"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
นักประพันธ์และนักปรัชญาชาวอิตาเลียน อุมแบร์โต เอโก (Umberto Eco) ผู้เป็นที่รู้จักจากนวนิยายคลาสสิก “ในนามของดอกกุหลาบ” (The Name of the Rose) เคยกล่าวประโยคหนึ่งที่กลายเป็นเหมือนคำทำนายทางวัฒนธรรมในยุคสื่อสังคมออนไลน์ เขาเตือนว่าโลกออนไลน์ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า "การรุกรานของคนโง่" (invasion of idiots) อันหมายถึง การมาถึงของยุคที่ทุกคนมีไมโครโฟนขนาดเท่ากัน เสียงของผู้ที่ไม่รู้จริงถูกขยายเท่ากับเสียงของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่เจ้าของรางวัลโนเบล
เอโกไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นหรือปิดปากผู้คน เขามิได้ต่อต้านประชาธิปไตย แต่เขากำลังวิพากษ์ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อน นั่นคือ การล่มสลายของลำดับชั้นแห่งความรู้ เมื่อการมีสิทธิ์พูดถูกเข้าใจผิดว่าเท่ากับการพูดอย่างมีสาระ และเมื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกใช้เป็นเกราะป้องกันความไม่รู้และอคติส่วนบุคคล โลกออนไลน์จึงกลายเป็นสมรภูมิที่ความจริงและความเท็จมีน้ำหนักเท่ากันในสายตาผู้คน
คำกล่าวของเอโกสะท้อนความวิตกในแบบเดียวกับที่ ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) นักปรัชญาการเมืองชาวเยอรมัน-อเมริกัน เคยเตือนถึง "การทำลายความจริงทางการเมือง" (political destruction of truth) อาเรนท์ชี้ให้เห็นว่า อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเมืองสมัยใหม่ไม่ใช่การโกหกเพียงอย่างเดียว แต่คือการทำลายแนวคิดเรื่องความจริงเชิงประจักษ์ (factual truth) ให้กลายเป็นเพียงความคิดเห็นอีกประการหนึ่งที่สามารถโต้แย้งได้ เธอเห็นว่าในระบอบเผด็จการ ความจริงไม่ได้ถูกบิดเบือนเท่านั้น แต่ถูกแทนที่ด้วยความจริงที่ผลิตขึ้นอย่างเป็นระบบ จนในที่สุดผู้คนไม่สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวในการวิเคราะห์ของอาเรนท์คือ เธอเตือนว่าการทำลายความจริงไม่จำเป็นต้องอาศัยเผด็จการเสมอไป แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมวลชนถูกท่วมท้นด้วยข้อมูลที่ขัดแย้งกัน เมื่อความเท็จถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และเมื่อการปฏิเสธข้อเท็จจริงกลายเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ชอบธรรม อาเรนท์มองว่า เมื่อผู้คนสูญเสียความไว้วางใจในข้อเท็จจริง พวกเขาจะกลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายของการโฆษณาชวนเชื่อและการจัดการความคิด เพราะหากทุกอย่างอาจเป็นความเท็จได้ ก็หมายความว่าทุกอย่างอาจเป็นความจริงได้เช่นกัน ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้จึงถูกลบเลือนไป
ในขณะเดียวกัน แนวคิดของ นีล โพสต์แมน (Neil Postman) นักวิจารณ์สื่อและนักทฤษฎีวัฒนธรรมชาวอเมริกัน ก็เสนอมุมมองที่เสริมความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ โพสต์แมนเตือนว่า อันตรายของสื่อสมัยใหม่ไม่ได้อยู่ที่การปิดกั้นข้อมูล แต่อยู่ที่การท่วมท้นด้วยข้อมูลจนผู้คนกลายเป็นผู้บริโภคที่เฉื่อยชา โพสต์แมนมองว่า โทรทัศน์และต่อมาคืออินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนวัฒนธรรมการสื่อสาร จากยุคแห่งการพิมพ์ที่เน้นเหตุผล การโต้แย้ง และความลึกซึ้ง มาสู่ยุคแห่งการแสดงที่เน้นความบันเทิง ภาพลักษณ์ และความตื้นเขิน
