"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในยุคที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางสื่อสารอันหลากหลาย กระแสอารมณ์แบบฝูงชนได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่แทรกซึมเข้ามาในทุกมิติของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่ปะทุขึ้นในชั่วพริบตา การแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์จนกลายเป็นกระแสที่ไม่อาจหยุดยั้ง หรือแม้แต่การตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่ขาดการไตร่ตรองเพียงเพราะถูกพัดพาไปกับกระแสของมวลชน ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางสังคมที่ผ่านไปเฉพาะหน้า แต่เป็นการเผยให้เห็นถึงพลังแห่งอารมณ์ร่วมที่สามารถหล่อหลอมและผลักดันพฤติกรรมของมนุษย์ในระดับมวลชนได้อย่างน่าทึ่ง การตกอยู่ในกระแสอารมณ์แบบฝูงชนอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด บางครั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอันยิ่งใหญ่ แต่ก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายที่รุนแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเช่นกัน
กระแสอารมณ์แบบฝูงชนเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มคนจำนวนมากถูกกระตุ้นให้รู้สึกหรือแสดงออกในลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยมักได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่จุดประกายอารมณ์อย่างเข้มข้น เช่น ความโกรธที่พุ่งพล่านจากความอยุติธรรม ความกลัวที่แพร่กระจายเหมือนไฟป่า ความตื่นเต้นที่ระเบิดออกมาพร้อมกัน หรือความเห็นอกเห็นใจที่ถาโถมกันดั่งคลื่นสึนามิ จิตวิทยามวลชนอธิบายว่าเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มขนาดใหญ่ พวกเขามักสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองชั่วคราว และมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามพฤติกรรมหรือความคิดของกลุ่มโดยไม่ตั้งคำถาม ปรากฏการณ์นี้ถูกศึกษาอย่างเป็นระบบครั้งแรกโดย กุสตาฟ เลอบง นักจิตวิทยาสังคมชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แต่ยังคงใช้ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมหมู่ชนในสังคมสมัยใหม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมากว่าศตวรรษแล้วก็ตาม
เลอบงอธิบายว่าเมื่อบุคคลเข้าสู่สภาวะของ “ฝูงชน” จะสูญเสียอัตลักษณ์เฉพาะบุคคลไป และกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตส่วนรวมที่ถูกควบคุมโดยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ฝูงชนจึงไม่ใช่เพียงการรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก แต่คือสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มี “จิตร่วม” ของตนเอง ซึ่งมีลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผลรวมของจิตใจปัจเจกบุคคล ในสภาวะของฝูงชน บุคคลจะถูกลดทอนความรับผิดชอบทางศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถูกกลบเกลื่อนด้วยแรงเร้าทางอารมณ์ที่รุนแรง การเลียนแบบซึ่งกันและกัน และการปลุกเร้าจากผู้นำที่มีพรสวรรค์ทางวาทศิลป์
เลอบงเชื่อว่าฝูงชนมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามภาพลวงตา สัญลักษณ์ และความเชื่อที่ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริงหรือเหตุผล การปลุกเร้าความรู้สึกเช่น ความกลัวร่วม ความโกรธร่วม หรือความภาคภูมิใจร่วมกัน สามารถทำให้ฝูงชนกระทำสิ่งที่เกินกว่าขอบเขตของสิ่งที่ปัจเจกบุคคลจะกล้าทำในสภาวะปกติ เลอบงจึงเตือนว่าฝูงชนคือพลังแห่งอารมณ์ที่เป็นดาบสองคม ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งความรุ่งเรืองและความหายนะของอารยธรรม ผู้นำที่เข้าใจจิตวิทยาฝูงชนสามารถครอบครองอำนาจได้โดยไม่ต้องใช้กำลังบังคับ หากรู้จักปลุกเร้าภาพฝัน ความเชื่อ และสัญลักษณ์ทางอารมณ์ของผู้คนอย่างชาญฉลาด
