ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังความโศกเศร้าสำหรับพสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อได้ทราบจากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ว่า “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ได้เสด็จสวรรคต ด้วยพระอาการสงบ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิริพระชนมพรรษา 93 พรรษา
ดวงใจของพสกนิกรถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความความอาดูรที่ไม่อาจหาคำใดมาทดแทนได้ ด้วยทรงเป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความรัก และความเมตตาดุจดัง “พระแม่ของแผ่นดินไทย” ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จากพระราชกรณียกิจนานัปการตลอดช่วงหลายทศวรรษ อันเป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวไทยและทั่วโลก
โดยเฉพาะภาพที่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงประทับเคียงข้าง “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าพื้นที่จะห่างไกลหรือทุรกันดารเพียงใด ซึ่งสถิตยู่ในดวงใจปวงชนชาวไทยอย่างไม่เสื่อมคลาย
สร้างสายธารศิลปาชีพ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกลในการสร้างรากฐานของประชาชนจากภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นการส่งเสริมอาชีพและความมั่นคงให้แก่พสกนิกรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ต่อไปและสืบต่อจนปัจจุบัน ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันให้ราษฎรได้มีอาชีพที่มั่นคง และมีความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปประกอบอาชีพที่อื่น
ขณะเดียวกัน “ศิลปาชีพ” เป็นงานสําคัญที่เกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงงานช่วยเหลือประชาชนในชนบทอย่างใกล้ชิด ด้วยความละเอียดและประณีตของพระองค์ ได้ทรงสังเกตเห็นว่า หัตถกรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ นั้น ล้วนแต่มีคุณค่าและมีความงดงามซ่อนอยู่ อันเป็นเอกลักษณ์ประจําในแต่ละท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ที่ชาวบ้านทําขึ้นใช้เองในการดํารงชีวิต ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกล จึงทรงเห็นว่าถ้าได้มีการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างจริงจังแล้ว จะเกิดประโยชน์ถึงสองทาง คือ ประการแรก เป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้าน และประการที่สอง คือ เป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านโบราณ อันเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2519 เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ในชนบท โดยการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน มูลนิธิฯ มีศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง ทุกแห่งล้วนประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ได้โอบอุ้ม ช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถส่งลูกหลานได้เรียนหนังสือและครอบครัวมีชีวิตที่ดี เป็นการขยายโอกาสและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ราษฎร ด้วยผลิตภัณฑ์อันวิจิตรบรรจงที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมอันเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศชาติตลอดไป
“...ข้าพเจ้านั้นภูมิใจเสมอมาว่า คนไทย มีสายเลือดของช่างฝีมืออยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา หรืออาชีพใด อยู่สารทิศใดคนไทยมีความละเอียดอ่อน และไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขาได้โอกาสฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นได้...”
พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2532
บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นผู้มีน้ำพระทัยอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎร จะทรงพบว่ามีราษฎรป่วยเจ็บด้วยโรคต่างๆ ไปเฝ้าฯ กันเป็นจำนวนมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์ที่ตามเสด็จฯ ช่วยตรวจรักษา