เมื่อเทคโนโลยีทำให้ทุกคนเป็นผู้ส่งสาร ความหมายของสารนั้นกลับถูกทำให้ตื้นเขิน เพราะสื่อแต่ละประเภทมีข้อจำกัดในตัวเอง โทรทัศน์ด้วยลักษณะของมันทำให้ทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรม เร้าใจ และสั้น การเมืองกลายเป็นการแสดง การศึกษากลายเป็นความบันเทิง และข่าวร้ายกลายเป็นละครที่เราชมแล้วลืม เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดียที่ด้วยลักษณะของมันทำให้การสื่อสารต้องเร็ว สั้น และดึงดูดความสนใจ แนวคิดที่ซับซ้อนต้องถูกลดทอนเป็นสโลแกน การวิเคราะห์อย่างรอบคอบต้องแพ้ต่อมีมที่ตลกขบขัน และความลึกของเนื้อหาต้องแพ้ต่อความไวรัลของการนำเสนอ
ในห้วงเวลาที่ความจริงถูกปลดปล่อยให้เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ถูกปั้นแต่งและเผยแพร่ด้วยความรวดเร็วสุดหยั่งของอัลกอริทึม เราจำต้องหวนกลับมาทบทวนว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างความเห็นกับความรู้ ระหว่างการแสดงออกกับการสร้างสรรค์ความหมาย ในโลกดิจิทัล การที่ทุกคนมีสิทธิ์พูดไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรได้รับการรับฟังอย่างเท่าเทียมกันในทุกประเด็น ความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธความเชี่ยวชาญ หรือการยกย่องความเท่าเทียมทางปัญญาอย่างไร้เงื่อนไข แต่หมายถึงการให้โอกาสทุกคนในการเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้สามารถมีส่วนร่วมในวาทกรรมสาธารณะอย่างมีคุณภาพ
สิ่งที่น่ากังวลคือการที่สังคมสมัยใหม่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ภาวะที่ความรู้แท้จริงถูกกลืนหายไปในมหาสมุทรแห่งข้อมูล ที่ซึ่งความลึกของการวิเคราะห์ถูกแทนที่ด้วยความรวดเร็วของการแชร์ ความรอบคอบของการตรวจสอบถูกแทนที่ด้วยความชำนาญของการคลิก และความรับผิดชอบทางปัญญาถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว นี่คือยุคแห่งการจำลองภาพเสมือน (age of simulacra) ที่ซึ่งภาพแทนที่ความจริง สัญลักษณ์แทนที่เนื้อหา และการแสดงแทนที่การดำรงอยู่
ในบริบทของสังคมไทย ปรากฏการณ์นี้มีความชัดเจนและรุนแรงยิ่งกว่าในหลายสังคม พื้นที่ออนไลน์ของไทยได้กลายเป็นสนามรบทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ความจริงถูกบิดเบือนไปตามสีสันของค่ายการเมือง ที่ซึ่งการอภิปรายถูกแทนที่ด้วยการโจมตี การตรวจสอบถูกแทนที่ด้วยการต่อว่า และการแสวงหาความจริงถูกแทนที่ด้วยการแสวงหาชัยชนะทางวาทะ เราได้เห็นการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ห้องสะท้อนเสียง (echo chamber) ที่ผู้คนเลือกรับฟังเพียงข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของตน และปิดกั้นมุมมองที่แตกต่าง การแบ่งขั้วทางความคิดจึงลึกซึ้งยิ่งขึ้น สังคมแตกเป็นเกาะกระจัดกระจายของความเชื่อที่แข็งกระด้างและไม่อาจเชื่อมโยงถึงกัน
