คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
หนึ่งเดือนหลังการสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ในวันที่ 26 ธันวาคม 1718 เจ้าหญิงอุลริจกะทรงมีพระราชดำรัสยินยอมที่จะสละพระราชอำนาจตามเงื่อนไขของสภาฐานันดร
ความในพระราชดำรัสมีดังต่อไปนี้
“ดังที่เราได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในใจของเราเอง ดังที่ได้ประกาศแก่สภาที่ปรึกษา และดังที่เราจะประกาศต่อไปนี้ เราขอประกาศล้มเลิกสิ่งที่เรียกกันว่าอำนาจอธิปไตย (เน้นโดยผู้วิจัย) ซึ่งตัวเราตลอดจนทายาทและสายโลหิตของเราขอประกาศสละอำนาจดังกล่าวไปชั่วนิรันดร์ หากแต่เราจะทำตามแบบอย่างที่น่าชื่นชมของบรรพบุรุษของเรา กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งสวีเดน ผู้ทำให้ราชอาณาจักรและปิตุภูมิอันเป็นที่รักของเรากลายเป็นรัฐที่เจริญรุ่งเรือง กล่าวคือ เรามุ่งหมายที่จะฟื้นคืนการปกครองราชอาณาจักรในแบบโบราณ ทั้งนี้ เราขอยืนยันว่าเราจะมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเราได้สถาปนาและยืนยันอำนาจใหม่นี้ด้วยความยุติธรรมและความพอใจของพสกนิกรที่จงรักภักดีของเราทุกคน”
การตัดสินพระทัยดังกล่าวของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์โดยสายโลหิตที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการลงมติยอมรับของสภาฐานันดรอันเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเป็นการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนที่สถาปนาชัดเจนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1680 ในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด (Charles XI) พระราชบิดาของพระนาง รวมเป็นระยะเวลา 38 ปีที่สวีเดนอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระราชดำรัสดังกล่าวถือเป็น การทำสัญญาทางการเมือง (Political Contract): ยอมสละสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อแลกกับการสืบราชสันตติวงศ์ จากพระราชดำรัสข้างต้น มีข้อความที่น่าสังเกตคือ“เรามุ่งหมายที่จะฟื้นคืนการปกครองราชอาณาจักรในแบบโบราณ” ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภาของกุสตาฟที่สามในอีกห้าสิบกว่าไปต่อมา ในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1772 หลังรัฐประหารได้สองวันที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า“ข้าพเจ้าต้องการที่จะยุติเผด็จการฉ้อฉลของฝักฝ่ายการเมือง และต้องการที่จะแทนที่การปกครองตามอำเภอใจด้วยการปกครองที่มั่นคงและตั้งมั่น อย่างที่เคยเป็นมาตามกฎหมายโบราณของสวีเดน และเป็นจารีตประเพณีแห่งยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า”
จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1718 ที่อำนาจทางการเมืองได้เหวี่ยงกับไปคณะบุคคลที่เป็นอภิชนในรัฐสภา หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1772 ที่อำนาจทางการเมืองได้เหวี่ยงไปที่พระมหากษัตริย์ ต่างอ้างอิงการกลับไปสู่แบบแผนการปกครองโบราณของสวีเดนทั้งคู่ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
หนึ่ง ทำไมถึงต้องอ้างว่าจะกลับไปที่แบบแผนการปกครองดั้งเดิม และสอง แบบแผนการปกครองดั้งเดิมที่ว่านี้ทำใมถึงสามารถรองรับรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันมากได้ ซึ่งผู้วิจัยจะอภิปรายในประเด็นนี้ในบทที่ว่าด้วยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ค.ศ. 1809