หากคนไข้คนใดจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ก็จะโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในภาคนั้นๆ แต่หากว่าคนไข้ผู้นั้นเป็นโรคที่ต้องการแพทย์เฉพาะโรคที่ไม่มีในจังหวัดนั้นๆ ก็ให้นำตัวส่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุดจนกว่าจะหาย
อย่างไรก็ตาม เกิดปัญหาติดขัดบางจุดมีคนป่วยมาก แพทย์ตามเสด็จไม่สามารถจะตรวจได้ในเวลาอันจำกัด พระองค์ก็โปรดเกล้าฯ ให้จัด “หน่วยแพทย์พระราชทาน” เดินทางไปให้การตรวจรักษาโดยเฉพาะตามจุดต่างๆ บางครั้งก็เดินทางทางรถยนต์ บางครั้งทางเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ แล้วแต่ภูมิประเทศ
พระองค์ทรงเป็นห่วงคนไข้ที่นำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทรงจำได้ว่ามีคนไข้คนใดบ้างที่มีอาการไม่ค่อยจะดี จะทรงสอบถามถึงอาการของเขาอยู่เสมอ โปรดเกล้าฯ ให้จัดนางสนองพระโอษฐ์และอาสาสมัครเวียนกันไปเยี่ยมเยียนคนไข้เหล่านี้ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ทุกวัน โดยมีพระราชเสาวนีย์ให้ทำตัวประดุจญาติที่เขาจะไว้ใจบอกเล่าทุกข์สุขอะไรให้ได้ เผื่อจะสามารถปัดเป่าบรรเทาความทุกข์ได้
โดยคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ไม่สามารถรักษาได้ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาแก่ครอบครัว เช่น พระราชทานการศึกษาแก่บุตรหรือคนใดคนหนึ่งของครอบครัว หรือพระราชทานงานศิลปาชีพเพื่อช่วยเหลือรายได้ของครอบครัว เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ด้วยวิญญาณแห่งความเป็นแม่และครูที่ทรงมีอยู่อย่างเปี่ยมล้น พระองค์เล็งเห็นการศึกษาของชาติเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการวางรากฐานแก่ชีวิต และความเป็นอยู่ของราษฎร หากทรงพบครอบครัวที่ยากจนขาดที่ทำกินและมีลูกมาก ก็จะทรงพิจารณาหาอาชีพให้แก่พ่อแม่ และพระราชทานการศึกษาแก่ลูกตามความเหมาะสมเป็นรายกรณีไป
หากเด็กคนใดอยู่ในวัยเรียนมีผลการเรียนดีพอสมควร มีความมานะพยายาม และต้องการเรียนต่อจริง ๆ จะส่งเสียให้เรียนไปตามความสามารถของเด็กนั้นจนถึงระดับปริญญาตรี แต่หากเด็กคนในที่มีอายุมากเกินกว่าจะกลับมาเข้าชั้นเรียนเดียวกับเด็กอื่นๆ ได้ ก็จะทรงส่งเสริมให้เรียนวิชาชีพตามความสนใจและความสามารถของเด็ก ทั้งนี้ รวมถึงเด็กแขนขาพิการตาบอดและหูหนวก ที่ทรงพบว่ามีความสามารถพอจะเรียนต่อได้อีกด้วย
ในเวลาเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็ทรงคำนึงถึงราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ไม่มีโอกาสได้ไปศึกษาหาความรู้ จึงทรงริเริ่มโครงการห้องสมุดสารพัดประโยชน์ขึ้นในหลายๆ หมู่บ้าน โดยใช้ชื่อว่า “ศาลารวมใจ” มีพระราชประสงค์ให้ราษฎรทุกเพศทุกวัยได้เพิ่มพูนความรู้ ไม่ว่าจะโดยการศึกษาในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนเพื่อให้มีความรู้รอบตัว รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนรู้จักปรับตัวให้ทันกับสภาพสังคมปัจจุบัน และที่สำคัญคือให้สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ เพื่อจะได้เป็นประชาชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป
“ชุดไทยพระราชนิยม” สง่างามตระการตา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นผู้นำการแต่งกายผ้าไทยและเผยแพร่ความงามและเอกลักษณ์ของผ้าไทยสู่สายตาชาวต่างชาติ ย้อนกลับไป ปี 2503 พระองค์ทรงมีกำหนดการที่จะตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป และประเทศสหรัฐอเมริกา
ทรงพระราชดำริว่า แม้เราจะมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมในการแต่งกายของเราเองอยู่แล้วแต่สตรีไทยก็ยังไม่มีเครื่องแต่งกายชุดประจำชาติ จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ผู้ที่เชี่ยวชาญในการออกแบบเครื่องแต่งกาย คิดปรับปรุงแบบเสื้อที่สตรีไทยแต่งกันมาแต่โบราณกาลให้ทันสมัย เพื่อทรงใช้เป็นชุดไทยประจำชาติในระหว่างที่เสด็จฯ ไปทรงเยือนต่างประเทศครั้งนั้น โดยพระองค์ทรงตระหนักว่า ฉลองพระองค์ทุกชุดเสมือนทูตทางวัฒธรรม ที่ทั่วโลกจับจ้องและจดจดประเทศไทย