ความน่าสนใจของกรณีไทยอยู่ที่ว่า สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญทางการเมืองในยุคที่พื้นที่สาธารณะแบบดั้งเดิมถูกจำกัด เสียงของประชาชนที่เคยถูกกดไว้ในระบบสื่อกระแสหลักได้รับการปลดปล่อยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การเคลื่อนไหวทางสังคมหลายครั้งเริ่มต้นและขยายวงจากพื้นที่ดิจิทัล ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายประการเกิดขึ้นจากพลังของเสียงส่วนรวมบนโลกออนไลน์ นี่คือด้านบวกของการปฏิวัติดิจิทัลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่เดียวกันนี้ก็กลายเป็นดินแดนแห่งข้อมูลเท็จ การบิดเบือนความจริง และการใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ในสังคมไทยร่วมสมัย เราได้เห็นการเกิดขึ้นของชนชั้นใหม่ในโลกดิจิทัล ชนชั้นของผู้มีอิทธิพล ผู้สร้างเนื้อหา และบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่กลายเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นสำคัญของผู้คนนับล้าน บุคคลเหล่านี้หลายคนมิได้ผ่านการฝึกฝนทางวิชาการหรือการตรวจสอบความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด แต่กลับมีอำนาจในการกำหนดวาทกรรมสาธารณะมากกว่านักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ความนิยมชมชอบ จำนวนผู้ติดตาม และความสามารถในการสร้างกระแสได้กลายเป็นเกณฑ์วัดความน่าเชื่อถือมากกว่าความรู้ ประสบการณ์ หรือความรอบคอบในการนำเสนอข้อมูล นี่คือการผกผันของอำนาจทางปัญญา ที่ซึ่งความดังกลายเป็นความจริง และความจริงกลายเป็นสิ่งที่อาจถูกมองข้ามหากไม่มีคนดังนำเสนอ
ปรากฏการณ์นี้มีความซับซ้อนเป็นพิเศษในบริบทไทยที่วัฒนธรรมการให้ความเคารพต่อผู้มีอำนาจและบุคคลที่มีชื่อเสียงฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกส่วนรวม เมื่อผู้มีอิทธิพลทางสังคมออนไลน์กล่าวอ้างอะไร ผู้คนมักจะยอมรับโดยไม่ตรวจสอบ เพราะความนับถือในตัวบุคคลมากกว่าความถูกต้องของเนื้อหา การที่ดารา นักร้อง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงแสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม มักจะได้รับความสนใจและการกระจายตัวของข้อมูลมากกว่าบทความวิชาการที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ นี่คือความขัดแย้งระหว่างประชาธิปไตยแห่งเสียงกับคุณภาพแห่งความคิด
การเมืองไทยในยุคโซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง การทำการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย ความสามารถในการบริหาร หรือวิสัยทัศน์ แต่กลายเป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ การจัดการกระแส และการต่อสู้บนสนามแห่งการรับรู้ นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีผลงานที่เป็นรูปธรรม แต่ต้องมีทีมงานที่เข้าใจกลไกของโลกออนไลน์ รู้จักสร้างเนื้อหาที่ไวรัล สามารถจัดการวิกฤตภาพลักษณ์ได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ ต้องมีกองทัพแห่งผู้สนับสนุนที่พร้อมจะปกป้องและโจมตีในนามของความถูกต้อง ความจริงทางการเมืองจึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ถูกกำหนดโดยการรับรู้ส่วนรวมที่ถูกหล่อหลอมโดยกระแสข้อมูลบนโลกออนไลน์
เราได้เห็นการใช้กลยุทธ์ "ข้อมูลท่วมท้น" (information flooding) ที่ข้อมูลจริงและเท็จถูกปล่อยออกมาพร้อมกันจนผู้คนไม่สามารถแยกแยะได้ เห็นการใช้บอท แอคเคานท์ปลอม และกองทัพออนไลน์ในการสร้างความเห็นที่ดูเหมือนมาจากคนจริงและมีจำนวนมาก เห็นการบิดเบือนบริบท การตัดต่อภาพและเสียง และการสร้างเรื่องเล่าที่ดึงดูดอารมณ์มากกว่าเหตุผล สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์การเมือง แต่เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้มันมีพลังและการแพร่กระจายที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อข้อมูลเท็จสามารถเดินทางได้เร็วกว่าความจริง และความจริงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ สังคมจึงตกอยู่ในภาวะที่การโกหกมีต้นทุนต่ำกว่าการพูดความจริง