หลังจากพระราชดำรัสประกาศสละสมบูรณาญาสิทธิ์ของเจ้าหญิงอุลริจกะ (Ulrika Eleonora๗ ผู้ที่อยู่ในสถานะของผู้สืบราชสันตติวงศ์ ต่อจากนั้นเป็นเวลาประมาณสองเดือนกว่าเล็กน้อย ที่ประชุมสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรได้ประชุมลงมติเลือกพระนางให้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดนในวันที่ 4 มีนาคม 1719 และพระองค์ทรงต้องยอมมีพระราชดำรัสในกฎบัตรการขึ้นครองราชย์ (Accession Charter) ค.ศ. 1719 ว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) ได้ทำให้สวีเดน “ความเสียหาย, ลดทอน, เสียดินแดน, และเกือบจะกลายเป็นดินแดนที่ถูกทำลายเสียหาย”
และหลังจากนั้น ที่ประชุมสภาฐานันดรได้มีการลงมติที่ถือเป็นกฎหมายที่เรียกว่า “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน” โดยสภาฐานันดรได้เลือกเจ้าหญิงอูลริจกะ เอลิโอนอราขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีและให้มีการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยรัชทายาทชายต่อไป หลังจากที่พระราชบัลลังก์ว่างลงจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลสที่สิบสอง (Charles XII) ซึ่งไร้รัชทายาทชาย
คำถามที่เกิดขึ้นคือ สภาฐานันดรได้ให้เหตุผลความชอบธรรมอย่างไรต่อการลงมติเลือกเจ้าหญิงอุลริจกะให้เป็นขึ้นครองบัลลังก์สวีเดน ด้วยพระนางได้เสกสมรสก่อนหน้านี้แล้ว ในขณะที่กฎมณเฑียรบาลได้กำหนดให้ผู้หญิงขึ้นครองบัลลังก์ได้ต่อเมื่อไม่ทรงเสกสมรส ?
ในบทบัญญัติฯดังกล่าว กล่าวว่า จากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง “ในฐานะสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรที่จงรักภักดี ได้ใคร่ครวญและตรวจสอบด้วยความรอบคอบและความระมัดระวังถึงความจำเป็นว่าผู้ใดสมควรครองราชย์บัลลังก์ที่ว่างลงตามประเพณีและบัญญัติแห่งสภาฐานันดรในกรณีที่กษัตริย์มิได้มีทายาทสืบราชบัลลังก์ เหตุดังกล่าบังคับให้ต้องสืบหาและพิจารณาลำดับ ทายาทของราชวงศ์ที่มีสิทธิขึ้นครองราชย์และที่ยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ พวกเราได้พบว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการสืบราชสันตติวงศ์ฝ่ายหญิง มีฐานที่มาจากกฎว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์แห่งปี 1604 ซึ่งได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ให้เจ้าหญิงที่มีความเหมาะสมที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปครองชีวิตโสด และจะอภิเษกสมรสได้ก็ต่อเมื่อสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรได้เห็นชอบและอนุญาตแล้วเท่านั้น ไม่ว่าพระองค์จะเป็นธิดาของกษัตริย์หรือของเจ้าชายก็ตาม’
ข้อความดังกล่าวได้รับการประกาศและบัญญัติอีกครั้งในมติแห่งสภาฐานันดรปี 1627 ที่กล่าวถึงสิทธิของรัชทายาทหญิงแห่งราชอาณาจักร ทั้งยังได้รับการยืนยันและสนับสนุนในปี 1633 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยมติแห่งสภาฐานันดรปี 1634 ซึ่งทำให้พระราชธิดาองค์เดียวของพระเจ้ากุสตาฟ อดอล์ฟ (Gustav-Adolphus) ได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เนื่องด้วยพระองค์ยังมิได้อภิเษกสมรส หลังจากที่พระเจ้าคาร์ล กุสตาฟ (Charles-Gustave) ผู้เป็นโอรสของเจ้าหญิงที่อภิเษกสมรสภายนอกราชอาณาจักรทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงยอมรับผ่านประกาศในปี 1650 ว่าพระองค์เป็นผู้รับความเมตตาและเกียรติ ตลอดจนได้รับความรักเป็นอย่างมาก และได้ทรงเรียกตนเองว่าเป็นกษัตริย์จากการเลือกตั้งในประกาศปี 1654 อันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้สภาฐานันดรก่อนหน้าปัจจุบันได้ระบุในมติปี 1654 ด้วยข้อความที่ชัดเจนว่า ‘[สภาฐานันดร] ได้เห็นชอบเลือกพระองค์ ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่หรือเป็นข้อบังคับ แต่ได้เลือกพระองค์ด้วยเจตจำนงเสรีของพวกเขาเอง ตลอดจนด้วยเหตุผลประการอื่น ๆ’