ทฤษฎีการแพร่กระจายอารมณ์ในยุคปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลกว่าแนวคิดเดิมของเลอบง โดยนักวิจัยอย่าง หวัง (Wang) และคณะ ในปี 2024 ได้เสนอบทบาทสำคัญของ การแทนตัวเอง (self-representation) ในกระบวนการแพร่กระจายอารมณ์ งานวิจัยชี้ว่าแม้การแพร่กระจายอารมณ์จะดูเหมือนเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการที่บุคคลรับรู้ความสัมพันธ์ของตนเองกับผู้อื่นหรือกลุ่ม การแพร่กระจายอารมณ์มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากขึ้นในบริบททางสังคมที่บุคคลรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เช่น สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน คู่ครอง หรือบุคคลที่มีเจตนาร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม การแพร่กระจายอารมณ์ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดจากล่างขึ้นบนอย่างเดียว แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนโดยปัจจัยทางสังคมต่าง ๆ เช่น ความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ ความคล้ายคลึงทางสังคม และอัตลักษณ์ของกลุ่ม
ทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคมที่พัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970-1980 ได้ให้คำอธิบายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมฝูงชน แตกต่างจากทฤษฎีของเลอบงที่มองฝูงชนเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล ทฤษฎีนี้เสนอว่าพฤติกรรมในฝูงชนเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์จากระดับปัจเจกบุคคลไปสู่ระดับกลุ่ม เมื่อบุคคลระบุตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม พฤติกรรมของเขาจะถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานและค่านิยมของกลุ่มนั้น ซึ่งอาจแตกต่างจากบรรทัดฐานส่วนบุคคลของเขา
ในโลกสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล กระแสอารมณ์แบบฝูงชนได้รับการขยายและเร่งความเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ การศึกษาของ บรินดัล (Brindal) และคณะ เกี่ยวกับพฤติกรรมมวลชนระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าสื่อสังคมออนไลน์ได้เพิ่มมิติใหม่ที่ซับซ้อนให้กับแบบจำลองทางจิตวิทยาสังคมแบบดั้งเดิม ระหว่างการแพร่ระบาดนี้ มีการสังเกตพฤติกรรมมวลชนที่หลากหลาย ตั้งแต่การกักตุนสินค้าอย่างตื่นตระหนก ไปจนถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชน งานวิจัยพบว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่ซับซ้อน เช่น การรับรู้ความเสี่ยง บรรทัดฐานทางสังคมในกลุ่ม ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างที่ชัดเจนของกระแสอารมณ์แบบฝูงชนในยุคดิจิทัลคือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “วัฒนธรรมการยกเลิก” ซึ่งได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการเคลื่อนไหวทางสังคมในสื่อออนไลน์ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา
การ “ยกเลิก” หมายถึงการเคลื่อนไหวร่วมกันของประชาชนธรรมดาเพื่อประณามบุคคล องค์กร หรือแบรนด์ที่กระทำสิ่งที่ถือว่าขัดต่อบรรทัดฐานทางสังคม และพยายามลดอิทธิพล ผู้ชม และรายได้ของเป้าหมายผ่านการคว่ำบาตร ดังเห็นได้จากอินฟลูเอนเซอร์หลายคนในสื่อออนไลน์เผชิญกับการถูกยกเลิกอย่างรวดเร็วหลังจากมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผู้ติดตามหลายล้านคนหันหลังให้เขาภายในเวลาไม่กี่วัน
ในปี 2023 ตัวอย่างที่โดดเด่นคือกรณีของเบียร์ยี่ห้อ Bud Light ซึ่งถูกคว่ำบาตรอย่างกว้างขวางจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมหลังจากจ้าง ดีแลน มัลเวนีย์ (Dylan Mulvaney) อินฟูเอนเซอร์ข้ามเพศบน TikTok มาโฆษณาสินค้า การคว่ำบาตรนี้ส่งผลให้ยอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