สิ่งที่น่าวิตกยิ่งกว่าคือการเกิดขึ้นของความเหนื่อยล้าจากความจริง (truth fatigue) เมื่อผู้คนถูกท่วมท้นด้วยข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเห็นว่าแม้แต่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก็ยังถูกโต้แย้งได้ ในที่สุดพวกเขาก็เลิกสนใจที่จะแสวงหาความจริง และยอมรับว่าทุกอย่างเป็นเพียงมุมมอง ทุกอย่างมีอคติ และไม่มีความจริงที่แท้จริงอยู่ นี่คือชัยชนะครั้งสำคัญของผู้ที่ต้องการทำลายความไว้วางใจในระบบข้อมูลข่าวสาร เพราะเมื่อผู้คนไม่เชื่ออะไรเลย พวกเขาก็พร้อมที่จะเชื่ออะไรก็ได้ที่สอดคล้องกับความรู้สึกและผลประโยชน์ของตน
ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน สื่อสังคมออนไลน์ได้สร้างความตึงเครียดใหม่ในสังคมไทย ในขณะที่รัฐพยายามควบคุมการไหลเวียนของข้อมูล ปราบปรามสิ่งที่มองว่าเป็นข้อมูลเท็จหรือบ่อนทำลายความมั่นคง ประชาชนก็เรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูล ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงคำถามพื้นฐานที่สังคมไทยยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน นั่นคือ เส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพและความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน ระหว่างการปกป้องความมั่นคงกับการคุกคามเสรีภาพอยู่ที่ไหน และใครควรเป็นผู้ตัดสิน การใช้กฎหมายในการควบคุมข้อมูลออนไลน์หลายครั้งถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพ ในขณะที่การปล่อยให้ข้อมูลเท็จแพร่กระจายก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคม
นี่ไม่ใช่การเรียกร้องให้ปิดกั้นเสรีภาพ แต่ชี้ให้เห็นว่า เสรีภาพจะไร้ความหมายหากปราศจากความรับผิดชอบทางปัญญา เสียงของมนุษย์ทุกคนย่อมมีค่า แต่สังคมที่ปล่อยให้เสียงแห่งความไม่รู้ดังเท่ากับเสียงแห่งปัญญา ย่อมเสี่ยงต่อการกลายเป็นสังคมที่หลงทางในทะเลแห่งข้อมูล โดยไม่มีเข็มทิศแห่งเหตุผลนำทาง สิ่งนี้หมายความว่าเราต้องสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบข้อมูล การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการให้คุณค่ากับความรู้ที่แท้จริง มิใช่เพียงแค่การปิดกั้นข้อมูลเท็จหรือลงโทษผู้กระทำผิด แต่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับสังคม
เราจะสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพและความรับผิดชอบได้อย่างไร ระหว่างการเปิดกว้างและการรักษามาตรฐาน ระหว่างการให้เสียงทุกคนกับการรักษาคุณภาพของวาทกรรมสาธารณะ คำตอบไม่ได้อยู่ที่การกลับไปสู่ระบบเก่าที่ความรู้ถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำหรือสถาบันอำนาจ แต่อยู่ที่การสร้างระบบใหม่ที่เสรีภาพและความรับผิดชอบสามารถอยู่ร่วมกันได้ ที่ทุกคนมีสิทธิ์พูด แต่ทุกคนก็ตระหนักว่าการพูดมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ที่ทุกความคิดเห็นมีค่า แต่ความคิดเห็นที่มีหลักฐานและเหตุผลก็ควรได้รับน้ำหนักมากกว่า