และแม้ว่ากฎมณเฑียรบาลจะกำหนดให้รัชทายาทฝ่ายชายเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์เท่านั้น กระนั้น กฎมณเฑียรบาลก็ถูกขยายเรื่อยมาจนครอบคลุมรัชทายาทหญิง เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ตามกฎแห่งนอร์ดเชอร์ปิงที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวพบอยู่ในพินัยกรรมของพระเจ้าชาร์ลสที่ที่ 11(Charles XI) ปี 1693 นั่นคือ สภาฐานันดรเป็นผู้ยืนยันสิทธิและพระราชอำนาจของรัชทายาทหญิง ตามบัญญัติของกฎแห่งนอร์ดเชอร์ปิงที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งแม้ไม่ได้ขัดกับความเห็นชอบหรือพันธะหน้าที่ของสภาฐานันดรแต่อย่างใด แต่ก็มีผลบังคับและกำหนดให้ต้องรักษาสิทธิและพระราชอำนาจของรัชทายาทหญิงแห่งราชวงศ์ตามประเพณีและบทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ข้างต้น ไม่มีผู้ใดแล้วในราชวงศ์ที่จะมีสิทธิขึ้นครองราชย์ปกครองสวีเดน และไม่มีผู้ใดอ้างสิทธิดังกล่าว เว้นแต่เจ้าหญิงและลันท์กราฟ อุลริจกะ เอลิโอนอราที่ได้อ้างสิทธิดังกล่าวแก่ตนเองและได้ประกาศในหนังสือลงวันที่ 31 มกราคมในปีนี้ ที่พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพวกเรา ฉะนั้น พวกเราจึงมีเสรีภาพอย่างเต็มที่โดยสมบูรณ์ที่จะเลือกกษัตริย์พระองค์ใหม่ที่จะนำพาและปกครองพวกเรา ผู้ที่พวกเราจะต้องเชื่อฟังและผูกพันด้วยความจงรักภักดีเพื่อสนับสนุนพระองค์ต่อไป.............”
จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า สภาฐานันดรได้ตระหนักถึงกฎมณเฑียรบาลที่ผ่านมาว่าอนุญาตให้เจ้าหญิงขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ หากไม่มีรัชทายาทฝ่ายชายเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ตระหนักด้วยว่า กฎมณเฑียรบาลจะอนุญาตให้เจ้าหญิงขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อเมื่อยังไม่ได้ผ่านพิธีเษกสมรสมาก่อน แต่กระนั้น สภาฐานันดรก็ให้เหตุผลว่า เนื่องจากไม่มีองค์รัชทายาทพระองค์อื่นอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ ซึ่งหมายถึง เจ้าชายชาร์ลส เฟเดอริก (Charles Frederick) ที่ทรงนิ่งเฉยไม่อ้างสิทธิ์หลังจากที่ทางฝ่ายเจ้าหญิงอุลริจกะ ได้ทำให้พระองค์ทรงวิตกกังวลต่อสถานะความปลอดภัยของพระองค์
ดังนั้น สภาฐานันดรจึงตัดสินใจเลือก เจ้าหญิงให้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ ซึ่งในแง่นี้ก็เท่ากับว่า สภาฐานันดรได้ใช้อำนาจในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในกฎมณเฑียรบาล ดังจะเห็นได้จากการที่สภาฐานันดรได้อธิบายความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎมณเฑียรบาลที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ความจำเป็นและตามบุคคลหรือองค์กรสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในแต่ละช่วงเวลา และการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม 1719 ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานของกฎมณเฑียรบาลของสวีเดนต่อไปด้วย นั่นคือ หากในกรณีที่ไม่มีองค์รัชทายาทฝ่ายชาย และหากมีแต่องค์รัชทายาทฝ่ายหญิง แม้จะเข้าพิธีเษกสมรสแล้ว ก็สามารถได้รับเลือกให้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ หากสภาฐานันดรลงมติเห็นชอบ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