สิ่งที่น่าสนใจในปรากฏการณ์การยกเลิกคือความเร็วและขนาดของการตอบสนองทางอารมณ์ที่แพร่กระจายผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีปัจจัยหลายประการที่ส่งเสริมการแพร่กระจายอารมณ์เชิงลบ ได้แก่ การสูญเสียอัตลักษณ์ส่วนบุคคล การรับรู้ความเสี่ยง อัตลักษณ์ของกลุ่ม ประสิทธิภาพของกลุ่ม การกระตุ้นจากเหตุการณ์ และความเป็นสาธารณะของเหตุการณ์ เมื่อสมาชิกในกลุ่มมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด โอกาสในการแพร่กระจายอารมณ์ของกลุ่มจะสูงขึ้น การแพร่กระจายก็จะเร็วขึ้น และมีความแพร่หลายมากขึ้น นอกจากนี้ ความเข้มข้นของอารมณ์ในกลุ่มมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นแล้วลดลงตามกาลเวลา และแม้ว่าการแพร่กระจายอารมณ์จะหยุดลง ความเข้มข้นของอารมณ์ก็ไม่ได้ลดลงในทันที ซึ่งหมายความว่าหากไม่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อารมณ์ของกลุ่มอาจกลับมาปะทุขึ้นใหม่ได้
สาเหตุของการตกอยู่ในกระแสอารมณ์แบบฝูงชนมีความซับซ้อนและเป็นพหุมิติ การสูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง เมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่ระบุตัวตนสูงเช่นในโลกออนไลน์ พวกเขามักรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมวลชนที่ใหญ่กว่า ความรู้สึกนี้ทำให้ความรับผิดชอบส่วนบุคคลลดน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่กลุ่มทำ แม้ว่าจะขัดต่อค่านิยมหรือเหตุผลส่วนตัว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “การลดทอนความเป็นปัจเจก” (deindividuation) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าตนเองซ่อนอยู่ในกลุ่มและความรู้สึกรับผิดชอบลดลง อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นอย่างเข้มข้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทรงพลัง เหตุการณ์ที่ปลุกเร้าอารมณ์ เช่น ความอยุติธรรมที่เห็นได้ชัด ข่าวสะเทือนใจ หรือการโฆษณาชวนเชื่อที่ชาญฉลาด สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาร่วมกันในกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่ข้อมูลแพร่กระจายในพริบตาและถูกขยายผลด้วยอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์
ความต้องการการยอมรับและการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความต้องการพื้นฐานในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและได้รับการยอมรับจากกลุ่ม เมื่อเห็นคนอื่นในกลุ่มแสดงออกในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง บุคคลมักรู้สึกกดดันที่จะต้องทำตามเพื่อไม่ให้ถูกตัดขาดหรือรู้สึกแตกต่างจากกลุ่ม ในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ความกดดันนี้ถูกขยายผลด้วยการแสดงผลที่เป็นสาธารณะของความคิดเห็นและพฤติกรรม ทำให้บุคคลรู้สึกว่าต้องแสดงความเห็นหรือกระทำการตามกระแสเพื่อรักษาสถานะทางสังคม การขาดข้อมูลหรือโอกาสในการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็มีส่วนสำคัญ ในสถานการณ์ที่ข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บุคคลมักตัดสินใจโดยอาศัยอารมณ์และสัญชาตญาณมากกว่าการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เพราะไม่มีเวลาหรือความสามารถในการประมวลผลข้อมูลอย่างเป็นระบบ ปรากฏการณ์นี้ถูกเร่งความเร็วด้วยอัลกอริทึมของสื่อสังคมออนไลน์ที่มักแสดงข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของผู้ใช้ สร้างห้องสะท้อนเสียงที่เสริมสร้างความเชื่อและอคติที่มีอยู่แล้ว
ผลกระทบของกระแสอารมณ์แบบฝูงชนมีทั้งด้านบวกและด้านลบที่ซับซ้อน ในด้านบวก กระแสอารมณ์ร่วมสามารถสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีความหมาย เช่น การเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรม การต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ หรือการระดมความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนไหว #MeToo ได้เปิดโอกาสให้ผู้คนที่เคยเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศได้เปิดเผยประสบการณ์และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายองค์กร การเคลื่อนไหว #BlackLivesMatter ก็ได้นำไปสู่การตระหนักรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและการปฏิรูปนโยบายในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม
ในด้านลบ กระแสอารมณ์แบบฝูงชนอาจนำไปสู่ความรุนแรง การตัดสินใจที่ผิดพลาดซึ่งขาดการไตร่ตรอง หรือการทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยไม่เจตนา ตัวอย่างที่น่าเป็นห่วงคือการแชร์ข่าวปลอมที่นำไปสู่ความตื่นตระหนกและความแตกแยกในสังคม การประณามหรือตีตราบุคคลโดยปราศจากหลักฐานที่เพียงพอหรือโอกาสในการแก้ต่าง หรือการเข้าร่วมในเหตุการณ์รุนแรงที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินและชีวิตของผู้คน
การป้องกันตนเองจากการตกอยู่ในกระแสอารมณ์แบบฝูงชนจำเป็นต้องอาศัยความตระหนักรู้และทักษะหลายประการ การฝึกฝนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นรากฐานสำคัญ ทุกครั้งที่เผชิญกับข้อมูลหรือสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์อย่างเข้มข้น ควรหยุดและตั้งคำถามกับตนเอง ข้อมูลนี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือไม่ มีหลักฐานที่เป็นกลางและหลากหลายสนับสนุนหรือไม่ มีมุมมองทางเลือกอื่นๆ ที่ควรพิจารณาหรือไม่ การฝึกการคิดแบบนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างนิสัยในการตัดสินใจด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบก็มีความสำคัญยิ่งในยุคที่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจายได้รวดเร็ว ควรอ่านข่าวสารจากสื่อที่มีมาตรฐานทางวารสารศาสตร์และหลากหลายมุมมอง เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง และระวังข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าให้ความรู้
การรักษาความเป็นตัวของตัวเองและยึดมั่นในค่านิยมส่วนบุคคลเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ แม้ว่ากระแสสังคมจะดึงดูดให้เข้าร่วม แต่การหยุดและคิดว่าการกระทำนี้สอดคล้องกับคุณค่าและหลักการของตนเองหรือไม่จะช่วยป้องกันการถูกพัดพาไปกับกระแสโดยไม่รู้ตัว ควรหลีกเลี่ยงการตัดสินใจหรือกระทำการอย่างเร่งรีบในขณะที่อารมณ์กำลังรุนแรง การให้เวลาตนเองในการสงบสติ ระยะหนึ่งก่อนตัดสินใจหรือแสดงความคิดเห็นจะช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้นและลดโอกาสของการเสียใจในภายหลัง การเรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งของตนเองและของผู้อื่นก็มีคุณค่า การสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับกระแสอารมณ์แบบฝูงชน ทั้งที่นำไปสู่ผลดีและผลเสีย จะช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้และความระมัดระวังในอนาคต
ในท้ายที่สุด กระแสอารมณ์แบบฝูงชนเป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่อดีตกาล แต่ได้ถูกเร่งความเร็วและขยายขอบเขตอย่างมหาศาลในยุคดิจิทัล พฤติกรรมฝูงชนไม่ใช่การสูญเสียเหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์และการตอบสนองต่อบริบททางสังคม การแพร่กระจายอารมณ์ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางชีววิทยา จิตวิทยา และสังคมที่ซับซ้อน และสื่อสังคมออนไลน์ได้สร้างพลวัตใหม่ที่ทำให้กระแสอารมณ์แพร่กระจายได้เร็วและกว้างขวางกว่าในอดีตหลายเท่า ดังนั้น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการตัดสินใจด้วยสติจึงเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งในโลกที่เชื่อมโยงและเต็มไปด้วยข้อมูลในยุคปัจจุบัน
การป้องกันตนเองจากกระแสอารมณ์แบบฝูงชนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีสติและสมดุล แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่มีเหตุผล เคารพซึ่งกันและกัน และสามารถจัดการกับความแตกต่างได้อย่างสร้างสรรค์ ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันด้วยปลายนิ้วและอารมณ์สามารถแพร่กระจายได้ในพริบตา ความสามารถในการยืนหยัดอยู่เหนือกระแสและเลือกทางเดินของตนเองด้วยปัญญาและความรับผิดชอบจึงเป็นคุณลักษณะอันมีค่าของพลเมืองในศตวรรษที่ 21