สำหรับพลเมืองแต่ละคน การตระหนักรู้ในพลังและความรับผิดชอบของตนเองในฐานะผู้ส่งสารในโลกดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เรากดแชร์ กดไลค์ หรือแสดงความคิดเห็น เรากำลังมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นจริงทางสังคม เรากำลังส่งผลต่อการรับรู้ของผู้อื่น กำลังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนอื่น และอาจกำลังทำให้ความจริงหรือความเท็จแพร่กระจายไป ความรับผิดชอบทางปัญญาจึงไม่ใช่เรื่องของผู้เชี่ยวชาญหรือสื่อมวลชนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสื่อสารสาธารณะ
สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม การสร้างพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพในโลกดิจิทัลจึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีหรือการควบคุม แต่เป็นเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารใหม่ วัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับความจริง ที่เคารพในความแตกต่าง ที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ และที่กล้าตั้งคำถามกับทุกสิ่งรวมถึงตัวเอง เราต้องสร้างสังคมที่การอภิปรายไม่ใช่การต่อสู้เพื่อชัยชนะ แต่เป็นการแสวงหาความเข้าใจร่วมกัน ที่ความเห็นต่างหมายถึงโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่ความอับอายที่ต้องปกป้อง
บทเรียนสำคัญคือการต้องตระหนักว่า เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ ทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น เร็วขึ้น และกว้างขวางขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้การสื่อสารดีขึ้นโดยอัตโนมัติ การมีไมโครโฟนไม่ได้หมายความว่าเรามีอะไรที่คุ้มค่าจะพูด การมีผู้ฟังไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราพูดมีคุณค่า การที่ข้อมูลแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วไม่ได้หมายความว่าข้อมูลนั้นเป็นความจริง ในยุคที่เทคโนโลยีให้พลังกับทุกคน สิ่งที่เราต้องการคือปัญญาในการใช้พลังนั้นอย่างรับผิดชอบ
โลกดิจิทัลได้เปิดประตูสู่โอกาสมหาศาลในการแลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างสรรค์ร่วมกัน และการเชื่อมโยงผู้คนข้ามพรมแดน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เปิดประตูสู่ความสับสน การบิดเบือน และการทำลายล้างความไว้วางใจในสถาบันและระบบความรู้ การเลือกว่าจะใช้โลกดิจิทัลในทิศทางใดขึ้นอยู่กับเรา ทุกครั้งที่เราเลือกจะตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ ทุกครั้งที่เราเลือกจะอภิปรายด้วยเหตุผลแทนที่จะโจมตีด้วยอารมณ์ ทุกครั้งที่เราเลือกจะยอมรับว่าเราอาจผิดและพร้อมที่จะเปลี่ยนความคิด เรากำลังสร้างโลกดิจิทัลที่ดีขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงการที่ทุกเสียงดังเท่ากัน แต่หมายถึงการที่ทุกคนมีโอกาสพัฒนาตนเองจนสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างมีคุณภาพ เสรีภาพที่แท้จริงไม่ใช่เสรีภาพในการพูดอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ แต่เป็นเสรีภาพที่มาพร้อมกับความตระหนักในความรับผิดชอบและอำนาจของคำพูด และความจริงที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อหรือสิ่งที่ดังที่สุด แต่เป็นสิ่งที่ทนทานต่อการตรวจสอบและคงอยู่ได้แม้เมื่อทุกคนหันหลังให้ นี่คือบทเรียนที่สังคมทุกสังคม รวมถึงสังคมไทย ต้องเรียนรู้ในยุคที่ทุกคนมีเสียง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ว่าควรพูดอะไรและพูดอย่างไร


