส่วนรวมได้อีกต่อไป
หากเราไม่ตื่นจากความเหลวไหล “เราก็จะถูกปกครองโดยรอยยิ้มของนักหลอกลวง ที่ขายความฝันบนซากของความจริง” นี่คือภาพอนาคตที่น่ากังวล สังคมที่การเมืองกลายเป็นเพียงการแสดง ที่นักการเมืองพูดสิ่งที่ฟังดูดีแต่ไม่มีความหมาย ที่นโยบายถูกออกแบบเพื่อสร้างภาพลักษณ์มากกว่าแก้ปัญหา และที่ประชาชนยอมรับการถูกหลอกเพราะพวกเขาเหนื่อยเกินไปที่จะต่อสู้
ต้นทุนระยะยาวของระบอบความเหลวไหลนั้นสูงมาก เศรษฐกิจที่อ่อนแอเพราะนโยบายถูกสร้างจากคำสัญญาที่เป็นไปไม่ได้มากกว่าการวิเคราะห์ที่รอบคอบ การศึกษาที่ด้อยคุณภาพเพราะงบประมาณถูกใช้กับโครงการแบบแสดงเอาหน้ามากกว่าการพัฒนาที่แท้จริง ระบบสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอเพราะการวางแผนระยะยาวถูกแทนที่ด้วยโครงการระยะสั้นที่มีผลทางการเมืองทันที สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายเพราะนโยบายสิ่งแวดล้อมถูกเขียนเพื่อประชาสัมพันธ์มากกว่าเพื่อความยั่งยืน และที่สำคัญที่สุด คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในโลกที่ “ความจริง” ไม่มีความหมาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถสร้างสังคมที่ดีกว่าได้
“ประเทศไม่ได้ล่มเพราะคนโกหก แต่เป็นเพราะเรายอมให้ผู้เหลวไหลปกครอง” นี่คือความจริงที่เจ็บปวด อันตรายที่แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่พูดเหลวไหล แต่เป็นพลเมืองที่ยอมรับความเหลวไหลนั้น ตราบใดที่เรายังเลือกนักการเมืองตามความสามารถในการพูดให้ฟังดูดีมากกว่าความสามารถที่แท้จริง ตราบใดที่เรายังยอมให้สื่อเป็นเครื่องขยายเสียงของความเหลวไหลโดยไม่ตั้งคำถาม ตราบใดที่เรายังเลือกความสบายใจชั่วคราวมากกว่าความจริงที่ไม่สบาย และตราบใดที่เรายังปิดหูปิดตาต่อความเหลวไหลเพราะ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอด” ระบอบของความเหลวไหลก็จะดำรงอยู่ต่อไป
การต่อต้านความเหลวไหลทางการเมืองไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ของนักการเมืองหรือนักข่าว แต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคนในระบอบประชาธิปไตย เริ่มต้นด้วยการปฏิเสธที่จะยอมรับคำตอบที่ไม่มีเนื้อหา การตั้งคำถามเมื่อสิ่งที่ได้ยินไม่สมเหตุสมผล การค้นหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง การสนับสนุนสื่อที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจอย่างแท้จริง และที่สำคัญที่สุด การยอมรับว่าความจริงมีความสำคัญ แม้ว่ามันจะไม่สบายก็ตาม
ในยุคที่ความเหลวไหลกำลังกลายเป็นบรรทัดฐาน การยืนหยัดเพื่อความจริงอาจดูเหมือนเป็นการกระทำที่สวนกระแส แต่ก็เป็นการกระทำที่จำเป็นหากต้องการรักษาประชาธิปไตย ความศักดิ์ศรีของมนุษย์ และอนาคตของสังคมไทย ดังนั้น เจึงไม่ควรยอมให้รอยยิ้มของนักหลอกลวงบดบังความจริงอีกต่อไป ไม่ควรปล่อยให้คำพูดว่างเปล่าแทนที่การกระทำที่แท้จริง และไม่ควรนิ่งเฉยในขณะที่ความเหลวไหลกำลังทำลายพื้นฐานของสังคมที่เราอาศัยอยู่
การตื่นจากความเหลวไหลเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคน วันนี้ ที่นี่ และในทุกการสนทนาที่เราเข้าร่วม ทุกการเลือกตั้งที่เราออกเสียง และทุกครั้งที่เราเลือกระหว่างความสะดวกสบายของการเชื่อกับความรับผิดชอบของการรู้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว อนาคตของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักการเมือง แต่ขึ้นอยู่กับว่าพลเมืองจะเลือกยืนเคียงข้างความจริงหรือยอมอยู่ในโลกของความเหลวไหล