หนึ่งเดือนหลังการสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ในวันที่ 26 ธันวาคม 1718 เจ้าหญิงอุลริจกะทรงมีพระราชดำรัสยินยอมที่จะสละพระราชอำนาจตามเงื่อนไขของสภาฐานันดร
ความในพระราชดำรัสมีดังต่อไปนี้
“ดังที่เราได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในใจของเราเอง ดังที่ได้ประกาศแก่สภาที่ปรึกษา และดังที่เราจะประกาศต่อไปนี้ เราขอประกาศล้มเลิกสิ่งที่เรียกกันว่าอำนาจอธิปไตย (เน้นโดยผู้วิจัย) ซึ่งตัวเราตลอดจนทายาทและสายโลหิตของเราขอประกาศสละอำนาจดังกล่าวไปชั่วนิรันดร์ หากแต่เราจะทำตามแบบอย่างที่น่าชื่นชมของบรรพบุรุษของเรา กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งสวีเดน ผู้ทำให้ราชอาณาจักรและปิตุภูมิอันเป็นที่รักของเรากลายเป็นรัฐที่เจริญรุ่งเรือง กล่าวคือ เรามุ่งหมายที่จะฟื้นคืนการปกครองราชอาณาจักรในแบบโบราณ ทั้งนี้ เราขอยืนยันว่าเราจะมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเราได้สถาปนาและยืนยันอำนาจใหม่นี้ด้วยความยุติธรรมและความพอใจของพสกนิกรที่จงรักภักดีของเราทุกคน”
การตัดสินพระทัยดังกล่าวของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์โดยสายโลหิตที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการลงมติยอมรับของสภาฐานันดรอันเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเป็นการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนที่สถาปนาชัดเจนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1680 ในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด (Charles XI) พระราชบิดาของพระนาง รวมเป็นระยะเวลา 38 ปีที่สวีเดนอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระราชดำรัสดังกล่าวถือเป็น การทำสัญญาทางการเมือง (Political Contract): ยอมสละสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อแลกกับการสืบราชสันตติวงศ์ จากพระราชดำรัสข้างต้น มีข้อความที่น่าสังเกตคือ“เรามุ่งหมายที่จะฟื้นคืนการปกครองราชอาณาจักรในแบบโบราณ” ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภาของกุสตาฟที่สามในอีกห้าสิบกว่าไปต่อมา ในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1772 หลังรัฐประหารได้สองวันที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า“ข้าพเจ้าต้องการที่จะยุติเผด็จการฉ้อฉลของฝักฝ่ายการเมือง และต้องการที่จะแทนที่การปกครองตามอำเภอใจด้วยการปกครองที่มั่นคงและตั้งมั่น อย่างที่เคยเป็นมาตามกฎหมายโบราณของสวีเดน และเป็นจารีตประเพณีแห่งยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า”
จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1718 ที่อำนาจทางการเมืองได้เหวี่ยงกับไปคณะบุคคลที่เป็นอภิชนในรัฐสภา หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1772 ที่อำนาจทางการเมืองได้เหวี่ยงไปที่พระมหากษัตริย์ ต่างอ้างอิงการกลับไปสู่แบบแผนการปกครองโบราณของสวีเดนทั้งคู่ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
หนึ่ง ทำไมถึงต้องอ้างว่าจะกลับไปที่แบบแผนการปกครองดั้งเดิม และสอง แบบแผนการปกครองดั้งเดิมที่ว่านี้ทำใมถึงสามารถรองรับรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันมากได้ ซึ่งผู้วิจัยจะอภิปรายในประเด็นนี้ในบทที่ว่าด้วยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ค.ศ. 1809