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นาย ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain) นักออกแบบชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้ดูแลการออกแบบตัดเย็บและให้คำแนะนำเรื่องการแต่งกายตามธรรมเนียม และนาย ฟรองซัวส์ เลอซาจ (Francois Lesage) ช่างฝีมือในการปักเสื้อชื่อดังของฝรั่งเศส เป็นผู้ดูแลเรื่องงานปักฉลองพระองค์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับการจัดเตรียมฉลองพระองค์ทั้งหมด
ในห้วงเวลานั้นเอง ผู้เชี่ยวชาญเครื่องแต่งกายสตรีของโลกต่างเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีของประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 10 สตรีที่แต่งกายงามที่สุดในโลก ปี 2503 (International Best Dressed List Hall of Fame in 1960) และ สตรีที่แต่งกายงดงามที่สุดในโลก ปี 2507 (The 1964 list of the world's best dressed)
และในปี 2508 มีการจารึกพระนามาภิไธยในหอแห่งเกียรติคุณ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ทรงเป็น 1 ใน 12 สุภาพสตรีที่แต่งกายงามที่สุดในโลก (12 the World's Best-Dressed Women Hall of Fame1965 in New York)
และเป็นจุดเริ่มต้นของ “ชุดไทยพระราชนิยม” ชุดไทยประจำชาติอันสวยสง่างาม สำหรับสวมใสในโอกาสต่างๆ ประกอบด้วย 1.ชุดไทยเรือนต้น 2.ชุดไทยจิตรลดา 3.ชุดไทยอมรินทร์ 4.ชุดไทยบรมพิมาน 5. ชุดไทยจักรี 6.ชุดไทยดุสิต 7.ชุดไทยศิวาลัย และ 8.ชุดไทยจักรพรรดิ์
โดยพระองค์ทรงมีบทบาทเป็นผู้นำการแต่งกายแบบไทยอย่างแท้จริง เพื่อให้สตรีชาวไทยมีเครื่องแต่งกายที่แสดงออกถึงความเป็นชาติไทยได้อย่างสง่างาม นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาสตรีไทย ที่ได้พระราชทานแนวพระราชนิยมเป็นแบบแผนการแต่งกายประจำชาติสำหรับสตรีขึ้น นับเป็นการส่งเสริมเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทยตามลำดับยุคสมัย
นอกจากนี้ ทรงทำให้แฟชั่นการสวมหมวกธรรมเนียมสากลจากชาติตะวันตก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเป็นอันมากในประเทศไทย แม้ว่าการสวมหมวกจะมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยสมเด็จพระพันปีหลวงทรงพระมาลาครั้งแรก ในการเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ปี 2503 พร้อมในหลวงรัชกาลที่ 9 จากนั้นไม่ว่าจะเสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย ก็จะได้เห็นพระองค์ทรงพระมาลารูปแบบต่างๆ ในแต่ละโอกาสแต่ละสถานที่ที่ทรงเสด็จ ซึ่งช่วยเสริมส่งให้พระองค์ที่มีพระสิริโฉมงดงาม ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น โดยพระมาลาแต่ละใบก็จะเข้ากับฉลองพระองค์ที่ทรงสวมใส่
ปฐมบทโขนพระราชทาน
การอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงโขนเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
กล่าวสำหรับปฐมบทโขนพระราชทาน ย้อนกลับไป ปี 2546 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกราบบังคมทูลว่า ช่วงนี้โขนค่อนข้างซบเซา ไม่มีคนดูเลย จะทำอย่างไรดี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงบอกว่า “ถ้าไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” เป็นเหตุให้มีการแสดงโขนไปแสดงตามพระตำหนักต่างๆ ที่ทรงแปรพระราชฐานไปเพื่อประทับทรงงาน เช่น ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ทรงนำโขนไปแสดงในงานเลี้ยงขอบคุณประชาชน และพระราชองครักษ์
นอกจากนี้ หากเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพระราชกรณียกิจยังต่างประเทศ หรือต้องมีการแสดงพระองค์มักทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ นำ ศิลปะการแสดงโขน ไปจัดแสดงให้ประจักษ์สู่สายตาชาวโลกอยู่เสมอ เช่นเดียวกับในงานเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะในประเทศ พระองค์ยังทรงเลือกให้มีการแสดงโขนรวมอยู่ด้วย
ภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชกรณียกิจฟื้นฟูโขนไม่ใช่แค่การฟื้นฟูนาฏศิลป์ แต่เป็นการพลิกฟื้นศาสตร์และศิลป์ฝีมือช่างหัตถศิลป์ไทยหลายสาขา
โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศขึ้นทะเบียน โขน เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปี 2552 ในลำดับที่ 1 สาขาศิลปะการแสดง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ 2546 ครั้งที่ 13 ที่เมืองพอร์ตลูอิส สาธารณรัฐมอริเชียส เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 องค์การยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียนการแสดงโขนของไทยภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษ Khon, masked dance drama in Thailand เป็นรายการตัวแทน มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในประเภท “รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)” โดยมิได้ถูกคณะกรรมการตั้งข้อสังเกตถึงคุณสมบัติแต่ประการใด นับเป็นการขึ้นทะเบียน ‘มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้’ ขององค์การยูเนสโก รายการแรกของประเทศไทย
อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้ราษฎรที่ยากจนได้มีที่อยู่อาศัยและทำกินอย่างยั่งยืนพร้อมกับอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ปัจจุบันมีหลายแห่งในประเทศไทย และเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยส่งเสริมให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างกลมกลืน
“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
จากพระราชดำริเปี่ยมพระวิสัยทัศน์กว้างไกล เพื่อให้ชาวบ้านอยู่ร่วมกับป่าโดยไม่ต้องทำลายป่า ก่อเกิดเป็นโครงการที่ฟื้นฟูป่าที่สร้างระบบที่คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างกื้อกูล
โดยพระองค์พระราชดำรัสว่า “เมื่อป่าหมดไปคนเราก็จะอยู่ไม่ได้ คนกับป่าจึงต้องอยู่ด้วยกัน คือคนคอยดูแลรักษาป่า และป่าก็จะอำนวยประโยชน์ให้แก่คน เป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน”
โครงการป่ารักน้ำ จุดเริ่มต้นจากพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อดูแลรักษาผืนป่าและแหล่งน้ำของแผ่นดินไทย บรรเทาวิกฤติการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาค พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นว่าป่าไม้ถูกทำลาย ราษฎรจำนวนมากบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อหาที่ทำกิน จึงมีพระราชดำริให้สร้างทางออกที่ยั่งยืน เพื่อ “ช่วยคนให้พ้นความยากจน โดยไม่ต้องทำลายป่า”
เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการป่ารักน้ำที่มุ่งหมายให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างเกื้อกูลกัน พระองค์ทรงให้ราษฎรผู้ยากไร้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกและดูแลป่า พร้อมจัดสรรที่ทำกินและอาชีพเสริม โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อจ้างแรงงานชาวบ้านเป็นรายเดือน เพื่อให้พวกเขามีรายได้โดยไม่ต้องตัดไม้ขายอีกต่อไป
“…เราเรียกแผ่นดินนี้ว่า ‘แผ่นดินแม่’ เพราะแผ่นดินนี้เป็นที่เกิด และเลี้ยงดูคนไทยมากว่า 700 ปี ควรที่เราทั้งหลายจะบำรุงรักษาแผ่นดินให้คงความอุดมสมบูรณ์ไว้ ถ้าเรามัวแต่ตักตวงผลประโยชน์จากผืนดิน เช่น เอาแต่ตัดไม้ขายจนป่าสูญสิ้นไป ใช้ยาฆ่าแมลงและฆ่าวัชพืชจนดินเสียหมด หรือทิ้งของเสียสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำลำคลองโดยไม่ห่วงใยแผ่นดินเลย …สักวันหนึ่งแผ่นดินแม่คงตายจากเราไปโดยไม่มีวันหวนกลับคืนมา คงเหลือไว้ซึ่งพื้นดินที่แห้งแล้ง สิ้นสภาพจากการเป็นดินที่จะทำการเพาะปลูกได้”
นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปลูกป่าในต่างจังหวัดและการสร้างพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งพระราชทานให้เป็น “สวนป่าในเมือง” เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่พักผ่อนและเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ
เหล่านี้เป็นเพียงพระราชกรณียกิจเพียงส่วนหนึ่งในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งจะตราตรึงอยู่ในหัวใจประชาชนชาวไทยตราบนานเท่านาน แม้ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโศกเศร้าอาดูรและอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้