หลังจากพระราชดำรัสประกาศสละสมบูรณาญาสิทธิ์ของเจ้าหญิงอุลริจกะ (Ulrika Eleonora๗ ผู้ที่อยู่ในสถานะของผู้สืบราชสันตติวงศ์ ต่อจากนั้นเป็นเวลาประมาณสองเดือนกว่าเล็กน้อย ที่ประชุมสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรได้ประชุมลงมติเลือกพระนางให้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดนในวันที่ 4 มีนาคม 1719 และพระองค์ทรงต้องยอมมีพระราชดำรัสในกฎบัตรการขึ้นครองราชย์ (Accession Charter) ค.ศ. 1719 ว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) ได้ทำให้สวีเดน “ความเสียหาย, ลดทอน, เสียดินแดน, และเกือบจะกลายเป็นดินแดนที่ถูกทำลายเสียหาย”
และหลังจากนั้น ที่ประชุมสภาฐานันดรได้มีการลงมติที่ถือเป็นกฎหมายที่เรียกว่า “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน” โดยสภาฐานันดรได้เลือกเจ้าหญิงอูลริจกะ เอลิโอนอราขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีและให้มีการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยรัชทายาทชายต่อไป หลังจากที่พระราชบัลลังก์ว่างลงจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลสที่สิบสอง (Charles XII) ซึ่งไร้รัชทายาทชาย
คำถามที่เกิดขึ้นคือ สภาฐานันดรได้ให้เหตุผลความชอบธรรมอย่างไรต่อการลงมติเลือกเจ้าหญิงอุลริจกะให้เป็นขึ้นครองบัลลังก์สวีเดน ด้วยพระนางได้เสกสมรสก่อนหน้านี้แล้ว ในขณะที่กฎมณเฑียรบาลได้กำหนดให้ผู้หญิงขึ้นครองบัลลังก์ได้ต่อเมื่อไม่ทรงเสกสมรส ?
ในบทบัญญัติฯดังกล่าว กล่าวว่า จากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง “ในฐานะสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรที่จงรักภักดี ได้ใคร่ครวญและตรวจสอบด้วยความรอบคอบและความระมัดระวังถึงความจำเป็นว่าผู้ใดสมควรครองราชย์บัลลังก์ที่ว่างลงตามประเพณีและบัญญัติแห่งสภาฐานันดรในกรณีที่กษัตริย์มิได้มีทายาทสืบราชบัลลังก์ เหตุดังกล่าบังคับให้ต้องสืบหาและพิจารณาลำดับ ทายาทของราชวงศ์ที่มีสิทธิขึ้นครองราชย์และที่ยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ พวกเราได้พบว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการสืบราชสันตติวงศ์ฝ่ายหญิง มีฐานที่มาจากกฎว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์แห่งปี 1604 ซึ่งได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ให้เจ้าหญิงที่มีความเหมาะสมที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปครองชีวิตโสด และจะอภิเษกสมรสได้ก็ต่อเมื่อสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรได้เห็นชอบและอนุญาตแล้วเท่านั้น ไม่ว่าพระองค์จะเป็นธิดาของกษัตริย์หรือของเจ้าชายก็ตาม’
ข้อความดังกล่าวได้รับการประกาศและบัญญัติอีกครั้งในมติแห่งสภาฐานันดรปี 1627 ที่กล่าวถึงสิทธิของรัชทายาทหญิงแห่งราชอาณาจักร ทั้งยังได้รับการยืนยันและสนับสนุนในปี 1633 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยมติแห่งสภาฐานันดรปี 1634 ซึ่งทำให้พระราชธิดาองค์เดียวของพระเจ้ากุสตาฟ อดอล์ฟ (Gustav-Adolphus) ได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เนื่องด้วยพระองค์ยังมิได้อภิเษกสมรส หลังจากที่พระเจ้าคาร์ล กุสตาฟ (Charles-Gustave) ผู้เป็นโอรสของเจ้าหญิงที่อภิเษกสมรสภายนอกราชอาณาจักรทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงยอมรับผ่านประกาศในปี 1650 ว่าพระองค์เป็นผู้รับความเมตตาและเกียรติ ตลอดจนได้รับความรักเป็นอย่างมาก และได้ทรงเรียกตนเองว่าเป็นกษัตริย์จากการเลือกตั้งในประกาศปี 1654 อันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้สภาฐานันดรก่อนหน้าปัจจุบันได้ระบุในมติปี 1654 ด้วยข้อความที่ชัดเจนว่า ‘[สภาฐานันดร] ได้เห็นชอบเลือกพระองค์ ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่หรือเป็นข้อบังคับ แต่ได้เลือกพระองค์ด้วยเจตจำนงเสรีของพวกเขาเอง ตลอดจนด้วยเหตุผลประการอื่น ๆ’
และแม้ว่ากฎมณเฑียรบาลจะกำหนดให้รัชทายาทฝ่ายชายเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์เท่านั้น กระนั้น กฎมณเฑียรบาลก็ถูกขยายเรื่อยมาจนครอบคลุมรัชทายาทหญิง เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ตามกฎแห่งนอร์ดเชอร์ปิงที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวพบอยู่ในพินัยกรรมของพระเจ้าชาร์ลสที่ที่ 11(Charles XI) ปี 1693 นั่นคือ สภาฐานันดรเป็นผู้ยืนยันสิทธิและพระราชอำนาจของรัชทายาทหญิง ตามบัญญัติของกฎแห่งนอร์ดเชอร์ปิงที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งแม้ไม่ได้ขัดกับความเห็นชอบหรือพันธะหน้าที่ของสภาฐานันดรแต่อย่างใด แต่ก็มีผลบังคับและกำหนดให้ต้องรักษาสิทธิและพระราชอำนาจของรัชทายาทหญิงแห่งราชวงศ์ตามประเพณีและบทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรที่เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ข้างต้น ไม่มีผู้ใดแล้วในราชวงศ์ที่จะมีสิทธิขึ้นครองราชย์ปกครองสวีเดน และไม่มีผู้ใดอ้างสิทธิดังกล่าว เว้นแต่เจ้าหญิงและลันท์กราฟ อุลริจกะ เอลิโอนอราที่ได้อ้างสิทธิดังกล่าวแก่ตนเองและได้ประกาศในหนังสือลงวันที่ 31 มกราคมในปีนี้ ที่พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพวกเรา ฉะนั้น พวกเราจึงมีเสรีภาพอย่างเต็มที่โดยสมบูรณ์ที่จะเลือกกษัตริย์พระองค์ใหม่ที่จะนำพาและปกครองพวกเรา ผู้ที่พวกเราจะต้องเชื่อฟังและผูกพันด้วยความจงรักภักดีเพื่อสนับสนุนพระองค์ต่อไป.............”
จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า สภาฐานันดรได้ตระหนักถึงกฎมณเฑียรบาลที่ผ่านมาว่าอนุญาตให้เจ้าหญิงขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ หากไม่มีรัชทายาทฝ่ายชายเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ตระหนักด้วยว่า กฎมณเฑียรบาลจะอนุญาตให้เจ้าหญิงขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อเมื่อยังไม่ได้ผ่านพิธีเษกสมรสมาก่อน แต่กระนั้น สภาฐานันดรก็ให้เหตุผลว่า เนื่องจากไม่มีองค์รัชทายาทพระองค์อื่นอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ ซึ่งหมายถึง เจ้าชายชาร์ลส เฟเดอริก (Charles Frederick) ที่ทรงนิ่งเฉยไม่อ้างสิทธิ์หลังจากที่ทางฝ่ายเจ้าหญิงอุลริจกะ ได้ทำให้พระองค์ทรงวิตกกังวลต่อสถานะความปลอดภัยของพระองค์
ดังนั้น สภาฐานันดรจึงตัดสินใจเลือก เจ้าหญิงให้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ ซึ่งในแง่นี้ก็เท่ากับว่า สภาฐานันดรได้ใช้อำนาจในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในกฎมณเฑียรบาล ดังจะเห็นได้จากการที่สภาฐานันดรได้อธิบายความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎมณเฑียรบาลที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ความจำเป็นและตามบุคคลหรือองค์กรสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในแต่ละช่วงเวลา และการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม 1719 ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานของกฎมณเฑียรบาลของสวีเดนต่อไปด้วย นั่นคือ หากในกรณีที่ไม่มีองค์รัชทายาทฝ่ายชาย และหากมีแต่องค์รัชทายาทฝ่ายหญิง แม้จะเข้าพิธีเษกสมรสแล้ว ก็สามารถได้รับเลือกให้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ หากสภาฐานันดรลงมติเห็นชอบ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


